ยามรัตติกาลมาเยือนเมืองหลวง ดุจม่านไหมสีดำที่คลี่คลุมผืนปฐพี เสียงกรีดร้องและเสียงไอโขลกของผู้ป่วยดังก้องไปทั่วโรงหมอหลวง ตู้เยี่ยนอวี่มิได้หลับมิได้นอน นางยังคงทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ใบหน้าของนางมีหยาดเหงื่อผุดพราย แต่แววตายังคงฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว
เสี่ยวจูที่คอยอยู่เคียงข้างคุณหนูของตนตลอดเวลา เริ่มแสดงความเหนื่อยล้าออกมาบ้าง ใบหน้าของนางซีดเซียว ร่างกายอ่อนแรง
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านควรจะพักผ่อนเสียบ้างนะเจ้าคะ บ่าวเห็นท่านมิได้หลับมิได้นอนมาหลายวันแล้วเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่หันมายิ้มอย่างอ่อนโยน “มิต้องเป็นห่วงข้าหรอกเสี่ยวจู ข้ามิเป็นอันใด” นางลูบศีรษะของเสี่ยวจูอย่างแผ่วเบา “เจ้าไปพักผ่อนเสียเถิด คืนนี้ข้าจะเฝ้าผู้ป่วยเอง”
“มิได้เจ้าค่ะ ! บ่าวจะอยู่เคียงข้างคุณหนูเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูยืนกรานด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “บ่าวจะช่วยคุณหนูให้ถึงที่สุดเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่มองเสี่ยวจูด้วยความซาบซึ้งใจ นางรู้ดีว่าเสี่ยวจูจงรักภักดีต่อนางเพียงใด
“เช่นนั้นก็ดี” นางกล่าว “เจ้าช่วยข้าเตรียมสมุนไพรสำหรับปรุงยาชุดต่อไปด้วยเถิด”
นางยังคงวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยแต่ละคนอย่างรวดเร็วและแม่นยำ พลางฝังเข็มและส่งพลังปราณภายในเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของลมปราณที่ติดขัด อาการของผู้ป่วยหลายคนเริ่มดีขึ้นตามลำดับ
ท่ามกลางความวุ่นวายในโรงหมอหลวง แพทย์หลวงชาง ผู้เป็นหัวหน้าแพทย์หลวงของเมืองหลวง ได้เดินเข้ามาหาตู้เยี่ยนอวี่ด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“แม่นางตู้ ขอข้าปรึกษาเรื่องสำคัญบางอย่างกับท่านได้หรือไม่ ?” แพทย์หลวงชางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระซิบ
ตู้เยี่ยนอวี่พยักหน้าเล็กน้อย “เชิญเถิดท่านหมอหลวงชาง”
แพทย์หลวงชางพาตู้เยี่ยนอวี่ไปยังมุมหนึ่งของโรงหมอที่เงียบสงบ “แม่นางตู้ ท่านสังเกตหรือไม่ว่าโรคระบาดครั้งนี้ มีความผิดปกติบางอย่าง ?”
ตู้เยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้นเจ้าค่ะ อาการของผู้ป่วยบางรายดูผิดแผกไปจากโรคระบาดอัคคีที่เคยเกิดขึ้นในเมืองจิ่นหยาง”
“ถูกต้อง !” แพทย์หลวงชางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อาการของพวกเขาหนักหน่วงยิ่งกว่า และยาที่เราปรุงก็ดูเหมือนจะมิได้ผลดีเท่าที่ควร” เขาหยุดชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ลดต่ำลง “ข้าสงสัยว่าอาจจะมีผู้ไม่หวังดีอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
คำกล่าวของแพทย์หลวงชางทำให้ตู้เยี่ยนอวี่หัวใจพลันเต้นระรัว “ท่านหมอหลวงชางหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ?”
“ข้าได้ยินข่าวลือบางอย่างจากในวังหลวง” แพทย์หลวงชางกล่าวด้วยน้ำเสียงกระซิบ “ได้ยินว่ามีกลุ่มคนลึกลับที่เรียกว่ากองทัพเงาอสูร กำลังเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทั้งหมด พวกเขาเชื่อว่าสามารถควบคุมโรคระบาดได้ และกำลังใช้โรคระบาดนี้เป็นเครื่องมือในการก่อกวนบ้านเมือง”
ตู้เยี่ยนอวี่ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ นางมิเคยคาดคิดว่าเรื่องราวจะซับซ้อนถึงเพียงนี้ “กองทัพเงาอสูร พวกเขามีจุดประสงค์อันใดกันแน่เจ้าคะ ?”
“ข้าเองก็มิอาจล่วงรู้ได้” แพทย์หลวงชางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แต่ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจจะกำลังวางแผนการใหญ่บางอย่าง” เขาหันมามองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง “แม่นางตู้ ความรู้ความสามารถของท่านล้ำเลิศยิ่งนัก ข้าขอร้องท่าน โปรดช่วยพวกเราสืบหาความจริงเบื้องหลังเรื่องนี้ด้วยเถิดขอรับ”
ตู้เยี่ยนอวี่รับปากโดยมิลังเล นางรู้ดีว่าภัยพิบัติครั้งนี้มิใช่เพียงแค่โรคระบาดธรรมดา หากแต่เป็นการคุกคามที่ร้ายแรงกว่ามาก นางตัดสินใจที่จะใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดที่ตนมี เพื่อปกป้องผู้คนและไขปริศนาเบื้องหลังเรื่องนี้ให้กระจ่าง
–
ยามลมหนาวเริ่มพัดหวน ตู้เยี่ยนอวี่เริ่มสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับกองทัพเงาอสูรอย่างลับ ๆ นางสอบถามจากผู้ป่วยบางรายที่อาการดีขึ้นแล้ว และจากผู้คนในตลาดมืดที่พอจะมีข่าวคราวแปลก ๆ เล็ดลอดออกมาบ้าง
“คุณหนู ท่านระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ” เสี่ยวจูกล่าวด้วยความเป็นห่วง “หากกองทัพเงาอสูรเหล่านั้นรู้ว่าท่านกำลังสืบเรื่องของพวกเขา ท่านอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้เจ้าค่ะ”
“มิต้องเป็นห่วงหรอกเสี่ยวจู ข้าจะระมัดระวังตนเองให้ดี” เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง ดวงตาของนางฉายแววแน่วแน่
จากการสืบค้นข้อมูล ตู้เยี่ยนอวี่พบว่ากองทัพเงาอสูรนั้นเป็นกลุ่มคนลึกลับที่มีเครือข่ายกว้างขวาง มิได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในเมืองหลวงเท่านั้น พวกเขามักจะปรากฏตัวในยามวิกฤตการณ์ และใช้ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดบางอย่าง
วันหนึ่ง ตู้เยี่ยนอวี่และแพทย์หลวงชางได้ค้นพบว่ามีผู้ป่วยบางรายที่มีอาการแปลกประหลาดกว่าคนอื่น ๆ ลมปราณในกายของพวกเขาถูกปิดกั้นอย่างรุนแรง และมีร่องรอยการถูกกระตุ้นด้วยพลังงานบางอย่างที่ผิดธรรมชาติ
“นี่มิใช่แค่โรคระบาดธรรมดาแล้วเจ้าค่ะท่านหมอหลวงชาง” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเกรงว่าจะมีคนจงใจใช้พิษบางอย่าง เพื่อทำให้โรคระบาดนี้รุนแรงยิ่งขึ้น
แพทย์หลวงชางถึงกับหน้าซีดเผือด “เช่นนั้นพวกเขาก็เป็นคนร้ายตัวจริงแล้วสิ !”
ตู้เยี่ยนอวี่พยักหน้าช้า ๆ “เราต้องหาวิธีหยุดยั้งพวกเขาให้ได้ ก่อนที่เมืองหลวงแห่งนี้จะล่มสลายไปมากกว่านี้”
นางและแพทย์หลวงชางเริ่มวางแผนการอย่างรอบคอบ ตู้เยี่ยนอวี่ใช้ความรู้ทางการแพทย์และกำลังภายในของตนเอง เพื่อวิเคราะห์ลักษณะของพิษที่ใช้ และหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ส่วนแพทย์หลวงชางก็ใช้เส้นสายและอำนาจของตนเอง เพื่อสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับกองทัพเงาอสูร
ยามหิมะแรกเริ่มโปรยปรายลงมา อากาศหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
ตู้เยี่ยนอวี่ได้รับข่าวสารจากแพทย์หลวงชางว่ากองทัพเงาอสูรจะทำการประชุมลับในคืนนี้ที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งในย่านชานเมืองหลวง
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะไปจริง ๆ หรือเจ้าคะ ?” เสี่ยวจูถามด้วยน้ำเสียงกังวล “มันอันตรายนักนะเจ้าคะ”
“ข้าต้องไปเสี่ยวจู” ตู้เยี่ยนอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นี่คือโอกาสเดียวที่เราจะสามารถหยุดยั้งพวกเขาได้”
นางสวมชุดที่เรียบง่าย ซ่อนอาวุธเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ใต้แขนเสื้อ และพกยาถอนพิษที่ปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษติดตัวไปด้วย
เมื่อมาถึงโรงน้ำชาที่แพทย์หลวงชางบอก ตู้เยี่ยนอวี่และแพทย์หลวงชางก็แอบซุ่มอยู่ใกล้ ๆ เสียงพูดคุยจากภายในโรงน้ำชาดังแว่วออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกนางได้ยินสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
“แผนการของเราดำเนินไปอย่างราบรื่นดี” เสียงชายคนหนึ่งกล่าวขึ้น “เมืองหลวงแห่งนี้กำลังจมดิ่งในความทุกข์ระทม อีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่เราจะเข้าครอบครองทุกสิ่ง”
“แต่มีหมอเทวดาผู้นั้นคอยขัดขวาง” อีกคนกล่าวขึ้น “นางทำให้แผนการของเราล่าช้าไปมาก”
“มิต้องเป็นห่วง” ชายคนแรกกล่าว “อีกไม่นานนางก็จะต้องจบสิ้นลง”
ตู้เยี่ยนอวี่ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางรู้ดีว่าบุคคลที่พวกเขาพูดถึงคือนางเอง และพวกเขากำลังวางแผนร้ายที่จะกำจัดนางให้พ้นทาง
ในขณะที่พวกนางกำลังจะเข้าไปดำเนินการบางอย่าง จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ตู้เยี่ยนอวี่หันกลับไปมองก็พบว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์ชุดดำปรากฏกายขึ้น พวกเขาคือสมาชิกของกองทัพเงาอสูร
“พวกเจ้าบังอาจมาแอบสืบเรื่องของพวกเราหรือ ?” ชายคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ดวงตาของเขาฉายแววอำมหิต
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้ตอบอันใด นางก้าวออกมาข้างหน้า ปกป้องแพทย์หลวงชางไว้ด้านหลัง “พวกเจ้าคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังโรคระบาดทั้งหมดใช่หรือไม่ ?”
ชายผู้นั้นหัวเราะเสียงดัง “เจ้ามิมีสิทธิ์รู้หรอก ! วันนี้เจ้าจะต้องจบชีวิตลงที่นี่ !”
กล่าวจบ ชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็พุ่งเข้าใส่ตู้เยี่ยนอวี่ทันที
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้หวาดหวั่น นางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว แต่แฝงด้วยพลังที่แข็งแกร่ง กำลังภายในที่ฝึกฝนมาตลอดถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่
แพทย์หลวงชางพยายามเข้าช่วยเหลือ แต่เขามิได้มีวรยุทธ์เช่นนาง ทำได้เพียงป้องกันตนเองเท่านั้น
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ตู้เยี่ยนอวี่พยายามใช้กำลังภายในของตนเองเพื่อรับมือกับชายฉกรรจ์เหล่านั้น แต่พวกเขามีจำนวนมาก และแต่ละคนล้วนมีวรยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา
ตู้เยี่ยนอวี่หลบหลีกได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนล้าที่เริ่มเข้าครอบงำร่างกาย
“พวกเจ้ามิมีทางเอาชนะข้าได้หรอก !” ชายคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เจ้าควรจะยอมแพ้เสียดี ๆ”
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้ตอบอันใด นางรู้ดีว่าหากต่อสู้ต่อไปเช่นนี้ อาจจะต้องเพลี่ยงพล้ำได้ นางตัดสินใจที่จะใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างออกไป
นางพุ่งเข้าใส่ชายที่พูดเยาะเย้ยอย่างรวดเร็ว และใช้ปลายนิ้วแทงไปที่จุดลมปราณสำคัญของเขาอย่างแม่นยำ ชายผู้นั้นถึงกับทรุดลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“เจ้า ! เจ้าทำอันใดกับข้า !” ชายผู้นั้นร้องด้วยความเจ็บปวด
“นี่คือบทเรียนสำหรับพวกเจ้า” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากพวกเจ้ายังคงกระทำความชั่วเช่นนี้ ต่อไปจะมิมีที่ยืนในแผ่นดินนี้อีกต่อไป”
ชายฉกรรจ์ที่เหลือต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขามิคาดคิดว่าตู้เยี่ยนอวี่จะสามารถใช้กำลังภายในได้อย่างชาญฉลาดและรุนแรงถึงเพียงนี้
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้สนใจพวกเขา นางหันไปหาแพทย์หลวงชาง “ท่านหมอหลวงชาง เราต้องรีบกลับไปที่โรงหมอหลวงเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
แพทย์หลวงชางพยักหน้าอย่างเข้าใจ ทั้งสองรีบรุดออกจากโรงน้ำชาทันที ทิ้งให้ชายฉกรรจ์เหล่านั้นยืนตะลึงงันอยู่เบื้องหลัง
ยามราตรี ดวงจันทร์ทอแสงนวลผ่องลงมายังเมืองหลวงที่จมดิ่งในความทุกข์ระทม ตู้เยี่ยนอวี่และแพทย์หลวงชางกลับมายังโรงหมอหลวงโดยสวัสดิภาพ แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้ แต่จิตใจของนางกลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากภัยพิบัติที่กำลังคุกคาม
“ท่านหมอหลวงชาง เราต้องเร่งมือในการรักษาผู้ป่วยให้มากขึ้น” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าว “และเราต้องหาวิธีหยุดยั้งกองทัพเงาอสูรให้ได้ก่อนที่พวกเขาจะกระทำการใด ๆ ที่เลวร้ายไปมากกว่านี้”
แพทย์หลวงชางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือท่านแม่นางตู้”
ปลายเดือนเจ็ด รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมฆหมอกร้ายที่เคยปกคลุมวังหลวงได้ถูกปัดเป่าไปจนสิ้น ประหนึ่งรัตติกาลที่ยอมจำนนต่อแสงอรุณ พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างฮ่องเต้แห่งต้าเฉินและองค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ได้ดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติที่สุด ท้องพระโรงหลวงที่เคยเป็นเวทีแห่งการพิพากษา บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณสีแดงสดและทองอร่าม เสียงดนตรีมงคลดังกังวานก้องไปทั่ว ขับขานบทเพลงแห่งสันติภาพและสัมพันธไมตรีที่ถูกเชื่อมประสานขึ้นใหม่อย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กำลังแซ่ซ้องถวายพระพร พวกเขาคือวีรบุรุษและวีรสตรีผู้พิทักษ์แผ่นดินอีกครั้ง แต่ในใจของทั้งสองกลับมิได้มีความลำพองใจแม้แต่น้อย มีเพียงความโล่งใจที่ได้เห็นแผ่นดินกลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริงภายหลังจากพระราชพิธีหลักเสร็จสิ้นลง ฝ่าบาทผู้ทรงมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสุขและความปีติยินดี ได้มีรับสั่งให้ทั้งสองเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงบ“หากมิได้มีพวกเจ้าทั้งสอง” ฝ่าบาทตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมด้วยความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
ปลายเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเวลาเปรียบประหนึ่งเม็ดทรายในนาฬิกาที่ร่วงหล่นลงอย่างไม่ปรานี พระอาการขององค์หญิงมู่หลินทรุดลงทุกขณะ ประกายสีครามบนผิวพระองค์เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นแม้ในยามกลางวัน ลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะดับสูญได้ทุกเมื่อ ความกดดันที่มองไม่เห็นได้แผ่ขยายไปทั่ววังหลวง มันมิใช่เพียงชีวิตขององค์หญิงที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่คือสันติภาพของสองแผ่นดินที่กำลังจะขาดสะบั้นลงท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ตู้เยี่ยนอวี่ได้ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์พร้อมด้วยกู้เหยียนหลงและองค์หญิงลี่หัว ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงัด นางได้ทูลเสนอแผนการสุดท้ายที่อาจหาญและเสี่ยงอันตรายที่สุด“ฝ่าบาท” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว “การจะจับอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เรามิอาจรอให้มันเผยตัวออกมาเองได้ แต่เราต้องสร้างเหยื่อล่อที่หอมหวานที่สุด เพื่อล่อให้มันคายพิษออกมาด้วยตนเองเพคะ”นางได้สร้างเรื่องราวของสมุนไพรวิเศษในตำนานขึ้นมา รากวิญญาณจันทรา พฤกษาทิพย์ที่กล่าวกันว่าสามารถชำระล้างพิษได้ทุกชนิด และจะเบ่งบานเพียงคืนเดียวใต้แสงจันทร์เต็มดวง ณ อารามเมฆขาวบนยอดเขาไท่ซานเท่าน
กลางเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองวังหลวงที่เคยประดับประดาด้วยโคมไฟแห่งการเฉลิมฉลอง บัดนี้กลับถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความวิตกกังวลที่มองไม่เห็น การประชวรขององค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ ได้กลายเป็นหินถ่วงก้อนมหึมาที่ถ่วงดุลแห่งสัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดินให้สั่นคลอนอย่างน่าหวาดเสียว การสืบสวนเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงันและเร่งด่วน ประหนึ่งการเดินหมากบนกระดานที่ทุกก้าวล้วนเดิมพันด้วยสันติภาพของต้าเฉินสมรภูมิในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองแนวรบที่ดำเนินไปพร้อมกันแนวรบแรกคือห้องปรุงยาหลวงของตู้เยี่ยนอวี่ ที่นี่มิได้มีเสียงคมดาบปะทะกัน มีเพียงเสียงบดยาอันแผ่วเบา เสียงเปลวเทียนที่สั่นไหว และเสียงลมหายใจที่จดจ่อของแพทย์เทวดา ห้องของนางได้แปรสภาพเป็นศูนย์บัญชาการแห่งการพิสูจน์หลักฐาน มันคือการผสมผสานอย่างน่าทึ่งระหว่างเครื่องมือโบราณและนวัตกรรมที่นางประดิษฐ์ขึ้นจากความทรงจำในอีกโลกหนึ่ง ทั้งเครื่องกลั่นขนาดเล็กที่ทำจากแก้วใส และแว่นขยายที่เจียระไนอย่างประณีตนางทุ่มเทเวลานานถึงสองวันสองคืนในการวิเคราะห์เถ้ากำยานปริศนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่ว
ต้นเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมืองหลวงที่ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้จากไปเมื่อหนึ่งปีก่อน บัดนี้ได้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณและโคมไฟสีแดงสดอีกครั้งหนึ่ง โคมไฟนับพันดวงถูกแขวนประดับไปตามชายคาของอาคารบ้านเรือน สะบัดพลิ้วตามสายลมคิมหันตฤดูราวกับฝูงผีเสื้ออัคคีที่เริงระบำ ผ้าไหมสีมงคลถูกขึงทอดยาวไปตามถนนสายหลัก บ่งบอกถึงงานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่แผ่นดินต้าเฉินกำลังรอคอย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรื่นเริงและความคาดหวัง ทว่าสำหรับผู้ที่เจนจบในเล่ห์กลแห่งราชสำนักแล้ว ความสงบสุขที่ผิวเผินนี้เปรียบดั่งผิวน้ำอันราบเรียบ แต่เบื้องล่างนั้นกลับซ่อนเร้นไว้ด้วยกระแสธารอันเชี่ยวกรากที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้พังพินาศการกลับมาของทั้งสองมิได้เอิกเกริก แต่กลับเงียบงันดุจเงาที่เคลื่อนไหวในรัตติกาล สถานที่นัดพบแห่งแรกของพวกเขามิใช่ท้องพระโรงอันโอ่อ่า แต่เป็นโรงน้ำชาเก่าแก่ในตรอกเร้นลับ ที่ซึ่งจางอู๋จีในชุดบัณฑิตเรียบง่ายนั่งรออยู่แล้ว“ท่านทั้งสองดูแข็งแกร่งและสงบขึ้นมาก” จางอู๋จีเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขายังคงคมกริบดุจเหยี่ยวเฒ่าเช่นเดิม “ดูเหมือนว่าสายลมแห่งแดนเหนือจะขัดเกลาหยกงามทั้งสองให
ปลายเดือนสี่ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองหนึ่งปีเต็มที่เปลวเพลิงแห่งสงคราม ณ ชายแดนภาคเหนือได้มอดดับลง สายลมวสันตฤดูที่พัดผ่านเมืองผิงหยวนในยามนี้มิได้หอบเอาฝุ่นควันและกลิ่นคาวเลือดมาด้วยอีกต่อไป หากแต่เป็นกลิ่นไอดินอันบริสุทธิ์และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ป่าที่เพิ่งจะแย้มบาน เมืองหน้าด่านที่เคยเป็นดั่งสุสานกลางแจ้ง บัดนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ประหนึ่งต้นไม้แห้งแล้งที่ได้รับสายฝนชโลมใจเสียงค้อนที่ตอกลงบนโครงสร้างบ้านเรือนหลังใหม่ดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา แทนที่เสียงดาบที่เคยกระทบกันอย่างน่าสะพรึงกลัว รอยยิ้มได้กลับคืนสู่ใบหน้าของชาวบ้านที่เคยซูบตอบด้วยความสิ้นหวัง แม้ร่องรอยความเหนื่อยล้าจะยังคงอยู่ แต่ในแววตาของพวกเขากลับเปี่ยมด้วยประกายแสงแห่งความหวังณ ใจกลางของความเปลี่ยนแปลงนี้ คือเรือนพักชั่วคราวของสองวีรชนผู้พลิกชะตาแผ่นดินตู้เยี่ยนอวี่ในอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีขาวเรียบง่าย กำลังเดินตรวจดูแปลงสมุนไพรในสวนโอสถร้อยสกุลที่นางริเริ่มขึ้นด้วยตนเอง มันมิใช่สวนบุปผาที่งดงามเพื่อการชื่นชม แต่คือคลังยาที่มีชีวิตซึ่งนางจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขชุมชน นางกำลังสอนกลุ
บนสมรภูมิทะเลสาบกระจกที่บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านผืนเกลือสีขาวและเสียงครวญครางของผู้บาดเจ็บ คำประกาศยอมแพ้ของจ้าวอู๋จี้ดังก้องอยู่ในความเงียบนั้น ประหนึ่งคำพิพากษาสุดท้ายที่ปิดฉากสงครามอันนองเลือดแห่งแดนเหนือลงโดยสมบูรณ์เขามิได้มีท่าทีของนักโทษผู้สิ้นหวัง แต่กลับเป็นความสงบนิ่งของนักปราชญ์ผู้ยอมรับในผลลัพธ์ของกระดานหมากที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จ้าวอู๋จี้เดินลงจากเนินดินอย่างเชื่องช้า เขาปลดดาบประจำกายที่อยู่ข้างเอวออก และยื่นมันให้แก่กู้เหยียนหลงด้วยสองมือ“นี่คือสัญลักษณ์แห่งการยอมจำนนของข้า” เขากล่าวเสียงเรียบ “และคือการยอมรับในชัยชนะของท่าน”กู้เหยียนหลงรับดาบเล่มนั้นมาถือไว้ เขามิได้แสดงท่าทีของผู้ชนะที่ลำพองใจ แต่กลับประสานมือคารวะคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย“ท่านคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบพาน” กู้เหยียนหลงกล่าว “การพิพากษาท่านมิใช่หน้าที่ของข้า แต่เป็นหน้าที่ของราชสำนักและประวัติศาสตร์”เขาออกคำสั่งให้นำตัวจ้าวอู๋จี้และเหล่าแม่ทัพนายกอ