ยามตะวันทอแสงเรืองรองเหนือน่านฟ้าเมืองจิ่นหยาง ตู้เยี่ยนอวี่ และเสี่ยวจูยังคงปักหลักอยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้ หลังจากผ่านพ้นวิกฤตการณ์โรคระบาดอัคคีที่เกือบจะกลืนกินเมืองจิ่นหยางไปทั้งเมือง บัดนี้เมืองจิ่นหยางกลับมามีชีวิตชีวาอีกครา เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของผู้คนที่เคยจมดิ่งในความทุกข์ระทม กลับมาปรากฏให้เห็นทั่วทุกหนแห่ง
เจ้าเมืองจิ่นหยางได้จัดงานเลี้ยงขอบคุณตู้เยี่ยนอวี่อย่างยิ่งใหญ่ ดุจการเฉลิมฉลองชัยชนะของแม่ทัพผู้เก่งกาจ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างหลั่งไหลมาร่วมงาน เพื่อแสดงความเคารพและชื่นชมในคุณธรรมและสติปัญญาของนาง
“หมอเทวดาตู้ ท่านคือผู้มีพระคุณของเมืองจิ่นหยาง ข้าขอคารวะท่านด้วยใจจริง” เจ้าเมืองจิ่นหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ พลางยกจอกสุราขึ้นจรดริมฝีปาก
ตู้เยี่ยนอวี่โค้งคำนับเล็กน้อย “ท่านเจ้าเมืองกล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าเพียงทำตามหน้าที่ของมนุษย์เท่านั้นเจ้าค่ะ”
แม้นางจะได้รับคำสรรเสริญเยินยอมากมายเพียงใด ตู้เยี่ยนอวี่ก็มิได้หลงระเริงในเกียรติยศชื่อเสียง นางยังคงถ่อมตนและมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้คนต่อไป
ในช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองจิ่นหยาง ตู้เยี่ยนอวี่ได้ใช้โอกาสนี้ในการศึกษาตำราแพทย์และสมุนไพรหายากเพิ่มเติม นางเดินทางไปยังร้านตำราและร้านสมุนไพรต่าง ๆ เพื่อค้นหาสิ่งที่ตนปรารถนา เสี่ยวจูคอยติดตามนางไปทุกหนแห่ง
วันหนึ่ง ขณะที่นางกำลังเดินสำรวจร้านขายยาเก่าแก่แห่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงพูดคุยของผู้คนกลุ่มหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา บทสนทนาเหล่านั้นทำให้ตู้เยี่ยนอวี่รู้สึกสนใจยิ่งนัก
“ได้ยินว่าในเมืองหลวงเกิดโรคระบาดประหลาดขึ้นอีกแล้วนะ” ชายผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล
“จริงหรือขอรับ ? มิใช่ว่าเมืองหลวงมีหมอผู้เก่งกาจมากมายหรอกหรือ ?” อีกคนถามด้วยความแปลกใจ
“ได้ยินว่าโรคระบาดครั้งนี้รุนแรงยิ่งนัก ผู้คนล้มตายไปหลายคนแล้ว แม้แต่หมอหลวงก็มิอาจรักษาได้เลยขอรับ” ชายคนแรกกล่าวด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “ดูท่าทางแล้วคงจะเป็นภัยพิบัติจากฟากฟ้าเป็นแน่”
ตู้เยี่ยนอวี่ได้ยินดังนั้น หัวใจของนางก็พลันเต้นระรัว “โรคระบาดประหลาดในเมืองหลวง” นางพึมพำกับตนเอง
ความรู้สึกวิตกกังวลเข้าครอบงำจิตใจของนาง แม้เมืองหลวงจะอยู่ห่างไกลจากเมืองจิ่นหยางมาก แต่หากโรคระบาดครั้งนี้รุนแรงจริง ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้คนนับหมื่นนับแสนชีวิต
นางตัดสินใจที่จะสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดในเมืองหลวงให้มากขึ้น นางสอบถามจากผู้คนในตลาด ร้านค้า และโรงเตี๊ยมต่าง ๆ ข้อมูลที่ได้มานั้นล้วนยืนยันว่าข่าวลือเป็นความจริง โรคระบาดในเมืองหลวงรุนแรงกว่าที่คิดไว้มาก
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูจะไปเมืองหลวงหรือเจ้าคะ ?” เสี่ยวจูถามด้วยความกังวลใจ ยามเห็นตู้เยี่ยนอวี่มีสีหน้าครุ่นคิด
ตู้เยี่ยนอวี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้ามิแน่ใจเสี่ยวจู แต่หากโรคระบาดครั้งนี้รุนแรงจริง ข้าก็มิอาจนิ่งดูดายได้”
–
ยามฤดูร้อนมาเยือน อากาศร้อนระอุ
ตู้เยี่ยนอวี่ตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังเมืองหลวง แม้จะรู้ว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยอันตรายและอุปสรรคมากมาย แต่จิตใจของนางกลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้คน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะเดินทางไปเมืองหลวงเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่กล่าวกับท่านผู้เฒ่าตู้และฮูหยินตู้ ที่เดินทางมายังเมืองจิ่นหยางเพื่อมารับนางกลับบ้าน
ฮูหยินตู้ถึงกับหน้าซีดเผือด “อะไรนะลูก ?! เมืองหลวงนั้นอันตรายนัก ยิ่งยามนี้มีโรคระบาดรุนแรง แม่มิอนุญาตให้เจ้าไปหรอกลูก !”
ท่านผู้เฒ่าตู้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “อวี่เอ๋อร์ พ่อรู้ว่าเจ้ามีจิตใจเมตตา แต่เมืองหลวงนั้นมิใช่สถานที่ที่เจ้าจะเข้าไปได้โดยง่าย ยิ่งมีโรคระบาดเช่นนี้ ยิ่งอันตรายนัก”
ตู้เยี่ยนอวี่กุมมือของบิดามารดาของร่างนี้ไว้แน่น
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกรู้ว่าท่านเป็นห่วง แต่ลูกมิอาจนิ่งดูดายได้ หากลูกมีความรู้ความสามารถที่จะช่วยเหลือผู้คนได้ ลูกก็ควรจะทำมิใช่หรือเจ้าคะ ?”
นางอธิบายถึงความรุนแรงของโรคระบาดในเมืองหลวง และความมุ่งมั่นที่จะใช้ความรู้ความสามารถของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ท่านผู้เฒ่าตู้และฮูหยินตู้มองหน้ากันอย่างหนักใจ ท้ายที่สุดด้วยความรักและความเข้าใจในตัวบุตรสาว พวกเขาก็จำต้องยอมอนุญาต
“เช่นนั้นก็เดินทางปลอดภัยนะลูก หากมีอันใดเกิดขึ้น ให้รีบส่งข่าวมาให้พ่อและแม่ทันที” ฮูหยินตู้กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้า
“เจ้าค่ะท่านแม่” ตู้เยี่ยนอวี่กอดมารดาของร่างนี้แน่น “ข้าจะดูแลตนเองให้ดีเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่และเสี่ยวจูออกเดินทางไปยังเมืองหลวงในวันรุ่งขึ้น การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาหลายวัน พวกนางต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนระอุ และเส้นทางที่ค่อนข้างทุรกันดาร แต่ตู้เยี่ยนอวี่ก็มิได้หวั่นไหว จิตใจของนางเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้คน
ระหว่างทางที่เดินทางไปยังเมืองหลวง ตู้เยี่ยนอวี่ก็ยังคงฝึกฝนกำลังภายในอย่างสม่ำเสมอ นางเชื่อว่าพลังเหล่านี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้นางสามารถช่วยเหลือผู้คนในเมืองหลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยามฤดูใบไม้ร่วงเริ่มมาเยือน ท้องฟ้าเริ่มมีสีหม่นหมอง
ตู้เยี่ยนอวี่ และเสี่ยวจูได้เดินทางมาถึงชานเมืองหลวงโดยสวัสดิภาพ บรรยากาศของเมืองหลวงแตกต่างจากเมืองจิ่นหยางลิบลับ แม้จะเป็นเมืองใหญ่ แต่กลับเงียบสงัดผิดปกติ สองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนที่ล้มป่วยนอนกองอยู่ตามพื้นถนน ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายอ่อนแรง กลิ่นอายของความเจ็บป่วยและความสิ้นหวังแผ่คลุ้งไปทั่ว
“คุณหนูเจ้าคะ นี่มันอันใดกัน ?” เสี่ยวจูร้องอุทานด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้างมองภาพที่เห็นตรงหน้า ดุจผู้ที่เห็นฝันร้าย
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้ตอบอันใด ใบหน้าของนางฉายแววความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของนางกวาดมองไปรอบ ๆ พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“โรคระบาดครั้งนี้รุนแรงกว่าที่คาดไว้มาก” นางพึมพำกับตนเอง “ต้องรีบช่วยเหลือผู้คนให้เร็วที่สุด”
นางและเสี่ยวจูรีบรุดเข้าไปในเมืองหลวงทันที พวกนางตรงไปยังโรงหมอหลวงที่อยู่ใจกลางเมือง เมื่อมาถึงก็พบว่าโรงหมอหลวงเต็มไปด้วยผู้ป่วยจำนวนมหาศาล แพทย์หลวงและผู้ช่วยต่างวิ่งวุ่นกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ดูเหมือนจะมิอาจรับมือกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้
“ท่านหมอ ! โปรดช่วยบุตรชายของข้าด้วยเถิดขอรับ !” ชายชราผู้หนึ่งร้องขอความช่วยเหลือด้วยน้ำตาอาบแก้ม บุตรชายของเขานอนซมอยู่บนพื้น ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากเขียวคล้ำ
แพทย์หลวงผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้าเหนื่อยล้าจนแทบจะหมดสิ้นเรี่ยวแรง เดินเข้ามาใกล้ชายชราผู้นั้น “ท่านลุง ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่โรคระบาดครั้งนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก มิมีผู้ใดสามารถรักษาได้เลยขอรับ”
ตู้เยี่ยนอวี่ได้ยินดังนั้น ก็ก้าวเข้าไปหาแพทย์หลวงผู้นั้นทันที “ท่านหมอหลวง ข้าขออนุญาตช่วยรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
แพทย์หลวงผู้นั้นมองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยความแปลกใจ “เจ้าเป็นใคร ? เจ้ามีความรู้ทางการแพทย์หรือ ?”
“ข้ามาจากหมู่บ้านซีหลินเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ข้าพอมีความรู้เรื่องการแพทย์อยู่บ้าง และเคยรักษาโรคระบาดที่คล้ายคลึงกันที่เมืองจิ่นหยางมาแล้วเจ้าค่ะ”
แพทย์หลวงผู้นั้นมองตู้เยี่ยนอวี่อย่างไม่เชื่อถือ แต่เมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นและแน่วแน่ของนาง เขาก็รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างดลใจให้เชื่อมั่นในตัวเด็กสาวผู้นี้
“เช่นนั้นก็เชิญเถิด” แพทย์หลวงผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “แต่หากเกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างเอง”
ตู้เยี่ยนอวี่พยักหน้าเล็กน้อย นางเริ่มลงมือตรวจดูอาการของผู้ป่วยแต่ละคนอย่างรวดเร็ว ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด
“โรคระบาดอัคคี แต่ครั้งนี้กลับมีอาการที่รุนแรงกว่าที่เมืองจิ่นหยางมากนัก” นางพึมพำกับตนเอง “พิษไข้สะสมอยู่ในเส้นลมปราณ และแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว”
นางรู้ดีว่าการรักษาโรคระบาดครั้งนี้จะยากลำบากกว่าที่ผ่านมามากนัก แต่ตู้เยี่ยนอวี่ก็มิได้หวาดหวั่น นางพร้อมแล้วที่จะเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างที่รออยู่เบื้องหน้า
ปลายเดือนเจ็ด รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมฆหมอกร้ายที่เคยปกคลุมวังหลวงได้ถูกปัดเป่าไปจนสิ้น ประหนึ่งรัตติกาลที่ยอมจำนนต่อแสงอรุณ พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างฮ่องเต้แห่งต้าเฉินและองค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ได้ดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติที่สุด ท้องพระโรงหลวงที่เคยเป็นเวทีแห่งการพิพากษา บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณสีแดงสดและทองอร่าม เสียงดนตรีมงคลดังกังวานก้องไปทั่ว ขับขานบทเพลงแห่งสันติภาพและสัมพันธไมตรีที่ถูกเชื่อมประสานขึ้นใหม่อย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กำลังแซ่ซ้องถวายพระพร พวกเขาคือวีรบุรุษและวีรสตรีผู้พิทักษ์แผ่นดินอีกครั้ง แต่ในใจของทั้งสองกลับมิได้มีความลำพองใจแม้แต่น้อย มีเพียงความโล่งใจที่ได้เห็นแผ่นดินกลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริงภายหลังจากพระราชพิธีหลักเสร็จสิ้นลง ฝ่าบาทผู้ทรงมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสุขและความปีติยินดี ได้มีรับสั่งให้ทั้งสองเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงบ“หากมิได้มีพวกเจ้าทั้งสอง” ฝ่าบาทตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมด้วยความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
ปลายเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเวลาเปรียบประหนึ่งเม็ดทรายในนาฬิกาที่ร่วงหล่นลงอย่างไม่ปรานี พระอาการขององค์หญิงมู่หลินทรุดลงทุกขณะ ประกายสีครามบนผิวพระองค์เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นแม้ในยามกลางวัน ลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะดับสูญได้ทุกเมื่อ ความกดดันที่มองไม่เห็นได้แผ่ขยายไปทั่ววังหลวง มันมิใช่เพียงชีวิตขององค์หญิงที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่คือสันติภาพของสองแผ่นดินที่กำลังจะขาดสะบั้นลงท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ตู้เยี่ยนอวี่ได้ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์พร้อมด้วยกู้เหยียนหลงและองค์หญิงลี่หัว ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงัด นางได้ทูลเสนอแผนการสุดท้ายที่อาจหาญและเสี่ยงอันตรายที่สุด“ฝ่าบาท” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว “การจะจับอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เรามิอาจรอให้มันเผยตัวออกมาเองได้ แต่เราต้องสร้างเหยื่อล่อที่หอมหวานที่สุด เพื่อล่อให้มันคายพิษออกมาด้วยตนเองเพคะ”นางได้สร้างเรื่องราวของสมุนไพรวิเศษในตำนานขึ้นมา รากวิญญาณจันทรา พฤกษาทิพย์ที่กล่าวกันว่าสามารถชำระล้างพิษได้ทุกชนิด และจะเบ่งบานเพียงคืนเดียวใต้แสงจันทร์เต็มดวง ณ อารามเมฆขาวบนยอดเขาไท่ซานเท่าน
กลางเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองวังหลวงที่เคยประดับประดาด้วยโคมไฟแห่งการเฉลิมฉลอง บัดนี้กลับถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความวิตกกังวลที่มองไม่เห็น การประชวรขององค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ ได้กลายเป็นหินถ่วงก้อนมหึมาที่ถ่วงดุลแห่งสัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดินให้สั่นคลอนอย่างน่าหวาดเสียว การสืบสวนเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงันและเร่งด่วน ประหนึ่งการเดินหมากบนกระดานที่ทุกก้าวล้วนเดิมพันด้วยสันติภาพของต้าเฉินสมรภูมิในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองแนวรบที่ดำเนินไปพร้อมกันแนวรบแรกคือห้องปรุงยาหลวงของตู้เยี่ยนอวี่ ที่นี่มิได้มีเสียงคมดาบปะทะกัน มีเพียงเสียงบดยาอันแผ่วเบา เสียงเปลวเทียนที่สั่นไหว และเสียงลมหายใจที่จดจ่อของแพทย์เทวดา ห้องของนางได้แปรสภาพเป็นศูนย์บัญชาการแห่งการพิสูจน์หลักฐาน มันคือการผสมผสานอย่างน่าทึ่งระหว่างเครื่องมือโบราณและนวัตกรรมที่นางประดิษฐ์ขึ้นจากความทรงจำในอีกโลกหนึ่ง ทั้งเครื่องกลั่นขนาดเล็กที่ทำจากแก้วใส และแว่นขยายที่เจียระไนอย่างประณีตนางทุ่มเทเวลานานถึงสองวันสองคืนในการวิเคราะห์เถ้ากำยานปริศนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่ว
ต้นเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมืองหลวงที่ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้จากไปเมื่อหนึ่งปีก่อน บัดนี้ได้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณและโคมไฟสีแดงสดอีกครั้งหนึ่ง โคมไฟนับพันดวงถูกแขวนประดับไปตามชายคาของอาคารบ้านเรือน สะบัดพลิ้วตามสายลมคิมหันตฤดูราวกับฝูงผีเสื้ออัคคีที่เริงระบำ ผ้าไหมสีมงคลถูกขึงทอดยาวไปตามถนนสายหลัก บ่งบอกถึงงานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่แผ่นดินต้าเฉินกำลังรอคอย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรื่นเริงและความคาดหวัง ทว่าสำหรับผู้ที่เจนจบในเล่ห์กลแห่งราชสำนักแล้ว ความสงบสุขที่ผิวเผินนี้เปรียบดั่งผิวน้ำอันราบเรียบ แต่เบื้องล่างนั้นกลับซ่อนเร้นไว้ด้วยกระแสธารอันเชี่ยวกรากที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้พังพินาศการกลับมาของทั้งสองมิได้เอิกเกริก แต่กลับเงียบงันดุจเงาที่เคลื่อนไหวในรัตติกาล สถานที่นัดพบแห่งแรกของพวกเขามิใช่ท้องพระโรงอันโอ่อ่า แต่เป็นโรงน้ำชาเก่าแก่ในตรอกเร้นลับ ที่ซึ่งจางอู๋จีในชุดบัณฑิตเรียบง่ายนั่งรออยู่แล้ว“ท่านทั้งสองดูแข็งแกร่งและสงบขึ้นมาก” จางอู๋จีเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขายังคงคมกริบดุจเหยี่ยวเฒ่าเช่นเดิม “ดูเหมือนว่าสายลมแห่งแดนเหนือจะขัดเกลาหยกงามทั้งสองให
ปลายเดือนสี่ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองหนึ่งปีเต็มที่เปลวเพลิงแห่งสงคราม ณ ชายแดนภาคเหนือได้มอดดับลง สายลมวสันตฤดูที่พัดผ่านเมืองผิงหยวนในยามนี้มิได้หอบเอาฝุ่นควันและกลิ่นคาวเลือดมาด้วยอีกต่อไป หากแต่เป็นกลิ่นไอดินอันบริสุทธิ์และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ป่าที่เพิ่งจะแย้มบาน เมืองหน้าด่านที่เคยเป็นดั่งสุสานกลางแจ้ง บัดนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ประหนึ่งต้นไม้แห้งแล้งที่ได้รับสายฝนชโลมใจเสียงค้อนที่ตอกลงบนโครงสร้างบ้านเรือนหลังใหม่ดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา แทนที่เสียงดาบที่เคยกระทบกันอย่างน่าสะพรึงกลัว รอยยิ้มได้กลับคืนสู่ใบหน้าของชาวบ้านที่เคยซูบตอบด้วยความสิ้นหวัง แม้ร่องรอยความเหนื่อยล้าจะยังคงอยู่ แต่ในแววตาของพวกเขากลับเปี่ยมด้วยประกายแสงแห่งความหวังณ ใจกลางของความเปลี่ยนแปลงนี้ คือเรือนพักชั่วคราวของสองวีรชนผู้พลิกชะตาแผ่นดินตู้เยี่ยนอวี่ในอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีขาวเรียบง่าย กำลังเดินตรวจดูแปลงสมุนไพรในสวนโอสถร้อยสกุลที่นางริเริ่มขึ้นด้วยตนเอง มันมิใช่สวนบุปผาที่งดงามเพื่อการชื่นชม แต่คือคลังยาที่มีชีวิตซึ่งนางจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขชุมชน นางกำลังสอนกลุ
บนสมรภูมิทะเลสาบกระจกที่บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านผืนเกลือสีขาวและเสียงครวญครางของผู้บาดเจ็บ คำประกาศยอมแพ้ของจ้าวอู๋จี้ดังก้องอยู่ในความเงียบนั้น ประหนึ่งคำพิพากษาสุดท้ายที่ปิดฉากสงครามอันนองเลือดแห่งแดนเหนือลงโดยสมบูรณ์เขามิได้มีท่าทีของนักโทษผู้สิ้นหวัง แต่กลับเป็นความสงบนิ่งของนักปราชญ์ผู้ยอมรับในผลลัพธ์ของกระดานหมากที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จ้าวอู๋จี้เดินลงจากเนินดินอย่างเชื่องช้า เขาปลดดาบประจำกายที่อยู่ข้างเอวออก และยื่นมันให้แก่กู้เหยียนหลงด้วยสองมือ“นี่คือสัญลักษณ์แห่งการยอมจำนนของข้า” เขากล่าวเสียงเรียบ “และคือการยอมรับในชัยชนะของท่าน”กู้เหยียนหลงรับดาบเล่มนั้นมาถือไว้ เขามิได้แสดงท่าทีของผู้ชนะที่ลำพองใจ แต่กลับประสานมือคารวะคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย“ท่านคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบพาน” กู้เหยียนหลงกล่าว “การพิพากษาท่านมิใช่หน้าที่ของข้า แต่เป็นหน้าที่ของราชสำนักและประวัติศาสตร์”เขาออกคำสั่งให้นำตัวจ้าวอู๋จี้และเหล่าแม่ทัพนายกอ