เดือนอ้าย ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบ
“คุณหนูเจ้าคะ บุรุษผู้นั้นอาการดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกายแห่งความยินดี ยามเห็นบุรุษลึกลับที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้ช่วยชีวิตไว้ เริ่มมีสีเลือดฝาดบนใบหน้า และมีเรี่ยวแรงขึ้นเล็กน้อย
ตู้เยี่ยนอวี่เดินเข้ามาใกล้บุรุษผู้นั้น “ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ?” นางถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
บุรุษผู้นั้นมองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ แต่ก็ยังคงมิอาจเอ่ยคำพูดใดออกมาได้ เขาพยายามจะโค้งคำนับ แต่ร่างกายยังคงอ่อนแรง
“มิต้องทำเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าว “ท่านควรจะพักผ่อนให้มาก แล้วอาการก็จะดีขึ้นเองเจ้าค่ะ”
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ตู้เยี่ยนอวี่พยายามรักษาบุรุษผู้นั้นอย่างเต็มที่ ทั้งการใช้สมุนไพรหายาก และการส่งพลังปราณภายในเข้าสู่ร่างกาย เพื่อช่วยขับพิษและฟื้นฟูเส้นลมปราณที่เสียหายจากพิษร้ายชนิดใหม่ที่กองทัพเงาอสูรสร้างขึ้น ดุจแพทย์ผู้เก่งกาจที่พยายามช่วยชีวิตผู้ป่วยที่ใกล้ตาย
วันหนึ่ง ขณะที่ตู้เยี่ยนอวี่กำลังตรวจดูอาการของบุรุษผู้นั้น นางก็สังเกตเห็นรอยสักรูปเงาอสูรที่แขนของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น นางรู้ดีว่าบุรุษผู้นี้คือผู้ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรชั่วร้ายที่กำลังคุกคามแผ่นดิน
“ข้ารู้ว่าท่านคือผู้ที่เคยอยู่ในกองทัพเงาอสูร” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่น้ำเสียงนั้นกลับดังก้องไปทั่วห้อง “ท่านมิใช่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังแผนการชั่วร้ายเหล่านี้ใช่หรือไม่ ?”
บุรุษผู้นั้นมองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ก็พยักหน้าช้า ๆ
“ข้า...มิใช่...” เสียงของเขาแหบพร่า ดุจเสียงลมที่พัดผ่านช่องโหว่
“เช่นนั้น เหตุใดท่านจึงถูกพิษเช่นนี้ ? และเหตุใดท่านจึงมาปรากฏตัวที่นี่ ?” ตู้เยี่ยนอวี่ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง นางรู้ดีว่าคำตอบจากบุรุษผู้นี้จะไขปริศนาสำคัญที่ซับซ้อนนี้ได้
บุรุษผู้นั้นพยายามจะเอ่ยปากพูดอีกครั้ง แต่กลับทำได้เพียงส่งเสียงแหบพร่าออกมาเท่านั้น ตู้เยี่ยนอวี่จึงยื่นกระดาษและพู่กันให้เขา เพื่อให้เขาเขียนสิ่งที่ต้องการจะบอก
บุรุษผู้นั้นค่อย ๆ เขียนตัวอักษรลงบนกระดาษอย่างยากลำบาก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความทุกข์ระทม
“ข้าคือ กู้เหยียนหลง ผู้ที่ถูกกองทัพเงาอสูรจับตัวไป พวกเขาบังคับให้ข้าทำการบางอย่าง แต่ข้าขัดขืนจึงถูกพิษ และถูกทิ้งไว้ให้ตาย...”
ตู้เยี่ยนอวี่อ่านข้อความนั้นด้วยใบหน้าซีดเผือด
“กู้เหยียนหลง ! ท่านคือบุรุษผู้นั้นเองหรือ !” หัวใจของนางพลันเต้นระรัว นางจำได้ทันทีว่ากู้เหยียนหลงคือบุรุษลึกลับผู้สง่างามที่เคยปรากฏกายช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านเมื่อครั้งที่นางยังเป็นเด็ก และเป็นผู้ที่นางเคยให้ความช่วยเหลือเล็กน้อยในยามคับขัน
“พวกเขามีแผนการอันใดกันแน่ ?” ตู้เยี่ยนอวี่ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
กู้เหยียนหลงค่อยทๆ เขียนข้อความต่อไป
“พวกเขามีอาวุธลับที่สามารถควบคุมจิตใจของคนได้ และกำลังวางแผนที่จะใช้มันเพื่อยึดครองแผ่นดิน...”
ตู้เยี่ยนอวี่อ่านข้อความนั้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาของนางฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว “อาวุธลับที่สามารถควบคุมจิตใจคนได้ ! นี่คือภัยคุกคามที่ร้ายแรงยิ่งกว่าโรคระบาดหลายเท่าตัว”
นางรู้ดีว่าการต่อสู้กับกองทัพเงาอสูรในครั้งนี้จะมิใช่เรื่องง่าย และอาจจะต้องใช้พลังทั้งหมดที่ตนมี เพื่อปกป้องผู้คนและหยุดยั้งแผนการชั่วร้ายของพวกเขา
“คุณชายกู้ ท่านรู้ที่ซ่อนของอาวุธลับนั้นหรือไม่เจ้าคะ ?” ตู้เยี่ยนอวี่ถามด้วยความหวัง
กู้เหยียนหลงพยักหน้าช้า ๆ และพยายามเขียนข้อความต่อไปอย่างยากลำบาก “ข้ารู้ที่ซ่อนของมัน แต่...ข้าต้อง...ฟื้นตัวก่อน...”
ตู้เยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “มิต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะช่วยท่านให้ฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด”
เดือนสอง ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบ
ยามลมหนาวเริ่มคลายตัว ดอกท้อเริ่มผลิบานส่งกลิ่นหอมกรุ่น ดุจสัญญาณแห่งความหวังที่กำลังจะมาเยือน กู้เหยียนหลงพักรักษาตัวอยู่ในเรือนของตระกูลตู้ อาการของเขาดีขึ้นตามลำดับ ตู้เยี่ยนอวี่คอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด และยังคงรักษาอาการบาดเจ็บและขับพิษร้ายที่ตกค้างในร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง
วันหนึ่ง กู้เหยียนหลงสามารถเอ่ยคำพูดออกมาได้แล้ว แม้จะยังคงแหบพร่าเล็กน้อย
“ขอบคุณแม่นางตู้ที่ช่วยชีวิตข้าไว้” กู้เหยียนหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตาของเขาฉายแววความซาบซึ้งใจ
ตู้เยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ท่านมิต้องกล่าวเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ การช่วยเหลือผู้อื่นคือหน้าที่ของข้า”
ทั้งสองเริ่มสนทนากันมากขึ้น กู้เหยียนหลงเล่าเรื่องราวชีวิตของตนเองให้ตู้เยี่ยนอวี่ฟังอย่างละเอียด เขาเป็นบุตรชายของตระกูลขุนนางเก่าแก่ แต่ไม่ชอบข้องเกี่ยวกับราชสำนัก จึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสระท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดิน แต่โชคร้ายที่ถูกกองทัพเงาอสูรจับตัวไป เพราะเขาล่วงรู้ความลับบางอย่างเกี่ยวกับแผนการของพวกเขา
“พวกเขากำลังวางแผนที่จะใช้ผลึกแห่งความมืด ซึ่งเป็นอาวุธลับที่สามารถควบคุมจิตใจของคนได้ เพื่อยึดครองแผ่นดิน” กู้เหยียนหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากพวกเขาทำสำเร็จ ผู้คนในแผ่นดินนี้จะต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา และแผ่นดินนี้ก็จะจมดิ่งสู่ความมืดมิดไปตลอดกาล”
ตู้เยี่ยนอวี่รับฟังด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาของนางฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว
“เราต้องหยุดยั้งพวกเขาให้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
กู้เหยียนหลงพยักหน้า “ข้ารู้ที่ซ่อนของผลึกแห่งความมืด แต่ที่นั่นเต็มไปด้วยอันตราย และมีองครักษ์ของกองทัพเงาอสูรคุ้มกันอย่างแน่นหนา”
–
เดือนสาม ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบ
ยามฤดูใบไม้ผลิผลิบานเต็มที่ ดอกไม้นานาชนิดเบ่งบานส่งกลิ่นหอมกรุ่น ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลง เริ่มวางแผนการที่จะบุกเข้าไปในที่ซ่อนของผลึกแห่งความมืด แม้จะรู้ว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยอันตราย แต่ทั้งสองก็มิได้หวาดหวั่น จิตใจของพวกเขามุ่งมั่นที่จะปกป้องแผ่นดินและผู้คนบริสุทธิ์ให้พ้นจากเงื้อมมือของกองทัพเงาอสูร
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะไปกับบุรุษผู้นั้นจริง ๆ หรือเจ้าคะ ?” เสี่ยวจูถามด้วยน้ำเสียงกังวล “มันอันตรายนักนะเจ้าคะ”
ตู้เยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “มิต้องเป็นห่วงข้าหรอกเสี่ยวจู ข้าจะดูแลตนเองให้ดี” นางหันไปหากู้เหยียนหลง “ท่านพร้อมหรือไม่เจ้าคะ ?”
กู้เหยียนหลงพยักหน้า
“ข้าพร้อมแล้วแม่นางตู้” ดวงตาของเขาฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว
ก่อนออกเดินทาง ตู้เยี่ยนอวี่ได้ขอพบกับบิดาเป็นการส่วนตัว เพื่อบอกกล่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้น และขอให้พวกเขาระมัดระวังตัว ท่านผู้เฒ่าหลี่ตกใจยิ่งนักที่ได้ทราบว่ากู้เหยียนหลงยังมีชีวิตอยู่ และได้ล่วงรู้ความลับอันน่าสะพรึงกลัวของกองทัพเงาอสูร
“อวี่เออร์ เจ้าต้องระวังตัวให้มากนะลูก” ท่านผู้เฒ่าหลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “กองทัพเงาอสูรนั้นร้ายกาจนัก”
“ข้าจะระมัดระวังตนเองให้ดีเจ้าค่ะท่านพ่อ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าว “หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ข้าจะส่งข่าวมาให้ท่านทันที”
ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงออกเดินทางจากหมู่บ้านซีหลินในยามค่ำคืน เสี่ยวจูยืนมองตามแผ่นหลังของคนทั้งสองด้วยความกังวลใจ น้ำตาคลอเบ้า แต่ในใจก็เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นในตัวคุณหนูของตน
เส้นทางที่นำไปยังที่ซ่อนของผลึกแห่งความมืดนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากและอันตราย ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ทั้งกับดักที่ซ่อนเร้น และองครักษ์ของกองทัพเงาอสูรที่คอยเฝ้าระวังอยู่ทุกหนแห่ง
แต่ด้วยความร่วมมือและพลังที่แข็งแกร่งของทั้งสอง พวกเขาก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ทีละน้อย กู้เหยียนหลงผู้มีความรู้เรื่องเส้นทางและวิธีการของกองทัพเงาอสูร คอยนำทางและวางแผนการอย่างชาญฉลาด ส่วนตู้เยี่ยนอวี่ผู้มีกำลังภายในที่แข็งแกร่ง และความรู้ทางการแพทย์ที่ล้ำลึก คอยช่วยเหลือและปกป้องเขาจากอันตราย
ยามราตรี ดวงจันทร์ทอแสงนวลผ่องลงมายังป่าลึกที่เงียบสงัด ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงยังคงเดินทางต่อไป ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางและการต่อสู้ มิได้ทำให้นางรู้สึกท้อถอย หากแต่กลับทำให้ใจนางเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากภัยพิบัติที่กำลังคุกคาม
“เราใกล้จะถึงที่หมายแล้ว” กู้เหยียนหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แต่หลังจากนี้จะอันตรายยิ่งกว่าที่ผ่านมานัก”
ปลายเดือนเจ็ด รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมฆหมอกร้ายที่เคยปกคลุมวังหลวงได้ถูกปัดเป่าไปจนสิ้น ประหนึ่งรัตติกาลที่ยอมจำนนต่อแสงอรุณ พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างฮ่องเต้แห่งต้าเฉินและองค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ได้ดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติที่สุด ท้องพระโรงหลวงที่เคยเป็นเวทีแห่งการพิพากษา บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณสีแดงสดและทองอร่าม เสียงดนตรีมงคลดังกังวานก้องไปทั่ว ขับขานบทเพลงแห่งสันติภาพและสัมพันธไมตรีที่ถูกเชื่อมประสานขึ้นใหม่อย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กำลังแซ่ซ้องถวายพระพร พวกเขาคือวีรบุรุษและวีรสตรีผู้พิทักษ์แผ่นดินอีกครั้ง แต่ในใจของทั้งสองกลับมิได้มีความลำพองใจแม้แต่น้อย มีเพียงความโล่งใจที่ได้เห็นแผ่นดินกลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริงภายหลังจากพระราชพิธีหลักเสร็จสิ้นลง ฝ่าบาทผู้ทรงมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสุขและความปีติยินดี ได้มีรับสั่งให้ทั้งสองเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงบ“หากมิได้มีพวกเจ้าทั้งสอง” ฝ่าบาทตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมด้วยความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
ปลายเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเวลาเปรียบประหนึ่งเม็ดทรายในนาฬิกาที่ร่วงหล่นลงอย่างไม่ปรานี พระอาการขององค์หญิงมู่หลินทรุดลงทุกขณะ ประกายสีครามบนผิวพระองค์เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นแม้ในยามกลางวัน ลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะดับสูญได้ทุกเมื่อ ความกดดันที่มองไม่เห็นได้แผ่ขยายไปทั่ววังหลวง มันมิใช่เพียงชีวิตขององค์หญิงที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่คือสันติภาพของสองแผ่นดินที่กำลังจะขาดสะบั้นลงท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ตู้เยี่ยนอวี่ได้ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์พร้อมด้วยกู้เหยียนหลงและองค์หญิงลี่หัว ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงัด นางได้ทูลเสนอแผนการสุดท้ายที่อาจหาญและเสี่ยงอันตรายที่สุด“ฝ่าบาท” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว “การจะจับอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เรามิอาจรอให้มันเผยตัวออกมาเองได้ แต่เราต้องสร้างเหยื่อล่อที่หอมหวานที่สุด เพื่อล่อให้มันคายพิษออกมาด้วยตนเองเพคะ”นางได้สร้างเรื่องราวของสมุนไพรวิเศษในตำนานขึ้นมา รากวิญญาณจันทรา พฤกษาทิพย์ที่กล่าวกันว่าสามารถชำระล้างพิษได้ทุกชนิด และจะเบ่งบานเพียงคืนเดียวใต้แสงจันทร์เต็มดวง ณ อารามเมฆขาวบนยอดเขาไท่ซานเท่าน
กลางเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองวังหลวงที่เคยประดับประดาด้วยโคมไฟแห่งการเฉลิมฉลอง บัดนี้กลับถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความวิตกกังวลที่มองไม่เห็น การประชวรขององค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ ได้กลายเป็นหินถ่วงก้อนมหึมาที่ถ่วงดุลแห่งสัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดินให้สั่นคลอนอย่างน่าหวาดเสียว การสืบสวนเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงันและเร่งด่วน ประหนึ่งการเดินหมากบนกระดานที่ทุกก้าวล้วนเดิมพันด้วยสันติภาพของต้าเฉินสมรภูมิในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองแนวรบที่ดำเนินไปพร้อมกันแนวรบแรกคือห้องปรุงยาหลวงของตู้เยี่ยนอวี่ ที่นี่มิได้มีเสียงคมดาบปะทะกัน มีเพียงเสียงบดยาอันแผ่วเบา เสียงเปลวเทียนที่สั่นไหว และเสียงลมหายใจที่จดจ่อของแพทย์เทวดา ห้องของนางได้แปรสภาพเป็นศูนย์บัญชาการแห่งการพิสูจน์หลักฐาน มันคือการผสมผสานอย่างน่าทึ่งระหว่างเครื่องมือโบราณและนวัตกรรมที่นางประดิษฐ์ขึ้นจากความทรงจำในอีกโลกหนึ่ง ทั้งเครื่องกลั่นขนาดเล็กที่ทำจากแก้วใส และแว่นขยายที่เจียระไนอย่างประณีตนางทุ่มเทเวลานานถึงสองวันสองคืนในการวิเคราะห์เถ้ากำยานปริศนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่ว
ต้นเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมืองหลวงที่ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้จากไปเมื่อหนึ่งปีก่อน บัดนี้ได้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณและโคมไฟสีแดงสดอีกครั้งหนึ่ง โคมไฟนับพันดวงถูกแขวนประดับไปตามชายคาของอาคารบ้านเรือน สะบัดพลิ้วตามสายลมคิมหันตฤดูราวกับฝูงผีเสื้ออัคคีที่เริงระบำ ผ้าไหมสีมงคลถูกขึงทอดยาวไปตามถนนสายหลัก บ่งบอกถึงงานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่แผ่นดินต้าเฉินกำลังรอคอย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรื่นเริงและความคาดหวัง ทว่าสำหรับผู้ที่เจนจบในเล่ห์กลแห่งราชสำนักแล้ว ความสงบสุขที่ผิวเผินนี้เปรียบดั่งผิวน้ำอันราบเรียบ แต่เบื้องล่างนั้นกลับซ่อนเร้นไว้ด้วยกระแสธารอันเชี่ยวกรากที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้พังพินาศการกลับมาของทั้งสองมิได้เอิกเกริก แต่กลับเงียบงันดุจเงาที่เคลื่อนไหวในรัตติกาล สถานที่นัดพบแห่งแรกของพวกเขามิใช่ท้องพระโรงอันโอ่อ่า แต่เป็นโรงน้ำชาเก่าแก่ในตรอกเร้นลับ ที่ซึ่งจางอู๋จีในชุดบัณฑิตเรียบง่ายนั่งรออยู่แล้ว“ท่านทั้งสองดูแข็งแกร่งและสงบขึ้นมาก” จางอู๋จีเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขายังคงคมกริบดุจเหยี่ยวเฒ่าเช่นเดิม “ดูเหมือนว่าสายลมแห่งแดนเหนือจะขัดเกลาหยกงามทั้งสองให
ปลายเดือนสี่ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองหนึ่งปีเต็มที่เปลวเพลิงแห่งสงคราม ณ ชายแดนภาคเหนือได้มอดดับลง สายลมวสันตฤดูที่พัดผ่านเมืองผิงหยวนในยามนี้มิได้หอบเอาฝุ่นควันและกลิ่นคาวเลือดมาด้วยอีกต่อไป หากแต่เป็นกลิ่นไอดินอันบริสุทธิ์และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ป่าที่เพิ่งจะแย้มบาน เมืองหน้าด่านที่เคยเป็นดั่งสุสานกลางแจ้ง บัดนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ประหนึ่งต้นไม้แห้งแล้งที่ได้รับสายฝนชโลมใจเสียงค้อนที่ตอกลงบนโครงสร้างบ้านเรือนหลังใหม่ดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา แทนที่เสียงดาบที่เคยกระทบกันอย่างน่าสะพรึงกลัว รอยยิ้มได้กลับคืนสู่ใบหน้าของชาวบ้านที่เคยซูบตอบด้วยความสิ้นหวัง แม้ร่องรอยความเหนื่อยล้าจะยังคงอยู่ แต่ในแววตาของพวกเขากลับเปี่ยมด้วยประกายแสงแห่งความหวังณ ใจกลางของความเปลี่ยนแปลงนี้ คือเรือนพักชั่วคราวของสองวีรชนผู้พลิกชะตาแผ่นดินตู้เยี่ยนอวี่ในอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีขาวเรียบง่าย กำลังเดินตรวจดูแปลงสมุนไพรในสวนโอสถร้อยสกุลที่นางริเริ่มขึ้นด้วยตนเอง มันมิใช่สวนบุปผาที่งดงามเพื่อการชื่นชม แต่คือคลังยาที่มีชีวิตซึ่งนางจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขชุมชน นางกำลังสอนกลุ
บนสมรภูมิทะเลสาบกระจกที่บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านผืนเกลือสีขาวและเสียงครวญครางของผู้บาดเจ็บ คำประกาศยอมแพ้ของจ้าวอู๋จี้ดังก้องอยู่ในความเงียบนั้น ประหนึ่งคำพิพากษาสุดท้ายที่ปิดฉากสงครามอันนองเลือดแห่งแดนเหนือลงโดยสมบูรณ์เขามิได้มีท่าทีของนักโทษผู้สิ้นหวัง แต่กลับเป็นความสงบนิ่งของนักปราชญ์ผู้ยอมรับในผลลัพธ์ของกระดานหมากที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จ้าวอู๋จี้เดินลงจากเนินดินอย่างเชื่องช้า เขาปลดดาบประจำกายที่อยู่ข้างเอวออก และยื่นมันให้แก่กู้เหยียนหลงด้วยสองมือ“นี่คือสัญลักษณ์แห่งการยอมจำนนของข้า” เขากล่าวเสียงเรียบ “และคือการยอมรับในชัยชนะของท่าน”กู้เหยียนหลงรับดาบเล่มนั้นมาถือไว้ เขามิได้แสดงท่าทีของผู้ชนะที่ลำพองใจ แต่กลับประสานมือคารวะคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย“ท่านคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบพาน” กู้เหยียนหลงกล่าว “การพิพากษาท่านมิใช่หน้าที่ของข้า แต่เป็นหน้าที่ของราชสำนักและประวัติศาสตร์”เขาออกคำสั่งให้นำตัวจ้าวอู๋จี้และเหล่าแม่ทัพนายกอ