เดือนสิบ ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเก้า
ยามลมหนาวเริ่มพัดหวน บรรยากาศของหมู่บ้านซีหลินเริ่มปกคลุมด้วยความเงียบสงบยามค่ำคืน แม้ฤดูหนาวจะนำพาความหนาวเย็นมาเยือน แต่ในใจของตู้เยี่ยนอวี่กลับอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและสุขสงบ การได้กลับมาอยู่ท่ามกลางครอบครัวอันเป็นที่รัก และได้ช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านที่เปรียบเสมือนบ้านเกิดแห่งที่สอง ทำให้จิตใจของนางเปี่ยมด้วยความสุขที่แท้จริง
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านควรจะสวมเสื้อหนา ๆ นะเจ้าคะ อากาศเย็นลงมากแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวจู กล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย ยามเห็นตู้เยี่ยนอวี่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ริมหน้าต่าง
ตู้เยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “มิต้องเป็นห่วงข้าหรอกเสี่ยวจู กายของข้าแข็งแรงขึ้นมากแล้ว” นางยังคงใช้เวลาในยามว่างในการฝึกฝนกำลังภายในอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเตรียมรับมือกับภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
สำนักแพทย์พื้นบ้านที่ตู้เยี่ยนอวี่ริเริ่มขึ้นในหมู่บ้านซีหลิน ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากชาวบ้าน ทุกวันจะมีชาวบ้านจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาขอคำปรึกษาและรับการรักษา นางถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการใช้สมุนไพรพื้นบ้าน และการดูแลสุขภาพให้แก่ชาวบ้านอย่างไม่ปิดบัง
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ ช่างมีน้ำใจยิ่งนักขอรับ” ท่านลุงหมิง หัวหน้ากลุ่มแพทย์พื้นบ้าน กล่าวด้วยความชื่นชม “ท่านได้ช่วยให้พวกเราชาวบ้านมีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง”
ตู้เยี่ยนอวี่เพียงยิ้มตอบอย่างถ่อมตน นางมิได้ปรารถนาคำสรรเสริญเยินยอใด ๆ หากแต่ปรารถนาเพียงการได้เห็นผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น และได้ใช้ความรู้ความสามารถของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เดือนสิบเอ็ด ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเก้า
ยามหิมะแรกโปรยปรายลงมา อากาศหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ ผู้คนต่างพากันเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน เพื่อหลบเลี่ยงความหนาวเย็น
ตู้เยี่ยนอวี่และชาวบ้านต่างช่วยกันเตรียมรับมือกับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง นางแนะนำให้ชาวบ้านเก็บฟืนให้เพียงพอ และเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวที่หนาแน่น เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
วันหนึ่ง ในขณะที่พายุหิมะกำลังโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก เสี่ยวจูรีบวิ่งไปเปิดประตู ก็พบชายผู้หนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากเขียวคล้ำ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความหนาวเย็น
“เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ ?” เสี่ยวจูถามด้วยน้ำเสียงกังวล
ชายผู้นั้นพยายามจะเอ่ยปากพูด แต่ร่างกายของเขากลับสั่นสะท้านจนมิอาจเปล่งเสียงออกมาได้ ตู้เยี่ยนอวี่เดินเข้ามาใกล้ มองดูชายผู้นั้นด้วยความสงสาร นางสัมผัสได้ถึงความร้อนในกายของเขาที่ผิดปกติ
“เขามีไข้สูงมาก” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าว “พาเขาเข้ามาในเรือนก่อนเถิดเสี่ยวจู”
นางและเสี่ยวจูช่วยกันพยุงชายผู้นั้นเข้ามาในเรือน และนำผ้าห่มมาคลุมกายให้เขาอย่างเบามือ ตู้เยี่ยนอวี่เริ่มตรวจดูอาการของชายผู้นั้นอย่างละเอียด นางจับชีพจร ตรวจดูลิ้น และดวงตา
“เขามีอาการของไข้ป่า แต่กลับมีอาการที่รุนแรงกว่าปกติมาก” ตู้เยี่ยนอวี่พึมพำกับตนเอง “และมีร่องรอยของการถูกกระตุ้นด้วยพลังงานบางอย่างที่ผิดธรรมชาติ”
นางนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง เมื่อครั้งที่กองทัพเงาอสูรพยายามจะปล่อยพิษร้ายชนิดใหม่ คำกล่าวของแพทย์หลวงชางที่ว่าพิษชนิดนั้นจะทำให้เกิดอาการไข้ป่าที่รุนแรง และมีผลต่อลมปราณภายในร่างกาย
“ท่านคือใคร ?” ตู้เยี่ยนอวี่ถามชายผู้นั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ชายผู้นั้นพยายามจะเอ่ยปากพูดอีกครา แต่ร่างกายของเขากลับชักเกร็งอย่างรุนแรง เลือดสีแดงฉานไหลรินออกมาจากมุมปาก
“เขาถูกพิษร้ายชนิดใหม่” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “และพิษนี้กำลังแพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว”
นางสั่งให้เสี่ยวจูเตรียมน้ำสะอาดและสมุนไพรบางชนิด นางเริ่มทำการฝังเข็มไปที่จุดลมปราณสำคัญบนร่างกายของชายผู้นั้นอย่างแม่นยำและรวดเร็ว พลางส่งพลังปราณภายในของตนเองเข้าไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของลมปราณที่ติดขัด และขับพิษออกจากร่างกาย
การรักษาดำเนินไปอย่างยาวนาน ตู้เยี่ยนอวี่ใช้พลังปราณภายในของตนเองอย่างหนัก เพื่อต่อสู้กับพิษร้ายที่กำลังกัดกินร่างกายของชายผู้นั้น เหงื่อกาฬไหลหยดจากใบหน้าของนาง แต่สายตาของนางยังคงแน่วแน่ มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือชีวิตตรงหน้า
ในที่สุด หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดไปได้ อาการชักเกร็งของชายผู้นั้นก็เริ่มทุเลาลง ใบหน้าของเขาเริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย
“เขาพ้นขีดอันตรายแล้ว” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน แต่ดวงตาเป็นประกายแห่งความโล่งใจ
เสี่ยวจูถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ขอบคุณสวรรค์เจ้าค่ะ ที่คุณหนูได้ช่วยชีวิตเขาไว้ได้”
เดือนสิบสอง ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเก้า
ยามสิ้นปีใกล้เข้ามา อากาศยิ่งหนาวเย็นยะเยือก ชายผู้นั้นพักรักษาตัวอยู่ในเรือนของตระกูลตู้ อาการของเขาดีขึ้นตามลำดับ แต่เขากลับยังคงมิอาจพูดจาได้ ตู้เยี่ยนอวี่คอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด และพยายามสื่อสารกับเขาด้วยท่าทางและลายลักษณ์อักษร
วันหนึ่ง ขณะที่ตู้เยี่ยนอวี่กำลังตรวจดูอาการของชายผู้นั้น นางก็สังเกตเห็นรอยสักรูปเงาอสูรที่แขนของเขา นางจำได้ทันทีว่ารอยสักนี้คือสัญลักษณ์ของกองทัพเงาอสูร
“ท่านคือสมาชิกของกองทัพเงาอสูรอย่างนั้นรึ ?” ตู้เยี่ยนอวี่ถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ดวงตาของนางฉายแววครุ่นคิด
ชายผู้นั้นมองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ก็พยักหน้าช้า ๆ
ตู้เยี่ยนอวี่รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก นางมิเคยคาดคิดว่าจะมีสมาชิกของกองทัพเงาอสูรมาปรากฏตัวที่หมู่บ้านซีหลิน และยังถูกพิษร้ายชนิดใหม่ที่พวกเขาเองเป็นผู้สร้างขึ้น
“แล้วเหตุใดท่านจึงถูกพิษเช่นนี้ ?” ตู้เยี่ยนอวี่ถามอีกครา
ชายผู้นั้นพยายามจะเอ่ยปากพูดอีกครั้ง แต่กลับทำได้เพียงส่งเสียงแหบพร่าออกมาเท่านั้น ตู้เยี่ยนอวี่จึงยื่นกระดาษและพู่กันให้เขา เพื่อให้เขาเขียนสิ่งที่ต้องการจะบอก
ชายผู้นั้นค่อย ๆ เขียนตัวอักษรลงบนกระดาษอย่างยากลำบาก
“ข้า... ถูกพวกเดียวกัน ... หักหลัง”
ตู้เยี่ยนอวี่อ่านข้อความนั้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาของนางฉายแววความเข้าใจ
“พวกเขาหักหลังท่านเพื่ออันใด ?”
ชายผู้นั้นเขียนข้อความต่อไป “พวกเขาต้องการกำจัดข้า เพราะข้ารู้ความลับบางอย่าง”
ตู้เยี่ยนอวี่มองไปที่ชายผู้นั้นด้วยความสงสาร นางรู้ดีว่าเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเพียงใด “ความลับอันใด?”
ชายผู้นั้นเขียนข้อความต่อไปอีก
“พวกเขาต้องการยึดครองแผ่นดินนี้ โดยการควบคุมราชสำนัก”
ตู้เยี่ยนอวี่ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ นางมิเคยคิดว่าแผนการของกองทัพเงาอสูรจะร้ายกาจและยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
“แล้วพวกเขาจะทำเช่นไร ?” ตู้เยี่ยนอวี่ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ชายผู้นั้นเขียนข้อความสุดท้ายลงบนกระดาษ
“พวกเขามีอาวุธลับที่สามารถควบคุมจิตใจของคนได้”
ตู้เยี่ยนอวี่อ่านข้อความนั้นด้วยใบหน้าซีดเผือด “อาวุธลับที่สามารถควบคุมจิตใจคนได้ !” ความคิดนี้ทำให้หัวใจของนางเต้นระรัว “นี่คือภัยคุกคามที่ร้ายแรงยิ่งกว่าโรคระบาดหลายเท่าตัว”
นางรู้ดีว่าการต่อสู้กับกองทัพเงาอสูรในครั้งนี้จะมิใช่เรื่องง่าย และอาจจะต้องใช้พลังทั้งหมดที่ตนมีเพื่อปกป้องผู้คนและหยุดยั้งแผนการชั่วร้ายของพวกเขา
ยามราตรี ดวงจันทร์ทอแสงนวลผ่องลงมายังหมู่บ้านซีหลินที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ตู้เยี่ยนอวี่นั่งอยู่ริมหน้าต่างห้องของตนเอง มองดูแสงจันทร์ที่ทอแสงลงมายังหมู่บ้านที่เงียบสงบ ความจริงอันน่าตกใจที่ได้รับจากชายลึกลับผู้นั้น ทำให้จิตใจของนางวุ่นวายดุจเส้นด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง
“อาวุธลับที่สามารถควบคุมจิตใจคนได้...” นางพึมพำกับตนเอง “นี่คือสิ่งที่เราต้องหยุดยั้งให้ได้”
แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย แต่จิตใจของนางกลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นและอดทน นางรู้ดีว่าเส้นทางข้างหน้ายังคงยาวไกล และเต็มไปด้วยอันตรายอีกมากมาย แต่ด้วยความรู้ความสามารถ และจิตใจอันบริสุทธิ์ ตู้เยี่ยนอวี่ก็พร้อมแล้วที่จะเป็นแสงสว่างกลางเงามืดนี้ เพื่อนำพาความหวังกลับคืนสู่แผ่นดินแห่งนี้
ปลายเดือนเจ็ด รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมฆหมอกร้ายที่เคยปกคลุมวังหลวงได้ถูกปัดเป่าไปจนสิ้น ประหนึ่งรัตติกาลที่ยอมจำนนต่อแสงอรุณ พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างฮ่องเต้แห่งต้าเฉินและองค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ได้ดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติที่สุด ท้องพระโรงหลวงที่เคยเป็นเวทีแห่งการพิพากษา บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณสีแดงสดและทองอร่าม เสียงดนตรีมงคลดังกังวานก้องไปทั่ว ขับขานบทเพลงแห่งสันติภาพและสัมพันธไมตรีที่ถูกเชื่อมประสานขึ้นใหม่อย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กำลังแซ่ซ้องถวายพระพร พวกเขาคือวีรบุรุษและวีรสตรีผู้พิทักษ์แผ่นดินอีกครั้ง แต่ในใจของทั้งสองกลับมิได้มีความลำพองใจแม้แต่น้อย มีเพียงความโล่งใจที่ได้เห็นแผ่นดินกลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริงภายหลังจากพระราชพิธีหลักเสร็จสิ้นลง ฝ่าบาทผู้ทรงมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสุขและความปีติยินดี ได้มีรับสั่งให้ทั้งสองเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงบ“หากมิได้มีพวกเจ้าทั้งสอง” ฝ่าบาทตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมด้วยความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
ปลายเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเวลาเปรียบประหนึ่งเม็ดทรายในนาฬิกาที่ร่วงหล่นลงอย่างไม่ปรานี พระอาการขององค์หญิงมู่หลินทรุดลงทุกขณะ ประกายสีครามบนผิวพระองค์เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นแม้ในยามกลางวัน ลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะดับสูญได้ทุกเมื่อ ความกดดันที่มองไม่เห็นได้แผ่ขยายไปทั่ววังหลวง มันมิใช่เพียงชีวิตขององค์หญิงที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่คือสันติภาพของสองแผ่นดินที่กำลังจะขาดสะบั้นลงท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ตู้เยี่ยนอวี่ได้ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์พร้อมด้วยกู้เหยียนหลงและองค์หญิงลี่หัว ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงัด นางได้ทูลเสนอแผนการสุดท้ายที่อาจหาญและเสี่ยงอันตรายที่สุด“ฝ่าบาท” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว “การจะจับอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เรามิอาจรอให้มันเผยตัวออกมาเองได้ แต่เราต้องสร้างเหยื่อล่อที่หอมหวานที่สุด เพื่อล่อให้มันคายพิษออกมาด้วยตนเองเพคะ”นางได้สร้างเรื่องราวของสมุนไพรวิเศษในตำนานขึ้นมา รากวิญญาณจันทรา พฤกษาทิพย์ที่กล่าวกันว่าสามารถชำระล้างพิษได้ทุกชนิด และจะเบ่งบานเพียงคืนเดียวใต้แสงจันทร์เต็มดวง ณ อารามเมฆขาวบนยอดเขาไท่ซานเท่าน
กลางเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองวังหลวงที่เคยประดับประดาด้วยโคมไฟแห่งการเฉลิมฉลอง บัดนี้กลับถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความวิตกกังวลที่มองไม่เห็น การประชวรขององค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ ได้กลายเป็นหินถ่วงก้อนมหึมาที่ถ่วงดุลแห่งสัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดินให้สั่นคลอนอย่างน่าหวาดเสียว การสืบสวนเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงันและเร่งด่วน ประหนึ่งการเดินหมากบนกระดานที่ทุกก้าวล้วนเดิมพันด้วยสันติภาพของต้าเฉินสมรภูมิในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองแนวรบที่ดำเนินไปพร้อมกันแนวรบแรกคือห้องปรุงยาหลวงของตู้เยี่ยนอวี่ ที่นี่มิได้มีเสียงคมดาบปะทะกัน มีเพียงเสียงบดยาอันแผ่วเบา เสียงเปลวเทียนที่สั่นไหว และเสียงลมหายใจที่จดจ่อของแพทย์เทวดา ห้องของนางได้แปรสภาพเป็นศูนย์บัญชาการแห่งการพิสูจน์หลักฐาน มันคือการผสมผสานอย่างน่าทึ่งระหว่างเครื่องมือโบราณและนวัตกรรมที่นางประดิษฐ์ขึ้นจากความทรงจำในอีกโลกหนึ่ง ทั้งเครื่องกลั่นขนาดเล็กที่ทำจากแก้วใส และแว่นขยายที่เจียระไนอย่างประณีตนางทุ่มเทเวลานานถึงสองวันสองคืนในการวิเคราะห์เถ้ากำยานปริศนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่ว
ต้นเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมืองหลวงที่ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้จากไปเมื่อหนึ่งปีก่อน บัดนี้ได้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณและโคมไฟสีแดงสดอีกครั้งหนึ่ง โคมไฟนับพันดวงถูกแขวนประดับไปตามชายคาของอาคารบ้านเรือน สะบัดพลิ้วตามสายลมคิมหันตฤดูราวกับฝูงผีเสื้ออัคคีที่เริงระบำ ผ้าไหมสีมงคลถูกขึงทอดยาวไปตามถนนสายหลัก บ่งบอกถึงงานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่แผ่นดินต้าเฉินกำลังรอคอย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรื่นเริงและความคาดหวัง ทว่าสำหรับผู้ที่เจนจบในเล่ห์กลแห่งราชสำนักแล้ว ความสงบสุขที่ผิวเผินนี้เปรียบดั่งผิวน้ำอันราบเรียบ แต่เบื้องล่างนั้นกลับซ่อนเร้นไว้ด้วยกระแสธารอันเชี่ยวกรากที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้พังพินาศการกลับมาของทั้งสองมิได้เอิกเกริก แต่กลับเงียบงันดุจเงาที่เคลื่อนไหวในรัตติกาล สถานที่นัดพบแห่งแรกของพวกเขามิใช่ท้องพระโรงอันโอ่อ่า แต่เป็นโรงน้ำชาเก่าแก่ในตรอกเร้นลับ ที่ซึ่งจางอู๋จีในชุดบัณฑิตเรียบง่ายนั่งรออยู่แล้ว“ท่านทั้งสองดูแข็งแกร่งและสงบขึ้นมาก” จางอู๋จีเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขายังคงคมกริบดุจเหยี่ยวเฒ่าเช่นเดิม “ดูเหมือนว่าสายลมแห่งแดนเหนือจะขัดเกลาหยกงามทั้งสองให
ปลายเดือนสี่ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองหนึ่งปีเต็มที่เปลวเพลิงแห่งสงคราม ณ ชายแดนภาคเหนือได้มอดดับลง สายลมวสันตฤดูที่พัดผ่านเมืองผิงหยวนในยามนี้มิได้หอบเอาฝุ่นควันและกลิ่นคาวเลือดมาด้วยอีกต่อไป หากแต่เป็นกลิ่นไอดินอันบริสุทธิ์และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ป่าที่เพิ่งจะแย้มบาน เมืองหน้าด่านที่เคยเป็นดั่งสุสานกลางแจ้ง บัดนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ประหนึ่งต้นไม้แห้งแล้งที่ได้รับสายฝนชโลมใจเสียงค้อนที่ตอกลงบนโครงสร้างบ้านเรือนหลังใหม่ดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา แทนที่เสียงดาบที่เคยกระทบกันอย่างน่าสะพรึงกลัว รอยยิ้มได้กลับคืนสู่ใบหน้าของชาวบ้านที่เคยซูบตอบด้วยความสิ้นหวัง แม้ร่องรอยความเหนื่อยล้าจะยังคงอยู่ แต่ในแววตาของพวกเขากลับเปี่ยมด้วยประกายแสงแห่งความหวังณ ใจกลางของความเปลี่ยนแปลงนี้ คือเรือนพักชั่วคราวของสองวีรชนผู้พลิกชะตาแผ่นดินตู้เยี่ยนอวี่ในอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีขาวเรียบง่าย กำลังเดินตรวจดูแปลงสมุนไพรในสวนโอสถร้อยสกุลที่นางริเริ่มขึ้นด้วยตนเอง มันมิใช่สวนบุปผาที่งดงามเพื่อการชื่นชม แต่คือคลังยาที่มีชีวิตซึ่งนางจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขชุมชน นางกำลังสอนกลุ
บนสมรภูมิทะเลสาบกระจกที่บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านผืนเกลือสีขาวและเสียงครวญครางของผู้บาดเจ็บ คำประกาศยอมแพ้ของจ้าวอู๋จี้ดังก้องอยู่ในความเงียบนั้น ประหนึ่งคำพิพากษาสุดท้ายที่ปิดฉากสงครามอันนองเลือดแห่งแดนเหนือลงโดยสมบูรณ์เขามิได้มีท่าทีของนักโทษผู้สิ้นหวัง แต่กลับเป็นความสงบนิ่งของนักปราชญ์ผู้ยอมรับในผลลัพธ์ของกระดานหมากที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จ้าวอู๋จี้เดินลงจากเนินดินอย่างเชื่องช้า เขาปลดดาบประจำกายที่อยู่ข้างเอวออก และยื่นมันให้แก่กู้เหยียนหลงด้วยสองมือ“นี่คือสัญลักษณ์แห่งการยอมจำนนของข้า” เขากล่าวเสียงเรียบ “และคือการยอมรับในชัยชนะของท่าน”กู้เหยียนหลงรับดาบเล่มนั้นมาถือไว้ เขามิได้แสดงท่าทีของผู้ชนะที่ลำพองใจ แต่กลับประสานมือคารวะคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย“ท่านคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบพาน” กู้เหยียนหลงกล่าว “การพิพากษาท่านมิใช่หน้าที่ของข้า แต่เป็นหน้าที่ของราชสำนักและประวัติศาสตร์”เขาออกคำสั่งให้นำตัวจ้าวอู๋จี้และเหล่าแม่ทัพนายกอ