“ถอยออกไปให้ห่างก่อนที่ข้าจะโมโห”
เซียนหยางชินอ๋องเพ่งมองสตรีใต้ร่าง ดวงตาสีดำคมกริบในยามนี้ดูลุ่มลึกยากจะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ฤทธิ์ของสุราแรงที่ดื่มเข้านั้นยิ่งทำให้เขาขาดสติ แล้วยิ่งมีสตรีงามอยู่ตรงหน้าอีก เขาเองก็หาใช่ก้อนหินแข็งทื่อ “ดอกไม้งามอยู่ในมือแล้วไฉนถึงต้องปล่อยไปโดยไม่ทันได้สูดดมเล่า” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยกระซิบข้างใบหูของนาง พร้อมกันโน้มใบหน้าสูดดมความหอมจากซอกคอ พอได้ยินประโยคนี้พร้อมกับการกระทำที่ล่วงเกิน ฮั่วซูเม่ยไม่อาจสามารถอดทนใจเย็นได้อีกเลย “เจ้าคนมักมาก!” ตุบ!! ตุบ! นางเองก็พอมีแรงอยู่บ้างจึงทำการทุบตีบุรุษร่างโตตรงหน้าที่คร่อมทาบทับไว้ก่อนที่จะอาศัยจังหวะที่บุรุษผู้นั้นงุนงงลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว “ข้าน่าจะปล่อยให้เจ้าตายอยู่ในนี้ผู้เดียว” สถานที่แห่งนี้แม้ภายนอกบรรยากาศจะหนาวเหน็บเย็นสะท้านเข้ากระดูกแล้วอย่างไร ทว่าภายในกลับร้อนระอุราวกับกำลังถูกแผดเผาให้มอดไหม้ นั่นคือโรงเตี๊ยมไป๋ชานและนางคือนายหญิงของที่นี่ ทุกอย่างไม่ว่าเรื่องใดล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของนาง ฮั่วซูเม่ยปรายตามองบุรุษผู้นั้นความเกรี้ยวกราด แม้ภายในห้องจะมืดสนิททว่ายังคงมีแสงจันทราที่สาดส่องเข้ามาอย่างริบหรี่ทำให้นางมองเห็นการกระทำทั้งหมดได้ “เข้ามาจับคนผู้นี้โยนออกไปจากโรงเตี๊ยมของข้าซะ!”น้ำเสียงหวานตะโกนดังก้องออกไปหวังให้บ่าวรับใช้ชายที่รออยู่ข้างนอกได้ยิน หากมีบุรุษเมามายจนหัวราน้ำเช่นนี้ นางก็ไปอาจทำใจปล่อยให้กลับเองในสภาพเช่นนี้เกรงว่าคงจะไม่ถึงจวน เดิมที่โรงเตี๊ยมของนางก็คือกิจการหนึ่งเช่นกัน หากไม่ขายเรือนร่างของสตรีก็ต้องการเรือนนอนให้พักผ่อนอย่างไร ทว่าภายใต้ความมืดนั่นนางหันกลับมองทว่ากับมองไม่ออกเลยว่าบุรุษผู้นั้นมีสีหน้าและอารมณ์อย่างไร เซียนหยางชินอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ไฉนเลยเขาจะคิดว่านางแรงเยอะเพียงนี้ สตรีที่ดื้อรั้นเป็นม้าพยศสมควรถูกเขาปราบพยศ “คิดว่าจะหนีข้าพ้นหรือ” เซียนหยางชินอ๋องขึ้นชื่อเรื่องความเอาแต่ใจอยู่แล้ว หากเขาอยากได้หรืออยากทำอันใดแล้วไฉนจะยังกล้ามีผู้ปฏิเสธอีกอีก ตุบ! นางยังไม่ทันได้ตั้งสติให้คิดสติให้คิดอันใด ในจังหวะนั้นจู่ ๆ ร่างของฮั่วซูเม่ยก็ลอยเหนือขึ้นจากพื้นด้วยความตกใจนางจึงเผลอกอดรัดลำแขนนั้นแน่น แต่พอรู้ตัวอีกที่นางก็ถูกโยนลงกระแทกเตียงอย่างแรงเสียแล้ว “นายหญิงพวกเจ้ากำลังสนุกกับข้า” “หากอยากเข้ามาร่วมด้วยก็เชิญ” น้ำเสียงทุ้มของเซียนหยางชินอ๋องตะโกนตวาดก้องออกไป ขณะที่กำลังปล้นผ้าคาดเอวออกตนเองออกอย่างรวดเร็วมัดยกเรียวแขนของสตรีผู้นี้ขึ้นเหนือหัวแล้วมัดตรึงไว้กับเตียง “ปล่อยข้า!” “ข้าบอกให้ปล่อย!” หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำด้วยความตกใจ นางไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ลึก ๆ แล้วภายในใจของฮั่วซูเม่ยหวาดกลัวไม่น้อย สายตาของชินอ๋องยามที่ทอดมองเรือนร่างของสตรีตรงหน้าเต็มไปด้วยความหื่นกระหายราวกับสัตว์ป่าอย่างปิดไม่มิด “หากอยากให้ผู้อื่นรู้ว่าเจ้ามีความสุข สุขสมกับข้ามากเพียงใดก็จงร้องให้ดังตลอดไป” ทันทีที่สิ้นสุดประโยคนั้นพลันปลดเปลือยเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนเองออกให้หมดสิ้นเผยให้เห็นเรือนร่างกำยำ เดิมที่เซียนหยางชินอ๋องนับได้ว่าเป็นบุรุษที่หล่อเหล่าผู้นี้ย่อมมีสตรีไม่น้อยที่เต็มใจถวายตัวกลายเป็นอนุหลังจวน ทว่าสตรีเหล่านั้นได้มาง่ายเกินไป ฮั่วซูเม่ยไม่รู้จะตกใจหวาดกลัวอันใดก่อน มือทั้งสองข้างของนางถูกมัดตรึงแน่นไม่ว่าขัดขืนอย่างไรก็ไม่หลุดง่าย ๆ และน้ำเสียงหวานที่ตะโกนร้องเรียกขอความช่วยเหลือก็พลันแห้งเหือด “หากท่านปล่อยข้า ข้าจะมอบเงินให้จำนวนหนึ่ง” “ข้ามีเยอะแล้ว” “เช่นนั้นสตรีที่งดงามที่สุดในโรงเตี๊ยมนี้เล่า” “มิใช่เจ้าหรอกหรือ” แหวกก!!! “กรี๊ดดด!!!!” นางหวีดร้องสุดเสียงด้วยความตกใจ เศษผ้าผืนบางเช่นนี้เพียงแค่เขาออกแรงกระชากนิดเดียวก็ขาดรุ่ยร่ายแล้ว งดงาม! งดงามยิ่งนัก! “หากเจ้าทำให้ข้าพึงพอใจข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม” ในสายตาของเซียนหยางชินอ๋องแล้ว เขาไม่เคยพบเจอสตรีใดที่งดงามเพียงนี้มาก่อน ฮั่วซูเม่ยเริ่มตัวสั่นระริกพอนึกถึงเหตุการณ์ต่อจากนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในเมื่อหนีไม่พ้นแล้วก็ทำใจปล่อยให้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว “รีบทำให้เสร็จเร็ว ๆ เถอะ” “เกรงว่าข้าคงทำเร็ว ๆ ไม่เป็น” สตรีงามเพียงนี้แค่ครั้งเดียวจะเพียงพอหรือ? เซียนหยางชินอ๋องเองก็ไม่พร่ำพูดให้เสียเวลา เขาโน้มใบหน้าเข้าใกล้นางก็จะประกบจูบอย่างรุนแรงด้วยความเร่าร้อน รสจูบที่หอมหวานยิ่งเป็นสิ่งกระตุ้นที่ให้ร่างกายของเขาขนลุกซู่ไปทั้งร่าง “อื้อ…อื้มมมม” ฮั่วซูเม่ยรับตาพริ้มประจูบตอบรับแต่โดยดี เอาเถอะ..ในชีวิตของนางก็ไม่มีอันใดเป็นชิ้นเป็นอันอยู่แล้ว เช่นนั้นก่อนตายก็ขอได้เสพสมร่วมกับบุรุษดี ๆ สักคนก่อน ณ จวนสกุลฮั่ว เซียนหยางชินอ๋องไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้กับตน “คิดจะไม่รับผิดชอบข้าอย่างงั้นหรือ” ฮั่วซูเม่ยเดินไปข้างหน้าสองก้าวอย่างไม่เกรงกลัว ซ้ำยังเชิดใบหน้าขึ้นยกมือกอดอกท่าทางเอาแต่ใจ บังเอิญเจอนางไฉนจะน่าตกใจกลัวนางกำลังอ้างว่าอุ้มท้องบุตรของเขา “ข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเคยร่วมหลับนอนกับแม่นาง จริง ๆ และไฉนเลยจะมั่นใจได้ว่าในครรภ์ของแม่นางคือบุตรของข้า” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างนิ่งเฉย ใบหน้าของฮั่วซูเม่ยขมวดคิ้วมุ่นทันทีเมื่อถูกดูแคลนเข่นนี้ “ชะ..ใช่! หากพี่ใหญ่ไม่พอใจข้าก็มาหาเรื่องข้าเถอะ” ฮั่วหลิงเฟยพลางเดินพุ่งตรงมาหยุดอยู่ข้างฮั่วซูเม่ย เรื่องเช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! หากไม่ใช่เพราะพี่สาวต่างมารดาผู้นี้ต้องการจะช่วงชิงวาสนาของนางไป! ฮั่วหลิงเฟยไม่มีทางยอม “โธ่…ท่านย่อมรู้อยู่แก่ใจ!” เดิมที่นางเองก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าเพียงแค่ค่ำคืนเดียวจะเปลี่ยนชีวิตของนางไป ฮั่วซูเม่ยเองก็ไม่พอใจเช่นกัน จากนั้นจึงหันไปปรายสายตามองน้องสาวข้าง ๆ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย “เจ้ายังคิดจะแย่งบิดาของหลานชายตนเองไปหรือน้องหญิง” “ไม่ใช่..ข้าไม่ทางทำเช่นนั้นแต่บุรุษที่ดีและเพียบพร้อมเฉกเช่นชินอ๋องหรือจะเป็นเช่นนั้น” ฮั่วหลิงเฟยเสแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มองบุรุษตรงหน้าผ่านม่านน้ำตา ไม่ว่าอย่างไรในสายตาของเซียนหยางชินอ๋องก็ไม่มีทางเชื่อเช่นกัน หากนางตั้งครรภ์บุตรของเขาจริง ๆ เหตุใดถึงปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านมานานเพียงนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมาไฉนไม่เรียกร้อง “เหอะ! รู้หรือไม่ถ้อยคำโกหกโป้ปดของแม่นางทำให้นางเสื่อมเสียไม่น้อย” นางเป็นสตรีในหอคณิกาจะมีความน่าเชื่อถือมาเพียงใดกัน ฮั่วซูเม่ยยิ่งอารมณ์แปรปรวนอยู่แล้วยิ่งเดือดดาลขึ้นไปกันใหญ่ “หากบิดาของลูกข้าเป็นเช่นนี้มิสู้มีบิดาเป็นสุนัขไม่ดีกว่าหรือ” นางสะบัดแขนน้องสาวผู้นี้ออกอย่างแรงจากนั้นจึงเดินไปเบื้องหน้าลวงของสิ่งหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อโยน “ของของ ท่าน เอาคืนไปซะ!” สายตาของเซียนหยางยังคงจดจ้องของสิ่งนั้นก่อนจะกระจ่างแจ้งในใจทัน “เจ้ามีของสิ่งนี้ได้อย่างไร” พู่หยกที่สลักคำว่าเซียนหยางไว้ “เหอะ! โง่ไปแล้วหรอกหรือ” นางตะคอกถาม “มันผู้ใดกันที่ทำตกไว้ในค่ำคืนนั่น” พอสิ้นสุดประโยคนนั้นฮั่วซูเม่ยพลันเดินหนีออกมาทันที อารมณ์ของนางในตอนนี้ย่ำแย่เป็นที่สุด ในความทรงจำของเขาเลือนรางทว่าของสิ่งนี้เป็นของจริง เดิมทีคิดว่าหากพลาดแล้วก็เอาเถอะไม่เรียกร้องสิ่งใดแต่พอเห็นบุรุษผู้นี้ปรากฏอยู่ตรงหน้าความเคียดแค้นภายในค่ำคืนนั่นก็ปะทุขึ้นในอกนางทันที ถือเสียว่านางกำลังทวงทุกอย่างให้บุตรชายแล้วกัน ฮั่วซูเม่ยรู้ว่านางเป็นถึงนายหญิงของหอคณิกาไม่สมควรจะพลาดพลั้งอย่างยิ่งแต่เสมือนว่าสวรรค์ได้กำหนดมาแล้ว นางจะถือว่าเป็นเคราะห์กรรมที่สมควรเผชิญหน้าไม่อาจหลีกเลี่ยง และแน่นอนว่าในสายตาของผู้อื่นนั้นนางได้กลายเป็นตัวร้ายแล้ว เช่นนั้นนางร้ายผู้นี้จะขอทวงคืน!ผู้ใดกันเอ่ยปากจะเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดีไม่ตามใจนางจนเสียคนเกรงว่าคงเป็นฮั่วซูเม่ยกระมังที่หูฝาดได้ยินผิดไปเอง หากเอ่ยถึงเซียนหยางคนผู้นั้นน่ะหรือ…นางไม่เคยเห็นเขาปฏิเสธอาหนี่ว์เลยแม้แต่สักครึ่งคำด้วยซ้ำ“ท่านพ่อ!”น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยขึ้นเสียงดังพลางกระโดดวิ่งเต้นตามหาผู้เป็นบิดาของตน“ท่านพ่ออยู่ที่ใดเพคะ!”“ท่านพ่อเจ้าค่ะ!”ฮั่วซูเม่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ พอนางได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้พลันรู้สึกปวดหัวตุบ ๆ ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “อาหนี่ว์! เสียงเจ้าดังจนทำเขาตกใจตื่นแล้ว”“เอะ! แอ้ๆๆ แอ้!” เสียงของเด็กทารกในห่อผ้าสะดุ้งพลันหวีดร้องไห้จ้าด้วยความตกใจเมื่อถูกรบกวน“น้องข้าตื่นแล้วหรือ” ซูหนี่ว์หยุดชะงักก่อนตะโกนถามออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ก็ใช่น่ะซิ!” ฮั่วซูเม่ยตะโกนตอบ“ชู่ว์~~ เข้าใจนางหน่อยอาหยวน พี่สาวของเจ้าก็เป็นคนเสียงดังเช่นนี้” ฮั่วซูเม่ยพลางอุ้มเด็กน้อยในห่อผ้าขึ้นแนบอก เกลี้ยกล่อมให้หยุดร้องไห้“ท่านแม่!”ซูหนี่ว์ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ตรงหน้ามารดา สายตาของนางมองเลยสอดส่องเข้าไปในห่อผ้าอย่างไม่วางตา “ส่งมาให้ข้าเถอะ”“…..”“แอ้! แอ้ๆๆๆ” ทารกยังคงตะเบ่งเสียงร้องไม่
‘หนึ่ง…คำนับฟ้าดิน’‘สอง…คำนับบิดามารดา’‘สาม…คำนับกันและกัน’‘ส่งตัวเข้าหอ’เสียงของแม่สื่อร้องตะโกนดังก้องประกาศขั้นตอนพิธีการสำคัญต่าง ๆ ตามหน้าที่ขนบธรรมเนียมผ่านมาเกือบปีแล้วในที่สุดก็ถึงเวลาเหมาะสมสำหรับ งานมงคลสมรสอย่างเป็นทางการเสียทีระหว่างเซียนหยางชินอ๋องและฮั่วซูเม่ยโดยมีฟ่านฮองเฮาจื่อฮ่องเต้เป็นผู้จัดการให้ทั้งสิ้นไม่ว่าจะสามหนังสือหรือหกพิธีการจัดแจงตามให้เหมาะสมในเมื่อฮั่วซูเม่ยตัดขาดไม่เกี่ยวข้องออกจากจวนสกุลฮั่วมานานแล้ว ดังนั้นฟ่านฮองเฮาจึงเป็นแม่งานฝ่ายเจ้าสาวให้ส่วนเซียนหยางชินอ๋องนั้นแม้ตอนแรกเขาเอ่ยปากว่าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองทว่ากับถูกจื่อฮ่องเต้ข่มขู่หากไม่ได้ทำให้น้องชายร่วมอุทรผู้เดียวเกรงว่าตอนตายลงโลงไปคงไม่หลับตาแน่เป็นเช่นนี้แล้วคนทั้งคู่จึงไม่สามารถเอ่ยขัดได้เลยแม้แต่สักครึ่งคำจื่อฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรสวมใส่อาภรณ์สีทองแล้วยังปักด้วยดิ้นทองเป็นลวดลายมังกรน่าเกรงขามอีกหน เคียงข้างด้วยฟ่านฮองเฮาสวมใส่อาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีตในชุดสีทองประดับลวดลายสวยงามเช่นกันเหล่าขุนนางสูงต่ำทั้งหลายและแขกมากมายต่างรายล้อมอยู่รอชื่นชมความงดงามของคู่บ่า
ต้นฤดูไม้ใบผลิอากาศหนาวเริ่มคลายลงบ้างแล้ว ในขณะที่ช่วงยามนี้จวนชินอ๋องกำลังวุ่นวายบ่าวรับใช้และหมอหญิงหลาย สิบคนต่างกำลังเดินเข้าออกจากเรือนหลักหนึ่งทำหน้าที่ของตนเองเพียงเพราะฮั่วซูเม่ยสตรีของเซียนหยางชินอ๋องเจ็บท้องใกล้จะ คลอดแล้ว“อดทนอีกนิดเพคะ” ชิงอันพลางเอ่ยบอกอาการเป็นระยะฮั่วซูเม่ยนอนอยู่บนเตียง สภาพใบหน้าหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดฝาด “มารดาจะตายแล้ว!”นางรู้สึกหน่วงที่ท้องและเจ็บจริง ๆ“ใจเย็นเถอะ ๆ อีกไม่นาน” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นปลอบใจเซียนหยางยืนอยู่ข้างๆ เตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลกระวนกระวายและไม่สามารถทำอะไรได้มากนอกจากจับมือนาง ไว้แน่นราวกับหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดนั้นได้เซียนหยางเห็นสภาพของนางเช่นนี้มาสองชั่วยามได้แล้ว หากเขาเจ็บแทนได้คงดีไม่น้อย“เมื่อไหร่นางจะคลอด”“…..”หมอหญิงสามสี่คนที่ตรวจดูอาการพอได้ยินน้ำเสียงทุ้มของชินอ๋องเอ่ยขึ้นนิ่ง ๆ จึงสะดุ้งตาม ๆ กัน “อีกไม่นานเจ้าค่ะ"อีกไม่นาน?“ข้าถามว่าเมื่อไหร่” สายตาคมกริบพลันปรายไปมอง ฉายความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด“เกรงว่าทารกน้อยผู้นี้คงจะตัวใหญ่ไม่น้อยถึงขั้นไม่ยอมออกเลยทำให้หวางเฟยเจ็บปวดไม่น้อย”
พอได้ยินประโยคนี้แล้วฮั่วซูเม่ยตกใจเล็กน้อยก็จะปรายสายตาเหลียวไปมองเซียนหยางอยู่ข้าง ๆ ที่เอ่ยแทรกขึ้น“เกรงว่าคงทำให้พี่สะใภ้ผิดหวังแล้ว” เซียนหยางไม่มีทางยอมแน่ บุตรของเขาที่กำลังเกิดจากฮั่วซูเม่ยสมควรเรียกเขาว่าบิดาแค่เพียงผู้เดียวเท่านั้นสีหน้าของฟ่านฮองเฮาผิดหวังเล็กน้อย “เช่นนั้นหรือ” นางมีความรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยผู้นี้ตั้งแต่ในครรภ์จริง ๆ ดูท่าแล้วออกมาคงหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มไม่น้อย“คงไม่เป็นอันใดกระมัง” นางหันไปพูดกับเซียนหยางก่อนจะปรายสายมากลับมามองสตรีตรงหน้าฮั่วซูเม่ยถือวิสาสะจับมือของฟ่านฮองเฮาไว้ก่อนจะวางลงบนท้องของตนเอง “ไฉนเจ้าเด็กนี้เขาจะไม่ดีใจกันมีท่านป้าเป็นถึงฮองเฮางดงามเพียงนี้” นางไม่ได้คิดมากอันใดอยู่แล้ว เพียงแค่มีคนเอ็นดูเจ้าเด็กคนนี้ตั้งแต่ในครรภ์ก็นับว่าเกินไปสักหน่อยแล้วจื่อฮ่องเต้พลางเดินเข้ามาโอบไหล่ภรรยาไว้ “หากเจ้าอยากมีนักเช่นนั้นให้ข้าลงมือได้เลยหรือไม่”ไฉนนางจะไม่อยากมีกัน…ว่ากันตามตรงแล้วเขาและนางก็ตบแต่งกันมาหลายปีแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววเลยว่าผู้เป็นภรรยาจะตั้งครรภ์เสียทีด้วยสุขภาพของนางที่เป็นอยู่ตอนนี้ฟ่านฮองเฮาส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “สุขภาพข
“กลับมาแล้วหรือ”ฮั่วซูเม่ยรออยู่ในเรือนไม่ยอมนอนอยู่นานสองนานพอเห็นประตูถูกผลักเข้ามาปรากฏเรือนร่างกำยำคุ้นเคย นางจึงปากถามพลางลุกเดินเข้าไปหาเซียนหยางพลันถอยหลังหนี“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าไม่ต้องรอ ไฉนยังไม่นอนอีก” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่ง สายตาคมกริบไล่สำรวจนางตั้งแต่บนลงร่างจงใจยั่วยวนเขาหรอกหรือ?อาภรณ์ชุดนอนผืนบางแนบสนิทไปกับเรือนร่างจนมองเห็นส่วนโค้งเว้าทุกส่วน เรือนผมดำปล่อยสยายยาวอยู่หลัง“บอกแล้วอย่างไรว่าจะรอ” ใบหน้าคนงามระบายยิ้มกว้าง นางมองเข้าไปในนัยน์ตาคมกริบคู่นั้นจึงเห็นความรู้สึกผิดที่ถูกกลบเกลื่อนเอาไว้เล็กน้อย“……” “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่” ฮั่วซูเม่ยเดินไปอีกครั้งแต่เซียนหยางก็พลันถอยห่างอีก นางจึงขมวดคิ้วมุ่นทันทีคราแรกที่บุรุษผู้นี้ทำเช่นนี้นางจึงคิดเสียว่าเขาอาจจะตกใจก็ได้ ทว่าพอเป็นเช่นนี่ฮั่วซูเม่ยรู้ว่าเริ่มไม่ปกติแล้ว“เนื้อตัวข้าสกปรกยังไม่ทันได้อาบน้ำ” เซียนหยางเอ่ยอย่างเร่งรีบเกรงว่านางจะเข้าใจผิดเอาได้หาว่าเขารังเกียจฮั่วซูเม่ยไล่สายตาสำรวจสังเกตจึงพบว่าฝ่ามือของบุรุษผู้นี้นั้นมีคราบสีแดงคลายเลือดแห้งติดอยู่ ดวงตาเมล็ดซิ่งค่อย ๆ เงยขึ้นส
การแต่งงานของฮั่วซูเม่ยและเซียนหยางถูกจื่อฮ่องเต้กำหนดไว้ล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างไรเซียนหยางก็เป็นน้องชายร่วมอุทรผู้เดียวของจื่ออ๋องเต้ย่อมต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้าผู้ใดแน่จื่ออ๋องเต้นั่งพูดคุยอยู่จวนชินอ๋องต่อราวหนึ่งก้านธูปเห็นว่าคงรบกวนเวลาพักผ่อนของน้องสะใภ้มากเกินไปจึงไม่รั้งอยู่ต่อ “วันหน้าเจ้าก็พานางเข้าวังไปพบพี่สะใภ้เสีย”ฮั่วซูเม่ยระบายยิ้มจาง ๆ “เกรงว่าคงจะรบกวนฝ่าบาทเกินไปแล้วเพคะ”“เหอะ! รบกวนอันใดกันนับว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”ในความคิดของนางจื่อฮ่องเต้ผู้นี้เป็นถึงผู้ปกครองแคว้นเหนือกว่าผู้คนหลายพันหลายหมื่นชีวิตแต่กลับไม่หยิ่งทะนงถือตัวเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกประหม่าในคราแรกจึงคลายลงไปหมดสิ้นเซียนหยางกำลังจะอ้าปากปฏิเสธแล้วแต่พอเหลียวเห็นรอยยิ้มของสตรีข้างกายเป็นอันต้องกลืนคำพูดนั้นลงท้องไป เกรงว่าหากนางอยู่แต่จวนคงเบื่อหน่ายไม่น้อยได้พูดคุยกับผู้อื่นคงดี“เจ้าอยากไปหรือไม่”ฮั่วซูเม่ยพลางทำท่าครุ่นคิดสักเล็กน้อย “หากเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วเช่นนั้นข้าสมควรต้องคารวะพี่สะใภ้เสียหน่อยแล้ว”“ดี!” จื่อฮ่องเต้ตอบรับหัวเราะเบา ๆ “นางต้องเอ็นดูเจ้าเหม