เช้าวันรุ่งขึ้นฮั่วซูเม่ยตื่นขึ้นมาด้วยความเกียจคร้านปนเหนื่อยล้าไปทั่วทั้งร่าง นางสวมใส่อาภรณ์สีฉูดฉาดปักลวดลายเล็กน้อยประดับอย่างประณีตอีกทั้งยังรวบเกล้าผมขึ้นเป็นมวยสูงเฉกเช่นกับสตรีออกเรือนแล้ว
ฮั่วซูเม่ยปล่อยให้พวกสาวใช้จัดการได้อย่างตามใจ เพียงแต่การแต่งแต้มใบหน้านั้นนางเป็นคนลงมือจัดการเอง อารมณ์วันนี้ของนางเบิกบานอย่างเห็นได้ชัด พวกสาวใช้ที่อยู่บริเวณในห้องนั้นเห็นท่าทางของคุณใหญ่แล้วก็ต่างพากันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความเกรงกลัว ไม่บ่อยครั้งนักที่จะเห็นคุณหนูใหญ่อารมณ์ดีเช่นนี้ “มีเรื่องยินดีอันใดหรือเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้หญิงใจกล้าเปิดปากถามออกไป ฮั่วซูเม่นเหลียวมอง “ข้ายิ้มไม่ได้หรือ” นางเอียงคอเลิกคิ้วถามก่อนจะยกมือลูบท้องของตนเอง “หากมารดาอารมณ์ดีบุตรในท้องก็อารมณ์ดีด้วยมิใช่หรือ” “เจ้าค่ะ!” สาวใช้ผู้นั้นพยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วย ถึงแม้ภายในใจจะรู้แล้วว่าเป็นเรื่องอันใดก็ตาม นางพอปะติดปะต่อได้ว่าคงเป็นเหตุการณ์ที่คุณใหญ่ยกเลิกงานหมั้นหมายจองคุณหนูรองเป็นแน่ แม้ทั้งคู่จะเป็นพี่น้องร่วมบิดากันแล้วอย่างไร คุณหนูใหญ่ดันเกิดก่อนคุณหนูรองที่มีมารดาเป็นฮูหยินเอกมีผู้ใดบ้างจะพึงพอใจยอมรับเรื่องนี้ได้ อีกทั้งตั้งแต่เด็กยังเป็นนิสัยร้ายกาจคอยกลั่นแกล้งคุณหนูรองอยู่บ่อยครั้งทว่ากับยังมีฮูหยินผู้เฒ่าที่เอ็นดูคอยให้ท้ายอยู่เสมอ ใบหน้าของฮั่วซูเม่ยเจื่อนด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “วันนี้พวกเจ้าทำได้ดี” นางพลางเบิกลิ้นชักลวงถุง ๆ หนึ่งออกมาก่อนจะวางลงบนโต๊ะ “เอาไปแบ่งกันเสีย” นางพูดพลางลุกขึ้น พวกสาวใช้เห็นแล้วก็พลันตาลุกวาวแต่กลับไม่มีผู้ใดใจกล้าหยิบจับแตะต้องถุงเงินนั้นเลย เกรงว่าจะเป็นสิ่งของที่ขโมยมาจากผู้อื่น ว่ากันตามตรงมารดาของคุณหนูใหญ่หรือฮูหยินรองนั้นเป็นเพียงตระกูลพ่อค้าธรรมดาเท่านั้นมิได้มีฐานะร่ำรวยอันใดและถึงแม้ตอนจากไปจะทิ้งสินเดิมไว้ให้คุณหนูใหญ่แต่นั้นก็เป็นเพียงเศษเงินสำหรับพวกคนรวยเท่านั้น แต่คุณหนูใหญ่มองดูแล้วกับใช้เงินมือเติบสวนทางกับสิ่งที่เป็นอยู่นัก ฮั่วซูเม่ยเลิกคิ้วถาม “ไม่เอาหรอกหรือ” “…..” “เงินพวกนี้หากพวกเจ้าแบ่งกันแล้วอย่างไรก็มากกว่าเงินทั้งเดือนที่สกุลฮั่วมอบให้อยู่ดี” สายตาของนางปรายมองสาวใช้พวกนี้ที่เอาแต่ก้มหน้ามองเท้า ฮั่วซูเม่ยยกยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นก็ออกไปซะ” “ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่!” จู่ ๆ สาวใช้ใจกล้าผู้หนึ่งก็พุ่งเข้ามาคว้าถุงเงินไว้ในมือก่อนจะทำความเคารพแล้วจึงออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วทันที ฮั่วซูเม่ยได้แต่หัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ เมื่อก่อนนางใช้ชีวิตอย่างลำบากจริง ๆ ถึงจะมีฐานะเป็นคุณหนูใหญ่แต่กลับไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างที่ควร ซ้ำตอนมารดาจากไปแล้วนางมิต่างกับเป็นภาระของจวนสกุลฮั่ว ผ่านไปครู่ใหญ่ท้องของนางก็พลันส่งเสียงร้องดังโครกครากเสียแล้ว ฮั่วซูเม่ยเบื่อที่จะกินข้าวผู้เดียวดังนั้นในความคิดของนางจึงออกไปจวนไปประจบพบเจอฮูหยินผู้เฒ่าเสียหน้า “คุณหนูจะไปที่ใดหรือเจ้าค่ะ” ฮั่วซูเม่ยก้าวเท้ายังไม่พ้นขอบประตูก็พลันมีสาวใช้ผู้หนึ่งยืนกางแขนขวางทางไว้เสียแล้ว นางขมวดคิ้วมอง “หลีกไป” “บ่าวทำเช่นนั้นไม่ได้เจ้าค่ะ” พอได้ยินถ้อยคำนี้นางเข้าใจความมหายกระจ่างแจ้งทันที “ฮั่วฮูหยินสั่งให้เจ้าเป็นสุนัขจับตามองข้าหรือ” ประโยคของคุณหนูตรงหน้าทำเอานางเจ็บแสบไม่น้อย “บ่าวมิใช่สุนัขเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้นี้ทำท่าอวดดียกมือเท้าสะเอวเชิดใบหน้ามองเหยียดสตรีตรงหน้า “คนนิสัยใจคอร้ายกาจเฉกเช่นคุณหนูใหญ่สมควรอยู่ในเรือนไม่พบผู้ใดเลยจะดีกว่า” “อืม” ฮั่วซูเม่ยขานรับ “ฮั่วฮูหยินนับว่าเลี้ยงสุนัขตัวนี้ได้ดี” สตรีผู้นั้นคิดหรือว่าอำนาจเพียงเท่านี้จะจัดการนานได้ เช่นนั้นนางก็คงไม่อยู่รอดมาได้นานเพียงนี้ จากที่เดิมที่อารมณ์ของนางดี ๆ กลับย่ำแย่ลงเล็กน้อย ใบหน้าของฮั่วซูเม่ยเคร่งขรึมขึ้นทันที พลางเสแสร้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เช่นนั้นบุตรชายของเซียนหยางชินอ๋องคงต้องทนหิวโหยตลอดทั้งวันแล้วกระมัง” ครั้งล่าสุดที่ไหวห่าวซีมาเหยียบจวนชินอ๋องคงจะเป็นช่วงเมื่อหนึ่งเดือนก่อนได้ เมื่อสังเกตมองดูรอบ ๆ จวนแล้วเหมือนไม่มีอันใดเปลี่ยนไปมากนักนอกจากอารมณ์ขุ่นมัวของสหายเบื้องหน้า “ข่าวดีเช่นนี้ปล่อยให้ข้าได้ยินจากปากผู้อื่นได้อย่างไร” ไหวห่าวซีมีฐานะเป็นผู้ตรวจตราแผ่นดิน เขาจึงออกไปว่าราชการต่างอำเภออยู่บ่อยครั้งและวันนี้พอกลับถึงจวนยังไม่ทันจะได้พักเหนื่อยหายใจแต่กลับได้ยินข่าวหนึ่งแว่วผ่านหูจึงเร่งรีบควบม้ามายังจวนชินอ๋องทันที “เหตุใดไม่พานางมาให้ข้ารู้จักหน่อยเล่าเซียนหยาง” ในขณะที่เซียนหยางชินอ๋องนั้นกลับมีสีหน้าอึมครึมไม่สู้ดี ทั่วทั้งตัวแฝงกลิ่นอายสังหารอย่างกระอักกระอ่วน “ออกไปจากจวนของข้าซะ!” แววตาของเขาแข็งกร้าว ไม่ต้องเอ่ยปากพูดเขาก็รู้ว่าบุรุษตรงหน้าหมายถึงเรื่องอันใดกัน วันนี้เซียนหยางชินอ๋องเข้าวังหลวงประชุมท้องพระโรงตั้งแต่เช้าตรู่แต่กลับถูกถามคาดคั้นถึงประเด็นเรื่องทำคุณหนูใหญ่จวนสกุลฮั่วตั้งครรภ์แทน ไหวห่าวซียิ้มกว้างราวกับกำลังยียวนอารมณ์อีกฝ่าย “ดูท่าแล้วเจ้าคงทำคุณหนูจวนฮั่วตั้งครรภ์จริง ๆ” คราแรกเขาคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือจอมปลอมเท่านั้นแต่พอเห็นท่าทางของสหายแล้ว นี่เป็นเรื่องจริงแน่! “หึ! บุตรในครรภ์ของนางจะใช่ลูกข้าจริงหรือ” เซียนหยางหันขวับมองสหายตาขวาง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด “บางทีอาจเป็นแผนการของคุณสกุลฮั่ว” “เพ่ย! เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นัก คุณหนูฮั่วหรือจะกล้าเอาชื่อเสียงของตนเองมาเดิมพันกับเจ้า!” “ทำไมจะไม่ได้เล่า” เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นหรือช่วงเวลาย้อนกลับไปนั้น เซียนหยางเชื่อว่าสตรีผู้นั้นจงใจโกหกเพื่อหลอกลวงเขาแน่ ไหวห่าวซีกลอกสายตามองบนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เจ้าเองก็กำลังจะคิดจะตบแต่งคุณหนูรองสกุลฮั่วมิใช่หรอกหรือ…เช่นนั้นหากได้ตบแต่งคนพี่แทนจะเป็นไรไป” “นางทำงานอยู่หอคณิกา” “…..” “ข้าพบเจอนางที่นั่น” มิใช่ว่าในครรภ์ของนางเป็นบุตรของผู้อื่นหรือ ความสงสัยนี้ทำให้ภายในใจของหยางเซียนชินอ๋องว้าวุ่นไม่สงบนิ่ง เขาอยากจะเร่งไปจวนสกุลฮั่วถามให้รู้เรื่องแน่ชัดทว่าการกระทำเช่นนั้นเสมือนกับยิ่งเป็นการตอกย้ำ เซียนหยางถอนหายใจฮึดฮัดไม่พอใจอยู่เฮือกใหญ่ “เป็นหญิงคณิกาแล้วอย่างไรกัน ค่ำคืนนั้นมีเพียงเจ้าและนางต่างรู้ดีมิใช่หรือ” ไหวห่าวซีกล่าวอย่างตรงไปตรงมา หากเขาจำไม่ผิดสหายตรงหน้าเพียงแต่ต้องการตบแต่งสตรีสกุลฮั่วเพียงเพราะต้องการผลประโยชน์เท่านั้น ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้วเปลี่ยนน้องเป็นพี่นับว่าไม่ขาดทุน ประโยคนั้นเท่านั้นเซียนหยางพูดไม่ออกทันที หากในครรภ์นางเป็นบุตรของเขาจริง…จะทำอย่างไรดี ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ค่ำคืนเดียวแต่ภายหลังจากนั้นเขายังมีความรู้สึกว่ากลิ่นกายของนางยังคงไม่จางหาย สตรีผู้นั้นมีความหอมมิต่างจากดอกไม้ ซ้ำเขายังเป็นคนแรกของนาง… ไหวห่าวซีแค่นเสียงเยาะเย้ย “เหอะ! ดูท่าทางของเจ้าแล้ว ข้าสมควรจะต้องเตรียมของรับขวัญหลานผู้แรกเลยหรือไม่” “กับผีน่ะสิ!” ในใจของเซียวหยางชินอ๋องยังหวังว่าสตรีผู้นั้นตั้งใจจะยกเลิกงานหมั้นของน้องสาวหรือทำให้คนสกุลฮั่วขายหน้าเท่านั้น “ข้าจะไปจวนสกุลฮั่ว!”ผู้ใดกันเอ่ยปากจะเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดีไม่ตามใจนางจนเสียคนเกรงว่าคงเป็นฮั่วซูเม่ยกระมังที่หูฝาดได้ยินผิดไปเอง หากเอ่ยถึงเซียนหยางคนผู้นั้นน่ะหรือ…นางไม่เคยเห็นเขาปฏิเสธอาหนี่ว์เลยแม้แต่สักครึ่งคำด้วยซ้ำ“ท่านพ่อ!”น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยขึ้นเสียงดังพลางกระโดดวิ่งเต้นตามหาผู้เป็นบิดาของตน“ท่านพ่ออยู่ที่ใดเพคะ!”“ท่านพ่อเจ้าค่ะ!”ฮั่วซูเม่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ พอนางได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้พลันรู้สึกปวดหัวตุบ ๆ ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “อาหนี่ว์! เสียงเจ้าดังจนทำเขาตกใจตื่นแล้ว”“เอะ! แอ้ๆๆ แอ้!” เสียงของเด็กทารกในห่อผ้าสะดุ้งพลันหวีดร้องไห้จ้าด้วยความตกใจเมื่อถูกรบกวน“น้องข้าตื่นแล้วหรือ” ซูหนี่ว์หยุดชะงักก่อนตะโกนถามออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ก็ใช่น่ะซิ!” ฮั่วซูเม่ยตะโกนตอบ“ชู่ว์~~ เข้าใจนางหน่อยอาหยวน พี่สาวของเจ้าก็เป็นคนเสียงดังเช่นนี้” ฮั่วซูเม่ยพลางอุ้มเด็กน้อยในห่อผ้าขึ้นแนบอก เกลี้ยกล่อมให้หยุดร้องไห้“ท่านแม่!”ซูหนี่ว์ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ตรงหน้ามารดา สายตาของนางมองเลยสอดส่องเข้าไปในห่อผ้าอย่างไม่วางตา “ส่งมาให้ข้าเถอะ”“…..”“แอ้! แอ้ๆๆๆ” ทารกยังคงตะเบ่งเสียงร้องไม่
‘หนึ่ง…คำนับฟ้าดิน’‘สอง…คำนับบิดามารดา’‘สาม…คำนับกันและกัน’‘ส่งตัวเข้าหอ’เสียงของแม่สื่อร้องตะโกนดังก้องประกาศขั้นตอนพิธีการสำคัญต่าง ๆ ตามหน้าที่ขนบธรรมเนียมผ่านมาเกือบปีแล้วในที่สุดก็ถึงเวลาเหมาะสมสำหรับ งานมงคลสมรสอย่างเป็นทางการเสียทีระหว่างเซียนหยางชินอ๋องและฮั่วซูเม่ยโดยมีฟ่านฮองเฮาจื่อฮ่องเต้เป็นผู้จัดการให้ทั้งสิ้นไม่ว่าจะสามหนังสือหรือหกพิธีการจัดแจงตามให้เหมาะสมในเมื่อฮั่วซูเม่ยตัดขาดไม่เกี่ยวข้องออกจากจวนสกุลฮั่วมานานแล้ว ดังนั้นฟ่านฮองเฮาจึงเป็นแม่งานฝ่ายเจ้าสาวให้ส่วนเซียนหยางชินอ๋องนั้นแม้ตอนแรกเขาเอ่ยปากว่าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองทว่ากับถูกจื่อฮ่องเต้ข่มขู่หากไม่ได้ทำให้น้องชายร่วมอุทรผู้เดียวเกรงว่าตอนตายลงโลงไปคงไม่หลับตาแน่เป็นเช่นนี้แล้วคนทั้งคู่จึงไม่สามารถเอ่ยขัดได้เลยแม้แต่สักครึ่งคำจื่อฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรสวมใส่อาภรณ์สีทองแล้วยังปักด้วยดิ้นทองเป็นลวดลายมังกรน่าเกรงขามอีกหน เคียงข้างด้วยฟ่านฮองเฮาสวมใส่อาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีตในชุดสีทองประดับลวดลายสวยงามเช่นกันเหล่าขุนนางสูงต่ำทั้งหลายและแขกมากมายต่างรายล้อมอยู่รอชื่นชมความงดงามของคู่บ่า
ต้นฤดูไม้ใบผลิอากาศหนาวเริ่มคลายลงบ้างแล้ว ในขณะที่ช่วงยามนี้จวนชินอ๋องกำลังวุ่นวายบ่าวรับใช้และหมอหญิงหลาย สิบคนต่างกำลังเดินเข้าออกจากเรือนหลักหนึ่งทำหน้าที่ของตนเองเพียงเพราะฮั่วซูเม่ยสตรีของเซียนหยางชินอ๋องเจ็บท้องใกล้จะ คลอดแล้ว“อดทนอีกนิดเพคะ” ชิงอันพลางเอ่ยบอกอาการเป็นระยะฮั่วซูเม่ยนอนอยู่บนเตียง สภาพใบหน้าหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดฝาด “มารดาจะตายแล้ว!”นางรู้สึกหน่วงที่ท้องและเจ็บจริง ๆ“ใจเย็นเถอะ ๆ อีกไม่นาน” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นปลอบใจเซียนหยางยืนอยู่ข้างๆ เตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลกระวนกระวายและไม่สามารถทำอะไรได้มากนอกจากจับมือนาง ไว้แน่นราวกับหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดนั้นได้เซียนหยางเห็นสภาพของนางเช่นนี้มาสองชั่วยามได้แล้ว หากเขาเจ็บแทนได้คงดีไม่น้อย“เมื่อไหร่นางจะคลอด”“…..”หมอหญิงสามสี่คนที่ตรวจดูอาการพอได้ยินน้ำเสียงทุ้มของชินอ๋องเอ่ยขึ้นนิ่ง ๆ จึงสะดุ้งตาม ๆ กัน “อีกไม่นานเจ้าค่ะ"อีกไม่นาน?“ข้าถามว่าเมื่อไหร่” สายตาคมกริบพลันปรายไปมอง ฉายความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด“เกรงว่าทารกน้อยผู้นี้คงจะตัวใหญ่ไม่น้อยถึงขั้นไม่ยอมออกเลยทำให้หวางเฟยเจ็บปวดไม่น้อย”
พอได้ยินประโยคนี้แล้วฮั่วซูเม่ยตกใจเล็กน้อยก็จะปรายสายตาเหลียวไปมองเซียนหยางอยู่ข้าง ๆ ที่เอ่ยแทรกขึ้น“เกรงว่าคงทำให้พี่สะใภ้ผิดหวังแล้ว” เซียนหยางไม่มีทางยอมแน่ บุตรของเขาที่กำลังเกิดจากฮั่วซูเม่ยสมควรเรียกเขาว่าบิดาแค่เพียงผู้เดียวเท่านั้นสีหน้าของฟ่านฮองเฮาผิดหวังเล็กน้อย “เช่นนั้นหรือ” นางมีความรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยผู้นี้ตั้งแต่ในครรภ์จริง ๆ ดูท่าแล้วออกมาคงหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มไม่น้อย“คงไม่เป็นอันใดกระมัง” นางหันไปพูดกับเซียนหยางก่อนจะปรายสายมากลับมามองสตรีตรงหน้าฮั่วซูเม่ยถือวิสาสะจับมือของฟ่านฮองเฮาไว้ก่อนจะวางลงบนท้องของตนเอง “ไฉนเจ้าเด็กนี้เขาจะไม่ดีใจกันมีท่านป้าเป็นถึงฮองเฮางดงามเพียงนี้” นางไม่ได้คิดมากอันใดอยู่แล้ว เพียงแค่มีคนเอ็นดูเจ้าเด็กคนนี้ตั้งแต่ในครรภ์ก็นับว่าเกินไปสักหน่อยแล้วจื่อฮ่องเต้พลางเดินเข้ามาโอบไหล่ภรรยาไว้ “หากเจ้าอยากมีนักเช่นนั้นให้ข้าลงมือได้เลยหรือไม่”ไฉนนางจะไม่อยากมีกัน…ว่ากันตามตรงแล้วเขาและนางก็ตบแต่งกันมาหลายปีแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววเลยว่าผู้เป็นภรรยาจะตั้งครรภ์เสียทีด้วยสุขภาพของนางที่เป็นอยู่ตอนนี้ฟ่านฮองเฮาส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “สุขภาพข
“กลับมาแล้วหรือ”ฮั่วซูเม่ยรออยู่ในเรือนไม่ยอมนอนอยู่นานสองนานพอเห็นประตูถูกผลักเข้ามาปรากฏเรือนร่างกำยำคุ้นเคย นางจึงปากถามพลางลุกเดินเข้าไปหาเซียนหยางพลันถอยหลังหนี“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าไม่ต้องรอ ไฉนยังไม่นอนอีก” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่ง สายตาคมกริบไล่สำรวจนางตั้งแต่บนลงร่างจงใจยั่วยวนเขาหรอกหรือ?อาภรณ์ชุดนอนผืนบางแนบสนิทไปกับเรือนร่างจนมองเห็นส่วนโค้งเว้าทุกส่วน เรือนผมดำปล่อยสยายยาวอยู่หลัง“บอกแล้วอย่างไรว่าจะรอ” ใบหน้าคนงามระบายยิ้มกว้าง นางมองเข้าไปในนัยน์ตาคมกริบคู่นั้นจึงเห็นความรู้สึกผิดที่ถูกกลบเกลื่อนเอาไว้เล็กน้อย“……” “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่” ฮั่วซูเม่ยเดินไปอีกครั้งแต่เซียนหยางก็พลันถอยห่างอีก นางจึงขมวดคิ้วมุ่นทันทีคราแรกที่บุรุษผู้นี้ทำเช่นนี้นางจึงคิดเสียว่าเขาอาจจะตกใจก็ได้ ทว่าพอเป็นเช่นนี่ฮั่วซูเม่ยรู้ว่าเริ่มไม่ปกติแล้ว“เนื้อตัวข้าสกปรกยังไม่ทันได้อาบน้ำ” เซียนหยางเอ่ยอย่างเร่งรีบเกรงว่านางจะเข้าใจผิดเอาได้หาว่าเขารังเกียจฮั่วซูเม่ยไล่สายตาสำรวจสังเกตจึงพบว่าฝ่ามือของบุรุษผู้นี้นั้นมีคราบสีแดงคลายเลือดแห้งติดอยู่ ดวงตาเมล็ดซิ่งค่อย ๆ เงยขึ้นส
การแต่งงานของฮั่วซูเม่ยและเซียนหยางถูกจื่อฮ่องเต้กำหนดไว้ล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างไรเซียนหยางก็เป็นน้องชายร่วมอุทรผู้เดียวของจื่ออ๋องเต้ย่อมต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้าผู้ใดแน่จื่ออ๋องเต้นั่งพูดคุยอยู่จวนชินอ๋องต่อราวหนึ่งก้านธูปเห็นว่าคงรบกวนเวลาพักผ่อนของน้องสะใภ้มากเกินไปจึงไม่รั้งอยู่ต่อ “วันหน้าเจ้าก็พานางเข้าวังไปพบพี่สะใภ้เสีย”ฮั่วซูเม่ยระบายยิ้มจาง ๆ “เกรงว่าคงจะรบกวนฝ่าบาทเกินไปแล้วเพคะ”“เหอะ! รบกวนอันใดกันนับว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”ในความคิดของนางจื่อฮ่องเต้ผู้นี้เป็นถึงผู้ปกครองแคว้นเหนือกว่าผู้คนหลายพันหลายหมื่นชีวิตแต่กลับไม่หยิ่งทะนงถือตัวเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกประหม่าในคราแรกจึงคลายลงไปหมดสิ้นเซียนหยางกำลังจะอ้าปากปฏิเสธแล้วแต่พอเหลียวเห็นรอยยิ้มของสตรีข้างกายเป็นอันต้องกลืนคำพูดนั้นลงท้องไป เกรงว่าหากนางอยู่แต่จวนคงเบื่อหน่ายไม่น้อยได้พูดคุยกับผู้อื่นคงดี“เจ้าอยากไปหรือไม่”ฮั่วซูเม่ยพลางทำท่าครุ่นคิดสักเล็กน้อย “หากเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วเช่นนั้นข้าสมควรต้องคารวะพี่สะใภ้เสียหน่อยแล้ว”“ดี!” จื่อฮ่องเต้ตอบรับหัวเราะเบา ๆ “นางต้องเอ็นดูเจ้าเหม