“อื้ออ!...”ริมฝีปากหนาประกบจูบสตรีใต้ร่างอย่างรุนแรงด้วยความหื่นกระหายเต็มเปี่ยม ไหวห่าวซีหาได้มีความอดทนมากพอเพียงมีหญิงงามอยู่ตรงหน้าเหม่ยฮวายกมือขึ้นคล้องคอบุรุษผู้นี้แน่นไม่ขัดขืนพลางหลับตาพริ้มรับจูบที่ถูกปรนเปรอลิ้นร้อนกวาดเลียทั่วโพลงปากหวานอย่างดูดดื่มนานชั่วขณะหนึ่งก่อนที่ไหวห่าวซีจะผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง“อืม..” น้ำเสียงทุ้มครางแหบพร่าอย่างพึงพอใจนางจงใจยั่วยวนเขาอยู่ใช่หรือไม่สายตาคมกริบสบเข้ากับแววตาหวานเยิ้มของนางราวกับกำลังเชิญชวน มุมปากหนายักยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์“หากแม่นางไม่ชอบข้าจะหยุด…”“มาถึงเพียงแล้วแน่ใจหรือว่าคุณชายอยากจะหยุด” เพียงชั่วพริบตาเหม่ยฮวาพลันพลิกเรือนร่างตนเองเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมบุรุษผู้นี้ไว้ใต้เรือนร่างสองมือข้างนางกระตุกปลดผ้าคาดเอวออกไหวห่าวซีจดจ้องมองการกระทำของนางด้วยความลุ้นระทึกปนความตื่นเต้น ท่าทางของนางที่กำลังนั่งอยู่ตอนนี้พลันทาบทับแก่นกายของเขารู้สึกเสียววาบจนปวดหนึบใบหน้าหล่อเหล่ากัดฟันกรอด “อ่าาส์! เจ้าหาใช่ดอกไม้งามแต่เป็นสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง!”เหม่ยฮวาได้ยินแล้วจึงหัวเราะคิกคัก เกรงว่าคงมีเพียงบุรุษผู้นี้กระมังที่ช่างเปรียบเปร
ไหวห่าวซีตามติดห้อยสอยสหายมายังโรงเตี๊ยมไป๋ชานด้วยทว่าระหว่างทางนั้นกับพบคนคุ้นเคยหวนให้นึกถึงบรรยากาศในวันวานสตรีผู้นี้งดงามราวกับดอกไม้บานกลิ่นกายหอมเย้ายั่วยวนชวนให้ผ่อนคลายเกรงว่าผู้ตรวจตราไหวห่าวซีคงตกหลุมพรางดอกไม้งามของโรงเตี๊ยมไป๋ชานแล้วกระมังนางเป็นสตรีงามผู้หนึ่งไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คนห้อมล้อมมากมายย่อมเปล่งประกายเด่นชัด ไหวห่าวซีเดินเอามือไพล่หลังแหวกเข้าไปในวงล้อม เขากระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น “เสียงเอะอะโวยวายดังเช่นนี้ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดกัน”แท้จริงแล้วเขาไม่รู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าเกิดอันใดขึ้น กันแน่แต่สายตาของเขาพลันมองเห็นนางกำลังฉุดยื้อฉุดดึงกับบุรุษผู้หนึ่งอยู่ราวหนึ่งก้านธูปแล้วเหม่ยฮวาคุ้นเคยโทนเสียงเช่นนี้นัก ในจังหวะที่นางหันไปมองจึงเปล่งออกมา “คุณชายผู้นั้น”คุณชายผู้นั้น!?เหอะ! ในความทรงจำของนางมีคุณชายสักกี่สิบคบกันไม่รู้ว่าไหวห่าวซีกำลังคาดหวังอันใดอยู่กันแน่จู่ ๆ ใบหน้าของเขาก็พลันมืดครึ้มลง “อ่อ! ที่แท้ก็แม่นางผู้นั้นเองหรอกหรือ”หมายความว่าอย่างไรกันเหตุใดนางฟังแล้วถึงขัดแย้งแปลก ๆ“นางเป็นของข้า!!”ในจังหวะเดียวกันบุรุษผู้หนึ่งพลันตะโกนร
ปกติแล้วนางไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อนฮั่วซูเม่ยทั้งคลื่นไส้ทั้งอาเจียนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนหมดไส้หมดพุงก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า ใบหน้าคนงามฉายแววความอิดโรย“หวางเฟยเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” ชิงอันคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ข้างกายอยู่ไม่ห่างลักษณะท่าทางของนายหญิงที่เป็นอยู่เช่นนี้หากนางคาดเดาไว้ไม่ผิดคืออาการแพ้ท้องของสตรีตั้งครรภ์แน่แต่ถึงว่าอย่างไรสมควรให้หมอหลวงมาตรวจให้แน่ชัดน้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยอย่างหมดแรง “ข้ากำลังจะตายหรือ”แพขนตาของนางสั่นไหวระริก ฮั่วซูเม่ยไม่มีเรี่ยวแรงจะลืมตาเลยด้วยซ้ำในขณะเดียวกันนั้นเซียนหยางพลันได้แต่ยืนมองสตรีตรงหน้าด้วยความกระวนกระวายใจ แม้อยากจะเข้าไปช่วยเหลือมากเพียงใดแต่กลับไม่สามารถทำได้ “ชิงอันไปตามหมอ”หากจะปล่อยให้นางรู้สึกดีขึ้นเองเกรงว่าเขาคงทนมองนางในสภาพเช่นนี้ไม่ได้ชิงอันมองผู้เป็นนายหญิงด้วยความไม่ไว้วางใจ “แต่นายหญิงยังอาการไม่ดีขึ้น…”“ข้าจะดูแลนางเอง”“เจ้าค่ะ” พอได้ยินประโยคนี้ชิงอันจึงตกปากรับคำช่วงจังหวะที่กำลังจะเดินผ่านเซียนหยางชินอ๋องนั้นจึงต้องหยุดลงก่อนจะเปิดปากพูดกระซิบกระซาบ “สตรีตั้งครรภ์นั้นมีความรู้สึกละเอียดอ่
เซียนหยางชินอ๋องนับได้ว่าเป็นบุรุษทึ่มทื่อและโง่เขลา เรื่องสตรีตอนมีดอกไม้งามอยู่ในมือกับไม่ใส่ใจรดน้ำดูแลให้ดีพลันทำให้เกิดความชอกช้ำเหี่ยวเฉา“เห้อ! คราวหน้าหากมีอีกครั้งข้าไม่ช่วยเจ้าแน่!” ไหวห่าวซีข่มขู่อีกฝ่ายช่วยเหลือเพียงครั้งเดียวแต่ถูกตราหน้าไปตลอดชีวิต“ปล่อยข้า” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นไม่พอใจ เจ้าสหายผู้นี้พอได้คืบจะเอาศอก“ปล่อยให้เจ้าเดินเข้าจวนไปแล้วถูกนางตีหัวแตกหรือ?”“นางหรือจะกล้าตีข้าได้”ไหวห่าวซียกยิ้มเยาะ “เกรงว่าเจ้าคงรู้จักสตรีน้อยไปแล้ว”ในระหว่างทางกลับจวนนั้นเซียนหยางเสแสร้งทำตัวเป็นคนเมามายเดินโซซัดโซเซโดยไหวห่าวซีประคองเอาไว้ หวังว่าตอนกลับถึงจวนฮั่วซูเม่ยจะเห็นใจไม่เอาเรื่องหลงลืมเหตุการณ์เมื่อตอนเช้าไปหมดสิ้นทว่าเขายังคงมีความคับแคลงใจอยู่มากเขาไม่ผิดไฉนต้องทำตัวน่าสมเพชเช่นนี้‘เชื่อข้า!’เซียนหยางเริ่มไม่แน่ชัดแล้วว่าคำพูดของสหายผู้นี้จะช่วยเหลือหรือเป็นการกลั่นแกล้งซ้ำเติมเพื่อความสะใจกันแน่“เซียนหยางชินอ๋องขอรับ!”“ผู้ตรวจตราไหวเจ้าคะ!”จังหวะนั้นพอตอนที่คนทั้งคู่เดินเข้าประตูจวนชินอ๋อง สายตาของพวกบ่าวรับใช้พลันหันมองเป็นตาเดียวกันบางคนถึงกับร้องตกใ
บทที่ ๖หอหงเฟยตลอดชีวิตของซูอวี้เหยียนตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงยามนี้ ล้วนมีเหล่าสาวใช้ห้อมล้อมคอยปรนนิบัติไม่เคยห่างกายอยู่เสมอทว่าเช้าวันนี้ เมื่อนางลืมตื่นขึ้นกลับพบเพียงความเงียบงันวังเวง ไร้แม้เสียงฝีเท้าของสาวใช้ที่เคยยกน้ำมาให้ล้างหน้า บ้วนปาก หรือเตรียมเสื้อผ้าให้อย่างเคยและย่ำแย่ยิ่งกว่านั้น…สภาพของนางในยามนี้คล้ายจะผ่านไปหลายวันแล้วที่มิได้อาบน้ำหรือพลัดเปลี่ยนอาภรณ์แต่อย่างใดนางจึงอยู่ในสภาพมอมแมมจนแทบไม่ต่างจากขอทานหรือบางทีอาจย่ำแย่ยิ่งกว่านั้นเสียอีกซูอวี้เหยียนขยับตัวพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกวาดมองไปรอบห้องไม้เก่าโทรมที่เป็นที่หลบซ่อนและเกรงว่าคงตลอดไป กลิ่นอับชื้นของไม้ผุผสมกลิ่นฝุ่นคลุ้งลอยแตะจมูกทันทีที่ขยับผ้าห่มเก่าๆ ออก“ไม่คิดว่า...วันหนึ่งข้าจะต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้” น้ำเสียงหวานพึมพำกับตนเอง ซูอวี้เหยียนตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจลุกจากเตียง นางกวาดตามองไปรอบห้องอย่างสังเกต…เรือนเล็กแห่งนี้ช่างคับแคบเสียยิ่งกว่าเรือนสาวใช้ในจวนเสียอีก…ทว่าก็ช่างเถอะ หากแลกกับหนีให้พ้นจากขุนนางหลี่ได้ เช่นนั้นนางก็ยินดีหากเมื่อใดที่เรื่องนี้เงียบลง
ภายหลังจากวันนั้นไหวห่าวซีส่งกองกำลังในมือให้เข้าไปตรวจตราเรือนของฮั่วซูเม่ยที่ถูกไฟไหม้ในจวนสกุลฮั่วทว่าระหว่างทางย่อมพบพิรุธมากมายเผยออกมาให้เห็น“ไม่ทราบว่าคุณชายมาหาผู้ใดขอรับ” ผู้รักษาประตูเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมพร้อมทั้งสำรวจมองเหล่าบุรุษตรงหน้าทั้งหลายมุมปากของไหวห่าวซียกยิ้มเยาะ “เหอะ! ด้วยตำแหน่งและฐานะของข้าแล้ว หากอยากเข้าไปที่ใดก็ย่อมทำได้โดยไม่ร้องของความยินยอมจากผู้ใด”“…..”ตั้งแต่เหตุการณ์ไฟไหม้ในวันนั้น นายท่านฮั่วมีคำสั่งว่าหากแขกผู้ใดที่ไม่ได้นัดหมายมาก่อนล้วนไม่สามารถเข้าไปในจวนได้ไม่มีข้อยกเว้น“ไม่ได้ขอรับ” ผู้รักษาประตูตอบอย่างหนักแน่นหากการเรื่องอันใดขึ้นมาเกรงว่าเขาคงได้รับโทษถึงชีวิตไหวห่าวซีคิดไว้แล้วว่าต้องยุ่งยาก “ถือว่าข้าได้ดี ๆ แล้ว” สายตาของเขาปรายมองเหล่าชายฉกรรจ์ข้างหลังก่อนจะพยักหน้าเป็นคำสั่งให้จับกุมตัวคนตรงหน้าให้หลีกทาง ผู้รักษาประตูเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่จู่ ๆ พวกคนเหล่านั้นตาพุ่งตรงมาทางนี้ เป้าหมายคือเขา“ชะ..ช้าก่อนขอรับ!”“บิดาไม่ได้มีเวลามากนัก”ไหวห่าวซีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ เขาไม่รับฟังความเห็นต่างหรือเหตุผลใด ๆ มั้งสิ้น ในเมื่อใช้ไม้อ
ฮั่วซูเม่ยนอนรออยู่บนเตียงร่างกายห่อหุ้มด้วยผ้านวมอุ่นผืนใหญ่โตเหลือเพียงใบหน้าที่โผล่พ้นออกมาอย่างน่าเอ็นดูเท่านั้น “หากเจ้าไม่สบายใจก็ไปนอนที่อื่นเถอะ” สายตาของนางจ้องมองบุรุษตรงหน้าตาปริบ ๆพอเซียนหยางได้ยินประโยคนี้แล้วเขาพลัยขมวดคิ้วมุ่นมิใช่เขาหรือที่สมควรพูดเช่นนั้น?“จวนชินอ๋องเป็นของข้าหากข้าอยากนอนที่ใดก็ย่อมได้”“เช่นนั้นก็ดับตะเกียงขึ้นเตียงนอนเถิด” ฮั่วซูเม่ยเอ่ยขึ้นพลางยกมือขึ้นปิดปากห้าวด้วยความง่วงงุนนางรู้สึกว่านอนหงายเช่นนี้หายใจลำบากติดขัดนักที่ตะแคงข้างหันใบหน้าไปมองทางเซียนหยางที่ยื่นแข็งทื่ออยู่ข้าง ๆ เตียงดังเดิม “เร็ว ๆ เข้า”สตรีผู้นี้ไร้ยางอายเกินไปจริง ๆเซียนหยางเองก็ไม่ใช่บุรุษไร้เดียงสาหรือใสซื่อทว่าเขากับไม่เคยเห็นสตรีแปลกประหลาดเช่นนางมาก่อนถึงขั้นกล้าเอ่ยเรียกบุรุษนอนร่วมเตียงด้วยท่าทางเกียจคร้านไม่ใส่ใจเช่นนี้“…..”ฮั่วซูเม่ยปิดเปลือกตาลงไปแล้วครู่หนึ่ง ทว่ายังคงมองเห็นแสงเล็ดลอดอยู่จึงลืมตาขึ้นจ้องมองเซียนหยางตาเขม็ง “หากไม่นอนก็ออกไปซะ”นางกล่าวอย่างเอาแต่ใจพอหนังท้องตึงหนังตาของนางก็เริ่มหย่อนคล้อยเกินกว่าจะฝืนอยู่ต่อได้เซียนหยางถอนหายใจเฮือกห
ฮั่วซูเม่ยย้ายเข้ามาอยู่จวนชินอ๋องเข้าสู่วันที่สองแล้ว ผู้คนภายในจวนไม่ว่าจะบ่าวรับใช้ชายหญิงหรือแม้กระทั่งคนสวนล้วนปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ขาดตกบกพร่องราวกับได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดีชช่างต่างกันลิบลับกับจวนสกุลฮั่ว หรือแท้จริงอาจเป็นเพราะว่าได้รับคำสั่งจากบุรุษผู้นั้นว่าให้ดีต่อนางกันแน่“หมอหลวงมาแล้วเพคะ”“ข้าสบายดีไม่เป็นอันใดแล้ว” นางปรายสายตามองสาวใช้ผู้นั้น ใบหน้าระบายยิ้มเล็กน้อยเซียนหยางช่างทำตัวตื่นตูมเกินกว่าเหตุจริง ๆ วันแรกที่นางมาถึงจวนก็พลันเรียกหมอหลวงหลายคนมาตรวจสุขภาพของนางและบุตรในครรภ์วันละสามเวลาด้วยกันแม้จะเอ่ยปากพูดอย่างไรก็ดื้อรั้นไม่ยอมฟัง“เป็นคำสั่งของท่านอ๋องเพคะ”พอได้ยินถ้อยคำนี้ฮั่วซูเม่ยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เช่นนั้นก็ให้ตามเข้ามาเถอะ” แม้นางจะเอ่ยปากปฏิเสธไปแล้วอย่างไร แต่เซียนหยางนั่นกลับข่มขู่ว่าหากนางไม่ทำตามละก็จะไล่คนพวกนี้ ออกซะมีหรือนางจะขัดขืนได้“เพคะหวางเฟย” ก่อนจะจากไปนั้น สาวใช้ผู้นี้ยังยอบกายเคารพอีกหน‘เห็นนางก็เหมือนข้า’ประโยคของเซียนหยางชินอ๋องยังคงดังก้องอยู่ในหูของนางชัดเจนมองทีเดียวก็รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นมีความสำคัญมากเพียงใด
ฮั่วหลิงเฟยขมวดคิ้วมุ่นสีหน้าย่ำแย่ลงไปทันที นางย่อมจดจำน้ำเสียงนี้ได้ในจังหวะที่นางเหลียวมองไปทางต้นเสียงนั้น ฮั่วหลิงเฟย สังเกตเห็นว่าฮั่วซูเม่ยยังมีชีวิตอยู่ซ้ำยังข้างกายเซียนหยางชินอ๋องคอยประคองไว้ไม่ไม่ห่างอีก โทสะภายในใจของนางจึงพลุ่งพล่านด้วยความโกรธทันที ดวงตาเมล็ดซิ่งฉายแววความเคียดแค้นอย่างปิดไม่มิด มือทั้งสองข้างกำแน่นจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!ก่อนที่จะจากมานั้นสายตาของฮั่วหลิงเฟยมองเห็นเพลิง ไฟลุกไหม้โหมกระหน่ำจนทั่วทั้งจวนแล้ว“อันใดกัน..ตกใจราวกับเห็นผีน้องหญิง” น้ำเสียงหวานเอ่ยด้วยความแข็งกร้าวไม่เหลือเค้าโครงความอ่อนแอปรากฏให้เห็น “อ่อ! คิดว่าข้าถูกไฟคลอกตายในเรือนแล้วอย่างงั้นหรือ”“ซูเออร์!” ฮูหยินผู้เฒ่าร้องด้วยความตกใจปนดีใจ “สวรรค์! เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย” พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ใบหน้าของนางระบายยิ้มจาง ๆ ก่อนจะหันขวับมองคนข้างกาย “ขอบคุณสวรรค์อันใดกันท่านย่า! ท่านสมควรขอบคุณเซียนหยางชินอ๋องไม่ดีกว่าหรือ” ฮั่วซูเม่ยไม่สนใจว่าผู้คนจวนสกุลฮั่วจะมองนางด้วยสายตาอย่างไร แค่นับว่ามีชีวิตรอดออกมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกคนเหล่านี้ก็คงสร้างความประหลาดอยู่มากพอแล้วฮั่วหลิงเฟยกัดฟันกร