เรื่องที่เสิ่นอี้แก้ไขสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังพลิกสถานการณ์ให้ทุกอย่างไม่เลวร้ายลงไปกว่าเดิม สร้างความปวดหัวให้นายอำเภออู๋ไม่น้อย หากยังปล่อยให้เสิ่นอี้ทำทุกอย่างได้อย่างราบรื่นต่อไปเช่นนี้ เขาเกรงว่าสักวัน เสิ่นอี้อาจจะล่วงรู้เรื่องราวที่เขาและนายท่านกำลังลงมือทำเข้าสักวัน
ต้องหาทางกำจัดเสียก่อน
การจะกำจัดเสิ่นอี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก เขาเดินทางมาอยู่ที่นี่ซึ่งห่างไกลจากเมืองหลวง เป็นบุตรชายแม่ทัพแล้วอย่างไรเล่า ก็จัดฉากว่าเขาล้มป่วยตายไปเสียก็สิ้นเรื่อง ส่วนบุตรชายของเขาก็ให้ตายด้วยอุบัติเหตุ เช่นนี้แล้วใครจะมาสาวถึงตัวเขาได้
อีกทั้งนายท่านย่อมเตรียมหาทางหนีทีไล่เอาไว้อยู่แล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนายอำเภออู๋จึงรีบให้คนส่งจดหมายไปแจ้งเจ้านายของตนถึงแผนการที่ตนกำลังคิดจะลงมือทำ นายท่านที่ว่านั้นเมื่ออ่านจดหมายจบแล้วก็เพียงยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเขียนจดหมายตอบกลับว่าให้ลงมือได้เลย อีกทั้งยังต้องทำอย่างลับๆ และต้องรัดกุมอีกด้วย
เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส ไป๋จินเซียงออกมาหาซื้อของเอาไว้ไปทำขายที่เหลาสุราเช่นเดิม จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงยามบ่ายนางก็คิดจะกลับไปเปลี่ยนชุดใหม่ที่จวนตระกูลไป๋เสียหน่อย เพราะทั้งเช้าทำงานมาเหนื่อย จนเหงื่อท่วมตัวแล้ว
หญิงสาวเดินไปตามทางเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่พวกหูถงถูกเสิ่นอี้จับตัวไปก็ไม่มาก่อกวนอีกเลย ชาวบ้านค่อนข้างใช้ชีวิตได้อย่างสุขสงบเป็นอย่างมาก ไป๋จินเซียงเดินลัดเลาะมาตามตรอกซอกซอย ก่อนจะได้ยินเสียงแว่วของเด็กร้องไห้ หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น ชะงักฝีเท้าและมองหาต้นตอของเสียงนั้น นางมองไปรอบๆ บริเวณ และเดินตรงไปยังทิศทางของเสียง ยิ่งก้าวเข้าไปใกล้เสียงของเด็กร้องก็ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น ไป๋จินเซียงเดินมาจนหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชายตัวน้อยผู้หนึ่งที่กำลังนั่งคุดคู้ร้องไห้อย่างน่าสงสาร
"ฮือ ท่านพ่อ ข้าอยากกลับไปหาท่านพ่อ"
เมื่อเห็นว่าเป็นเด็กชายวัยเพียงห้าหกขวบ อีกทั้งการแต่งกายก็ดูดีมีฐานะเหมือนบุตรชายจากตระกูลผู้ดี ไป๋จินเซียงจึงทิ้งกายนั่งลงตรงหน้า ก่อนจะเอ่ย
"เจ้าหนูน้อย เจ้ามาร้องไห้ตรงนี้ทำไมกัน บิดามารดาของเจ้าเล่า"
เสิ่นเป่าเมื่อได้ยินเสียงหวานใสของสตรีก็รีบเงยหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าน้อยๆ ยามนี้มีแต่คราบน้ำตาเต็มไปหมด ไป๋จินเซียงเมื่อได้เห็นใบหน้าของเด็กชายตรงหน้าชัดๆ นางก็ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะแดงเรื่อ มือของนางสั่นระริก ริมฝีปากแดงฉ่ำค่อยๆ เอื้อนเอ่ยเรียกชื่อใครคนหนึ่งออกมา
"ไป๋ซาน!"
เสิ่นเป่าไม่เข้าใจว่าเหตุใดสตรีตรงหน้า เมื่อมองเห็นหน้าเขาแล้วจะต้องร้องไห้ออกมาเช่นนั้น ในขณะที่เขากำลังตกใจ นางก็คว้าตัวเขาเข้าไปกอดเอาไว้ พร้อมกับเรียกชื่อของใครก็ไม่รู้ที่เขาไม่คุ้นหูเอาเสียเลย
ไป๋จินเซียงยามนี้ร้องไห้โฮเหมือนคนบ้า ไป๋ซานน้องชายที่ตายไปแล้วของนาง เหตุใดจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่กันนะ
ในภพชาติปัจจุบันก่อนที่นางจะล้มป่วยจนตายและทะลุมิติมาที่นี่ นางมีน้องชายชื่อไป๋ซานอายุหกขวบ ทว่าเขากลับถูกรถชนตาย นางเสียใจจนล้มป่วยสุดท้ายก็ตายเช่นเดียวกับน้องชาย
นางรักน้องชายมาก ตั้งแต่พ่อแม่ตายจากไปนางก็ดูแลไป๋ซานมาตลอด สองพี่น้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยความยากลำบาก
แต่ไป๋ซานของนางช่างโชคร้ายเหลือเกินที่มาจากนางไปก่อน
ทว่าสวรรค์! นางทะลุมิติเวลามาที่นี่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้พบกับไป๋ซานอีกครั้ง
"ไป๋ซาน ฮือ!"
เสิ่นเป่าจากที่ร้องไห้โยเย เมื่อมาเจอสตรีตรงหน้าที่ร้องไห้หนักยิ่งกว่าตนก็หยุดร้องทันที มือน้อยๆ ค่อยๆ ยกขึ้นไปตบแผ่นหลังของหญิงสาวที่กอดตนเอาไว้ พลางปลอบใจ
"พี่สาว ท่านขี้แยกว่าข้าเสียอีก"
ไป๋จินเซียงรีบผละออก ก่อนจะมองเด็กชายตรงหน้าแล้วรีบซักถาม
"ไป๋ซาน เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร?"
เสิ่นเป่ามองไป๋จินเซียงอย่างงงงวย
"ข้าไม่ใช่ไป๋ซานอะไรนั่น ข้าชื่อเสิ่นเป่า บิดาข้าเป็น เอ่อ… เป็นอะไรนะจำไม่ได้แล้ว โอย ปวดท้องจัง"
อยู่ๆ เขาก็ยกมือขึ้นกุมท้อง ใบหน้าน้อยๆ บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ไป๋จินเซียงเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงรีบถามทันที
"เจ้าเป็นอันใด"
เสิ่นเป่ายกมือขึ้นลูบพุงตนเอง
"ข้าหิว ข้าหิวหลือเกิน"
ไป๋จินเซียงเมื่อได้ยินว่าเด็กน้อยตรงหน้าหิวจนปวดท้อง ก็ลนลานเล็กน้อย
"ไปกับข้า ข้าจะพาเจ้าไปกินอาหารเอง"
เสิ่นเป่ามองไป๋จินเซียงครู่หนึ่ง ไป๋ซินเจียงเข้าใจดีว่าเด็กน้อยตรงหน้าคงจะยังไม่ไว้ใจนาง
"ไม่ต้องกลัวนะ ข้าเป็นคนดี ข้าไม่วันทำร้ายเจ้าข้ารับรองว่าเจ้าจะได้กินของอร่อยแน่นอน"
พูดจบนางก็ให้เสิ่นเป่าขี่หลังตน ก่อนจะพาเขากลับจวนตระกูลไป๋ทันที
เมื่อมาถึงจวนตระกูลไป๋ ไป๋จินเซียงก็ทำอาหารอร่อยๆ ให้เสิ่นเป่ากินหลายอย่าง เสิ่นเป่าเห็นว่าไป๋จินเซียงไม่คิดทำร้ายตนจริงๆ ก็เริ่มพูดคุยกับนางมากขึ้น เด็กน้อยบอกว่าเขาพลัดหลงกับพี่เลี้ยง บิดามาที่นี่เพื่อทำงาน แต่เขาจำไม่ค่อยได้ว่าบิดาทำงานอะไร ไป๋จินเซียงที่ได้ฟังก็เข้าใจได้ในทันที
เด็กชายผู้นี้ไม่ใช่ไป๋ซานของนาง เขามีชื่อว่าเสิ่นเป่า เขาเพียงหน้าตาเหมือนน้องชายของนางเท่านั้น
แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยเขาก็หน้าเหมือนน้องชายของนางที่ตายไป เพียงเท่านี้นางก็ดีใจมากแล้ว
ไป๋จินเซียงมองเสิ่นเป่าที่กินอาหารอย่างเอ็นดู ก่อนจะคิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง
แซ่เสิ่นอย่างนั้นหรือ?
เอ๊ะ แซ่เสิ่นหรือ ข้าคุ้นๆนะ...
จวนท่านเจ้าเมือง
"ขออภัยเจ้าค่ะนายท่าน เป็นข้าที่ดูแลคุณชายน้อยไม่ดีเอง ข้าน้อยยินดีรับโทษโบยเจ้าค่ะ"
จิ้นอิ๋งร้องไห้จนหน้าตาบวมไปหมด เสิ่นอี้มองสาวใช้ร่างหนาตรงหน้า แล้วออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
"ยามนี้ไม่ใช่เวลามาเอาผิดหรือลงโทษสถานหนักอันใดทั้งสิ้น เจ้าจงรีบพาข้าไปดูว่าเสิ่นเป่าออกไปที่ใดบ้าง"
"เจ้าค่ะ"
เสิ่นอี้เมื่อกินมื้อเย็นแล้ว เขาก็ไปพบกับบิดาที่ห้องหนังสือ เดิมทีเขาไม่อยากจะสนทนสิ่งใดกับบิดามากนัก แต่เพราะอยู่จวนเดียวกันย่อมหลีกเลี่ยงการไม่พบหน้ากันไม่ได้ ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ ยามนี้บิดาของเขากำลังนั่งดื่มสุราอยู่ภายในห้อง เมื่อเห็นว่าบุตรชายเข้ามาแล้วก็เหลือบตามองแวบหนึ่ง “คารวะท่านพ่อขอรับ"เสิ่นอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ห่างเหิน แม่ทัพใหญ่เสิ่นเพียงพยักหน้าช้าๆ"นั่งก่อนสิ พ่อมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับเจ้า"เสิ่นอี้พยักหน้า ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามบิดา แม่ทัพใหญ่เสิ่นมองบุตรชายอย่างพิจารณา เอ่ยขึ้นว่า"เจ้าแต่งงานกับซูลี่ให้เป็นเรื่องเป็นราวเสีย ตระกูลของนางมีหน้ามีตามากว่า ย่อมเชิดชูสนับสนุนเจ้าได้ ส่วนสตรีนางนั้นที่เจ้าพามาจากบ้านนอก ก็ให้นางเป็นอนุไปเสีย ข้าเชื่อว่าซูลี่อย่างไรย่อมดีต่อนาง"เสิ่นอี้แค่นเสียงเย็นออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา"ท่านพ่อ เรื่องนี้ข้าตัดสินใจดีแล้ว ท่านไม่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องของข้า อย่างไรไป๋จินเซียงก็คือภรรยาข้า และข้าจะมีนางเป็นภรรยาเพียงคนเดียวข้าไม่ใช่คนมักมากในตัณหา"แม่ทัพใหญ่เสิ่นหันขวับมามองบุตรชาย ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด"อี้เอ๋อร์
อากาศช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเวียนมาอีกครา การมาอยู่ที่เมืองหลวงนับว่าเป็นเรื่องที่ไป๋จินเซียงไม่ค่อยจะคุ้นชินเท่าใดนัก นางพาสาวใช้ตัวน้อยซินซินติดตามมาเพียงคนเดียวเท่านั้น เสิ่นอี้เองก็บอกว่ารอมาถึงเมืองหลวงแล้วเขาจะหาสาวใช้เพิ่มให้นางอีกสักสองสามคนวันแรกที่ก้าวเข้ามานั้น นอกจากซูลี่ที่มองนางด้วยสายตาไม่เป็นมิตรแล้ว ยังมีเสิ่นฮูหยินและแม่ทัพเสิ่นที่ดูเหมือนจะไม่ชอบนางเท่าใดนัก วันที่นางยกน้ำชาคารวะก็ให้นางนั่งอยู่นานสองนานกว่าจะยอมเอ่ยวาจาใดกับนาง เพราะไม่อยากให้เสิ่นอี้ลำบากใจ ไป๋จินเซียงจึงไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกไปเสิ่นเป่ายังคงมาหานางทุกวัน แม้จะได้ชื่อว่าเป็นมารดาเลี้ยงของเขา แต่นางกับเสิ่นเป่ายังคงสนิทสนมกันเช่นเดิม เขาไม่ยอมเรียกนางว่าท่านแม่นางเองก็ไม่บังคับหรือถือสาหาความ อีกทั้งยังทำของอร่อยให้เขากินทุกวันวันนี้เสิ่นอี้ออกไปทำงานแต่เช้าแล้ว หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวงก็เหมือนว่าเขาจะมีงานให้ต้องจัดการไม่น้อยเลย บางวันก็ไม่ได้กลับจวน ไป๋จินเซียงอยู่ว่างๆก็รู้สึกเบื่อหน่าย เดิมทีตอนอยู่ที่เมืองฉางเยว่เช้ามานางมักจะไปตลาดและทำงานอยู่ที่ร้านสุราจนมือแทบเป็นระวิง เมื่อต้องมาอยู่เฉยๆเช่นน
หมิงเจ๋อหันไปมอง ก่อนจะยิ้มออกมาได้ นายท่านของเขากลับมาได้เสียทีเสิ่นอี้ควบม้ามุ่งหน้าเข้ามาในจวน พร้อมกับสังหารคนชุดดำทั้งหมดในทันที ไม่นานเหตุการณ์ก็กลับคืนสู่ความสงบ แต่ทว่าข้ารับใช้ในจวนเจ้าเมืองเกือบทั้งหมดต้องสังเวยชีวิตให้กับคนชั่วไปไม่น้อย"นายท่าน"เสิ่นอี้พยักหน้าให้หมิงเจ๋อคราหนึ่ง รีบกวาดตามองหาไป๋จินเซียงที่ยามนี้ร่างกายคว่ำหน้าลงพื้นกอดเสิ่นเป่าเอาไว้ในอ้อมกอด ใบหน้าของนางซีดเผือดดวงตาปิดสนิท เสิ่นเป่ายื่นมือน้อยๆ เข้าไปเขย่าตัวหญิงสาวตรงหน้า ร้องไห้โฮออกมาไม่หยุด เสิ่นอี้เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปดูนางในทันที เขาอุ้มบุตรชายมากอดเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"เป๋าเอ๋อร์ พ่อกลับมาแล้ว""ฮือ ท่านพ่อ พี่ไป๋จินเซียงตายแล้ว!"เสิ่นอี้เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ใจเต้นรัวแรง เขาวางเสิ่นเป่าลง ก่อนจะรีบเข้าไปประคองไป๋จินเซียงขึ้นมา แต่กลับพบว่ามือของตนสัมผัสถูกของเหลวอุ่นร้อนจนชุ่มไปทั้งมือ เมื่อเขายกมือขึ้นมาดูก็พบว่ามันคือโลหิต!นางบาดเจ็บ!เสิ่นอี้รีบสั่งให้หมิงเจ๋อไปตามท่านหมอมาโดยด่วน ก่อนจะรีบอุ้มนางเข้าไปที่ห้อง ไม่นานท่านหมอก็มาถึง เสิ่นอี้ทำได้เพียงเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องด้วยความ
บรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ทำให้ซินซินรีบหันหลังเดินจากไปทันที ส่วนไป๋จินเซียงเองก็เดินกลับห้องพักของตนไปในทันที หญิงสาวยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากของตน ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความเขินอายเช้าวันต่อมาอากาศค่อนข้างดี แม้จะมีสายฝนตกลงมาโปรยปรายแต่ก็เย็นสบายเป็นอย่างยิ่ง เสิ่นอี้ยังคงนั่งทำงานอยู่ที่ห้องหนังสือ ส่วนไป๋จินเซียงก็ไปที่ร้านสุราเช่นทุกวัน ยามนี้หมิงเจ๋อกลับมาจากเมืองหลวงแล้ว เขานำเงินทองเสบียงอาหาร เครื่องนุ่งห่มและเหล่าทหารหลายร้อยนายมาช่วยดูแลชาวบ้านได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในครั้งนี้ทุกอย่างดำเนินต่อไปอย่างสงบเรียบร้อยดี จนกระทั่งมีอยู่คืนหนึ่งในขณะที่ไป๋จินเซียงนั่งอยู่กับเสิ่นเป่าในห้องนอนของเด็กน้อยและกำลังเล่านิทานให้เขาฟัง ก็ได้ยินว่าเสิ่นอี้เกิดเรื่องขึ้นแล้ว!หมิงเจ๋อแจ้งว่าเสิ่นอี้พลัดตกลงไปในแม่น้ำ ยามนี้เขาสั่งให้คนช่วยกันตาหาแล้วแต่กลับไม่พบเบาะแสของผู้เป็นนายเลยแม้แต่น้อย เสิ่นเป่ายามนี้หลับไปแล้ว ไป๋จินเซียงสั่งห้ามเข้าไปรบกวนเขาและกำชับบ่าวทุกคนในเรือนว่าห้ามบอกเขาว่าเกิดเรื่องกับเสิ่นอี้ หญิงสาวรีบสวมเสื้อคลุมและถือคบไฟออกไปช่วยตามหาเสิ่นอี้ แต่กลับไม่พบ นางร้องเร
วิธีของไป๋จินเซียงนั่นก็คือนางให้เสิ่นอี้หาเชือกยาวมาหลายเส้น ตรงหน้าจวนท่านเจ้าเมืองจะมีต้นไม้ใหญ่หลายต้น นางรีบมัดเชือกกับต้นไม้ใหญ่ สองเส้น เส้นหนึ่งมัดกับเอวของเสิ่นอี้ อีกเส้นให้เสิ่นอี้ที่มีกำลังภายในแข็งแรงค่อยๆเดินทวนกระแสน้ำที่ยามนี้น้ำเริ่มนิ่งบ้างแล้ว นำเชือกที่เหลือไปมัดกับต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้าม และสร้างสะพานเชือกขึ้นมา ให้ชาวบ้านทยอยเดินข้ามมาฝั่งจวนท่านเจ้าเมืองและเข้ามาหลบภัยที่นี่ได้ชั่วคราว รอให้น้ำลดเบาบางลงแล้วค่อยอพยพกลับไปวิธีนี้ค่อนข้างดีไม่น้อยเลย ไม่นานนักก็สามารถพาชาวบ้านมาที่ปลอดภัยได้สำเร็จ เสียงฝนตกฟ้าร้องยังคงดังไม่หยุด เสิ่นอี้เปียกปอนไปทั้งตัว ไป๋จินเซียงที่ช่วยดูแลชาวบ้านตอนข้ามฝั่งมาก็เปียกปอนไปทั้งตัวเช่นเดียวกัน ผู้คนต่างร่วมด้วยช่วยกัน ไม่นานนักทุกคนก็ปลอดภัย แต่ก็มีชาวบ้านไม่น้อยที่ถูกกระแสน้ำพัดหายไป"รีบหาเสื้อผ้ามาให้ทุกคนเปลี่ยน แล้วต้มน้ำขิงให้พวกดื่มกันหนาวเร็วเข้า"เสิ่นอี้รีบหันไปเอ่ยกับสาวใช้ในจวน ซินซินที่ได้ยินก็รีบเข้าไปสมทบกับคนใช้ในโรงครัว รีบนำน้ำขิงมาแจกจ่ายให้ทุกคน เสิ่นอี้ให้พวกเขาพักผ่อน ก่อนจะรีบกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ในใจของเขาค
เมื่อมาถึงโรงหมอ ท่านหมอก็ช่วยทำแผลและตรวจดูอาหารของไป๋จินเซียงอย่างละเอียด เมื่อตรวจแล้วไม่เป็นอะไรมากจึงเขียนเทียบยาให้นาง และให้นางกลับบ้านได้ ยามนี้บิดาของนางกำลังนอนพักอยู่อีกห้องหนึ่งโดยมีซินซินคอยดูแล ไป๋จินเซียงไม่อยากรบกวนบิดาจึงให้เขานอนพักให้เต็มที่ แล้วออกมาหาเสิ่นอี้ที่รออยู่ด้านนอกห้องตรวจเสิ่นอี้รีบเดินเข้ามาหาไป๋จินเซียงทันที ก่อนหน้านี้เขาให้จิ้นอิ๋งพาเสิ่นเป่ากลับไปที่จวนก่อนแล้ว"ขอบคุณท่านมากที่เป็นธุระจัดการให้"เสิ่นอี้พยักหน้าเล็กน้อย พลางสอบถามเรื่องราว"สาวใช้ของเจ้าบอกกับข้าว่าที่เจ้าเข้าไปในกองเพลิงเพียงเพราะอยากเข้าไปเอาหีบเงินเช่นนั้นหรือ? ""ใช่ มันเป็นเงินที่ข้าเก็บมา ข้าเสียดาย"ไป๋จินเซียงตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาลง เสิ่นอี้พิจารณามองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะเอ่ย"ไป๋จินเซียง มนุษย์เราล้วนมีความหวงแหนในสิ่งของข้าเข้าใจได้ แต่ในยามนั้นหากเจ้าไม่อาจรอดกลับมาได้ เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าบิดาเจ้าจะอยู่เช่นไร สำหรับบิดาเจ้าแล้ว ระหว่างเงินหีบนั้นกับตัวเจ้าสิ่งใดสำคัญกว่ากันเจ้าไม่รู้เลยหรือ เงินพวกนั้นข้าเข้าใจว่ามันเป็นเงินที่เจ้าเก็บมานานหลายปี แต่หากเจ้าตายไปมันคุ้