“ปล่อยกูสิวะ”
เสียงโวยวายของอีกฝ่ายทำให้เธอต้องค่อยๆ ยื่นหน้ามองออกไป สองตาเบิกโพลงเมื่อเห็นปัตถ์พงษ์ถูกผู้ชายสองคนล็อกตัวเอาไว้ แต่ที่ทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าเห็นปัตถ์พงษ์กำลังจะถูกซ้อม ก็คือคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับปัตถ์พงษ์ตอนนี้คือภากร เมื่อครู่ตอนเดินออกมาเธอไม่ทันสังเกตว่าเขาเองก็ลุกออกมาเหมือนกัน ภากรถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นสะบัดสองสามที คล้ายจะออกคำสั่งให้คนของเขาลากตัวปัตถ์พงษ์ออกไปอีกทาง “ถ้ามึงกล้าแตะต้องเมียกู กูก็ไม่ปล่อยน้องมึงไว้เหมือนกัน” คำขู่ที่แฝงความอาฆาตเอาไว้ทำคาริสาคิดตามในทันที ที่ผ่านมาเธอไม่เคยรู้เลยว่าปัตถ์พงษ์ซ่อนตัวตนที่ร้ายกาจอะไรเอาไว้บ้าง แต่ต่อให้จะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เธอก็รู้ว่าปัตถ์พงษ์มีความเสี่ยงที่จะตายเพราะปาก เพราะหากเป็นเธอ เธอคงไม่พูดอะไรอย่างนั้นออกมาทั้งที่ถูกล็อกตัวเอาไว้จนดิ้นไม่หลุด พลั่ก! ผิดจากที่คิดเสียที่ไหน ไม่ทันกะพริบตาปัตถ์พงษ์ก็ถูกพาตัวกลับมาก่อนจะถูกภากรชกเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้า เธอยืนอยู่ตั้งไกลยังเห็นเลือดกระเซ็นออกจากปาก ถุย! ปัตถ์พงษ์ถ่มน้ำลายปนเลือดลงกับพื้น ก่อนจะหันมาแสยะยิ้ม สายตาดูโรคจิต “แล้วมึงจะได้รู้ว่ากูทำอะไรได้บ้าง น้องสาวมึง เชื่องกับกูยิ่งกว่าหมา” ได้ยินปัตถ์พงษ์พูดถึงน้องสาวของภากรอีกครั้ง ทำให้เธอนึกไปถึงเรื่องที่กันตพงษ์เล่าให้ฟัง “เออ ชื่อคุณภากานต์ ตอนนี้เข้าโรงพยาบาลเพราะเธอพยายามฆ่าตัวตาย” “แว่วๆ ว่าอกหักน่ะนะ แต่ฉันเองก็ไม่แน่ใจหรอก รู้แต่ว่าไม่เห็นคุณภากานต์ที่บริษัทมาสักพักแล้ว” ทบทวนอยู่ไม่นานเธอก็ปะติดปะต่อเรื่องได้ มั่นใจว่าคนที่ทำให้ภากานต์อกหักจนคิดฆ่าตัวตายคือปัตถ์พงษ์! คาริสามองกำปั้นของภากรที่ตอนนี้กำแน่นจนสั่นอยู่ข้างลำตัว ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นเขาคลายมันออกแล้วยกขึ้นบีบรอบคอของปัตถ์พงษ์เอาไว้แน่น ใบหน้าของปัตถ์พงษ์เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ แม้จะพยายามสะบัดตัว แต่ภากรกลับไม่ขยับเขยื้อนสักนิด สองมือไม่หลุด ไม่คลายออกจากรอบคอเลยด้วยซ้ำ นิ่งมากจนน่ากลัว “แคกๆๆๆ” กระทั่งเขาเป็นคนยอมปล่อยมันออกเอง ปัตถ์พงษ์หอบหายใจถี่ กัดฟันกรอดด้วยความโกรธจนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปนออกมา “คนอย่างมึง ตายเร็วไปก็เป็นภาระยมบาล” ภากรยกมือขึ้นบีบปลายคางของปัตถ์พงษ์แน่น คนบีบดูไม่ได้ออกแรง แต่คนถูกบีบหน้าบิดหน้าเบี้ยว “กูจะทำให้มึงได้รู้จักรสชาติของชีวิตที่ขมจนมึงต้องกระอักเป็นเลือด!” คาริสารับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดผ่านทางดวงตาของเขา ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านของปัตถ์พงษ์จะถูกสะบัดออก รุนแรงจนได้ยินเสียงฟันในปากกระทบกันดังมาจนถึงจุดที่เธอยืนอยู่ ในหัวใจของคาริสาหวาดหวั่นกับภากรอยู่ไม่น้อย แต่ในทางกลับกัน เธอไม่มีความรู้สึกสงสารปัตถ์พงษ์อยู่เลยสักเสี้ยวเดียว ทั้งหมดอาจฟังดูเลือดเย็น ไร้มนุษย์ธรรม แต่เธอที่เคยถูกผู้ชายคนนั้นหักหลังย่อมรู้รสชาติของความเจ็บปวดนั้นดี และหากเธอมีพี่ชาย เธอคิดว่าเขาก็คงจะปกป้องเธออย่างที่ภากรทำ “บอกแล้วไงคะว่ากลับไม่ดึก” แต่ในเมื่อเธอไม่มีพี่ชาย เธอก็ต้องปกป้องตัวเอง ดูแลตัวเอง และแก้แค้นด้วยตัวเอง การปรากฏตัวของเธอทำให้ปัตถ์พงษ์เบิกตาโพลง แม้แต่ภากรยังหันมามองด้วยสายตาคาดไม่ถึง คาริสาเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ เขา ยกมือขึ้นคล้องแขนเขาแล้วยิ้มให้ แม้ตอนก่อนหน้านี้เธอจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาอาจจะแอบชอบเธอเหมือนอย่างที่เพื่อนแซว แต่ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าเขาคงอยากจะเข้าหาเธอเพราะต้องการแก้แค้นปัตถ์พงษ์ “คิดถึงจังเลยค่ะ” เธอยิ้มให้ภากรพร้อมกับเขย่งปลายเท้าขึ้นไปจูบแก้มเขาเบาๆ นับเป็นครั้งที่สองที่เธอฉวยโอกาสเข้าหาเขาอย่างหน้าไม่อาย กอดแขนเขาอย่างสนิทสนมก่อนจะหันหน้ากลับไปส่งยิ้มให้ปัตถ์พงษ์ที่โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม “คริส!” คาริสาเลิกคิ้วสูงแล้วฉีกยิ้มยั่วโมโหกลับ เอียงคอซบไหล่ภากรเพราะรู้ว่ามันจะยิ่งทำให้ปัตถ์พงษ์เดือดดาล ยั่วโมโหจนพอใจเธอก็ยกมือขึ้นเล็กน้อยแล้วสะบัดเบาๆ สองสามครั้ง เลียนแบบท่าทีของภากรที่เธอเคยเห็น ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ผล เพราะคนของภากรก้มหัวรับคำสั่งของเธอ รีบพาตัวปัตถ์พงษ์ออกไปพ้นสายตาทันที“เดี๋ยวฉันตามไปที่รถค่ะ” คำตอบของเธอทำให้สายตาของเขาดูพึงพอใจขึ้นเหมือนกัน“อ้อ คุณภากรคะ” คาริสารีบเรียกเขาไว้เพราะนึกถึงอีกเรื่องขึ้นมาได้พอดี เขาหยุดเดินแล้วหันกลับมามองเธอ สายตายังคงเรียบเฉย มีเพียงคิ้วหนาเข้มทั้งสองข้างที่ยกขึ้นสูงเป็นเชิงรอให้เธอพูด“ฉันเป็นของคุณ คุณเป็นของฉัน แค่ร่างกาย ตกลงไหมคะ” เธอย้ำอย่างต้องการจะขีดเส้นให้ชัดเจน“คุณกลัวความรักเหรอ” ภากรย้อนถาม ทำรอยยิ้มของเธอค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา“ฉันไม่ได้กลัวค่ะ แต่ไม่มีหัวใจจะรักคุณ” เธอบอกอย่างเข้มแข็ง แล้วฝืนยิ้มอีกครั้ง“ผมก็ไม่มี” ภากรทิ้งท้ายสั้นๆ แล้วเดินออกไปคาริสามองตามเขาไปกระทั่งลับสายตา แผ่นหลังของเขากว้างและดูอ้างว้างทุกครั้งที่ได้มอง ละสายตาออกจากแผ่นหลังของเขาได้ก็ต้องรีบเดินกลับมาที่โต๊ะที่ตอนนี้ทุกคนรอเธออยู่“ฉันกำลังจะเดินไปตามพอดี อ้วกเหรอวะ”“เปล่า ขอตัวก่อนนะ”“อ้าว ไม่ไปต่อห้องไอ้ปาล์มหรอกเหรอ ฉันอุตส่าห์กล่อมมันตั้งนาน”“โอกาสหน้าแล้วกัน จะขโมยเหล้าพ่อไปสักสามขวด ไปละ บาย” บอกลาเพื่อนแล้วรีบเดินออกมาจากร้าน กวาดสายตามองหารถของภากรอยู่สักพัก หันกลับมาอีกทีก็ต้องสะดุ้งตกใจเพราะคนของเขาเดิน
คล้อยหลังพวกเขาเธอจึงปล่อยแขนภากรออก ก้าวถอยออกมาเพื่อเว้นระยะห่าง เงยหน้าขึ้นมองเขาพลางถอนหายใจ แต่กลับถูกเขามองด้วยสายตาประเมินความคิดในทันที“เรื่องน้องสาวคุณ ฉันเป็นกำลังใจให้ก็แล้วกันนะคะ” เธอถือโอกาสพูดก่อน “ผมไม่ใช่คนที่คุณจะมาล้อเล่นด้วย”“ฉันก็ไม่ได้กำลังล้อเล่นนี่คะ” เธอแสดงจริตจะกร้านต่อหน้าเขา ทั้งรอยยิ้มและสายตา ตั้งใจจะจู่โจมเขาอย่างเปิดเผย “ถ้าสิ่งที่คุณต้องการคือทำให้มันเจ็บปวด ฉันช่วยคุณได้”โบราณว่าศัตรูของศัตรูคือมิตร ดังนั้นในเมื่อเป้าหมายของเธอและเขาคือการแก้แค้นปัตถ์พงษ์ เธอจะถือว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน“คุณมีความแค้นกับมันมากเท่าไร ฉันมีมากกว่า อยากให้ช่วยอะไรก็บอกแล้วกันค่ะ”สายตาของเขาดูไม่ไว้ใจเธอสักเท่าไร แต่สิ่งที่เธอต้องการจากเขา ก็ไม่ใช่ความไว้ใจสักหน่อย“เออ โคตรเนี้ยบ วันไหนเขาเข้าบริษัทนะ ขนหัวลุกกันทั้งแผนก”คำพูดของกันตพงษ์แวบเข้ามาหนึ่งประโยค“ไปคุยกับผมที่รถ” น้ำเสียงออกคำสั่งของเขาทำเธอหัวใจเต้นแรง สายตาที่ดูลึกลับน่าค้นหา แต่ไม่ถึงกับทำให้เธอหวั่นไหว“ขอโทษนะคะ ฉันว่าคุณน่าจะเข้าใจอะไรผิด” เธอยิ้มให้เขาพลางยกมือขึ้นกอดอก “ฉันมาเพื่อเป็นหุ้นส่วนควา
“ปล่อยกูสิวะ”เสียงโวยวายของอีกฝ่ายทำให้เธอต้องค่อยๆ ยื่นหน้ามองออกไปสองตาเบิกโพลงเมื่อเห็นปัตถ์พงษ์ถูกผู้ชายสองคนล็อกตัวเอาไว้ แต่ที่ทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าเห็นปัตถ์พงษ์กำลังจะถูกซ้อม ก็คือคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับปัตถ์พงษ์ตอนนี้คือภากร เมื่อครู่ตอนเดินออกมาเธอไม่ทันสังเกตว่าเขาเองก็ลุกออกมาเหมือนกันภากรถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นสะบัดสองสามที คล้ายจะออกคำสั่งให้คนของเขาลากตัวปัตถ์พงษ์ออกไปอีกทาง “ถ้ามึงกล้าแตะต้องเมียกู กูก็ไม่ปล่อยน้องมึงไว้เหมือนกัน”คำขู่ที่แฝงความอาฆาตเอาไว้ทำคาริสาคิดตามในทันทีที่ผ่านมาเธอไม่เคยรู้เลยว่าปัตถ์พงษ์ซ่อนตัวตนที่ร้ายกาจอะไรเอาไว้บ้าง แต่ต่อให้จะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เธอก็รู้ว่าปัตถ์พงษ์มีความเสี่ยงที่จะตายเพราะปาก เพราะหากเป็นเธอ เธอคงไม่พูดอะไรอย่างนั้นออกมาทั้งที่ถูกล็อกตัวเอาไว้จนดิ้นไม่หลุดพลั่ก!ผิดจากที่คิดเสียที่ไหน ไม่ทันกะพริบตาปัตถ์พงษ์ก็ถูกพาตัวกลับมาก่อนจะถูกภากรชกเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้า เธอยืนอยู่ตั้งไกลยังเห็นเลือดกระเซ็นออกจากปาก ถุย!ปัตถ์พงษ์ถ่มน้ำลายปนเลือดลงกับพื้น ก่อนจะหันมาแสยะยิ้ม สายตาดูโรคจิต“แล้วมึงจะได้รู้ว่ากูทำอะไรได้บ้าง น้อง
“โอ๊ย เหนื่อยฉิบหาย” ได้ยินเสียงข้าวปั้นบ่นตั้งแต่ยังเดินกลับมาไม่ถึงโต๊ะเสียงหอบหายใจของเพื่อนที่เพิ่งจะเดินกลับมาในสภาพไร้เรี่ยวแรง ดึงความสนใจของคาริสาออกมาจากคำถามเรื่องจูบไปโดยปริยาย“ยัยคริส”“อะไร”“แกอ่อยเหรอ ทำไมเขามองแกอย่างนั้น” ข้าวปั้นเดินเลียบๆ เคียงๆ มากระซิบถามใครเดินมาถึงก็ทัก ใครเห็นใครก็บอกจนคาริสาเริ่มจะอึดอัด ผู้ชายอะไรมองได้ไร้มารยาทที่สุด“นั่นมันคุณภากรนี่หว่า”“นายรู้จักเหรอไอ้กันต์”แก้มหอมชิงถามก่อนคาริสาอีกตามเคย“เขาเป็นบอสฉันเอง”“บอส?”“เออ โคตรเนี้ยบ วันไหนเขาเข้าบริษัทนะ ขนหัวลุกกันทั้งแผนก”“ตกลงเขาเป็นคนหรือผี” คาริสาแสร้งว่า ทั้งที่เธอเองก็เริ่มรู้สึกขนลุก เหมือนจะสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างตอนที่นึกถึงใบหน้าหล่อฉิบหายของเขาคนนั้นขึ้นมา“คนโว้ย หล่อมาก รวยมาก และที่สำคัญ”“มีเมียสี่ ลูกอีกหก โอ๊ย!” แก้มหอมถูกข้าวปั้นกระตุกผมจนหน้าหงาย คาริสามองออกว่าข้าวปั้นเหมือนจะหลงเสน่ห์ของคนหล่อเข้าแล้ว สายตาดูเชียร์ให้เขาโสดอย่างออกหน้าออกตา “โสดสนิท” กันตพงษ์บอกอย่างมั่นใจ“จริงอะ”“โกหกแกแล้วฉันจะรวยมั้ง”“ก็มันแปลกนี่ คุณสมบัติพร้อมเป็นผัวแห่งชาติขนาดน
Pick a Bar01.03 น.“ฉันว่าผู้ชายคนนั้นเขามองแกอยู่นานแล้วนะยัยคริส”“ช่างหัวมันสิ” คาริสาตอบอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าปัตถ์พงษ์นั่งเฝ้าเธออยู่ ครบสองสัปดาห์แล้วที่เธอตัดสินใจยกเลิกงานแต่งงาน ซึ่งค่าเสียหายทั้งหมดของงานในวันนั้นทางครอบครัวของปัตถ์พงษ์เป็นคนรับผิดชอบค่าเสียหายที่ชดใช้ได้ด้วยเงิน ก็จ้องจ่ายด้วยเงิน แต่ค่าเสียหายทางความรู้สึกของเธอ ก็มีราคาที่ปัตถ์พงษ์ต้องจ่ายเหมือนกัน“ฉันไม่ได้หมายถึงไอ้ปัตถ์โว้ย แกมองก่อนสิ” แก้มหอมเขย่าแขนไม่เลิก คาริสาถอนหายใจพลางดึงนิ้วขึ้นจากแก้วเหล้าที่กำลังเขี่ยก้อนน้ำแข็งเล่นฆ่าเวลา มองตามสายตาของเพื่อนออกไป“เขานั่งมองแกอยู่ตรงนั้นตั้งแต่มาถึง รู้จักเหรอวะ”“ไม่” ปฏิเสธก่อนจะหันหน้ากลับมาทางเดิม นั่งเขี่ยน้ำแข็งในแก้วเหล้าต่อไปเงียบๆ“คนอะไรวะ หล่อฉิบหาย”“ชอบก็ไปจีบ มัวแต่นั่งบ่น เดี๋ยวหมาจะคาบไปแดก”“เขามองแกตาเป็นมันอย่างนั้น ฉันว่าเขาไม่น่าจะชอบทรงอย่างฉันหรอก ขืนฉันเดินเข้าไปก็มีแต่ฉันนี่แหละที่หมา” แก้มหอมพูดไปถอนหายใจไป“แล้วต้องแบบไหนถึงจะชอบทรงอย่างแกวะ”“ไม่รู้สิ ของแบบนี้เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง”“ทฤษฎีเก่ง ฉันจะบอกอ
เพล้ง!สองมือเล็กจับผ้าปูโต๊ะแน่นแล้วสะบัดพรึ่บเพียงครั้งเดียว แจกันดอกไม้นับสิบใบด้านบนก็ร่วงลงมาแตกกระจายเกลื่อนพื้น เธอยืนมองมันแล้วเหยียดยิ้มทั้งน้ำตาเดินตรงต่อไปที่ซุ้มดอกไม้สำหรับถ่ายรูปกับแขก จ้องมองชื่อของเธอกับปัตถ์พงษ์ด้านบนแล้วยิ่งน้ำตาไหล กัดฟันกรอดก่อนจะเอื้อมคว้าผ้าสีขาวด้านข้างซุ้มแล้วกระชากมันออกทันทีดอกไม้ด้านบนร่วงหล่นลงมาพร้อมกับป้ายชื่อของบ่าวสาว หัวใจสีแดงสองดวงที่คล้องกันอยู่ตรงกลาง หักครึ่งด้วยปลายเท้าที่เธอกระทืบลงไปนับครั้งไม่ถ้วนคาริสาทำลายทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังสะท้อนอยู่ภายในห้องจัดเลี้ยง เธอกรีดร้องท่ามกลางหมู่ดอกไม้ กวาดสายตามองไปรอบตัวอีกครั้งเพื่อซึมซับและดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนสุขที่น่าเศร้าให้ถึงที่สุด ทำลายทุกอย่างจนพอใจแล้ว จึงพาตัวเองเดินกลับออกมา“คะ คุณคริส” “คิดค่าเสียหายทั้งหมดแล้วแจ้งคริสมาแล้วกันนะคะ”ฝืนยิ้มพร้อมกับยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา เพราะนอกจากค่าดอกไม้และอื่นๆ ที่ตกลงกันเอาไว้แล้ว อาจจะต้องมีค่าเสียหายของอุปกรณ์ต่างๆ ที่เธอต้องจ่ายเพิ่มยิ้มให้ทุกคนแล้วเดินกลับไปที่ลิฟต์เพื่อกลับไปขึ้นไปบอกความจริงกั