เสียงโทรศัพท์ดัง
"ฮัลโหล…มึงเป็นไงบ้างกูโทรหามึงไม่ติดเลยว่ะว่าจะไปหามึงที่บ้านกันอยู่" เสียงของมะขามพูดขึ้นมาทันทีที่ไอรินรับสายด้วยความเป็นห่วงเพื่อน "แบตโทรศัพท์กูหมดน่ะ...กูไม่ได้เป็นไรปลอดภัยดี" ไอรินตอบกลับไปเพื่อให้เพื่อนคลายความกังวลลง "แล้วมึงรู้ไหมใครไปส่งมึง?" "ก็คนขับรถยัยฟ้าใสไง" ไอรินตอบพร้อมขมวดคิ้วสงสัยในสิ่งที่มะขามถาม "ไม่ใช่มึง…กูดูรถผิดคันคนนั้นใครก็ไม่รู้กูขอโทษนะที่ทิ้งมึง" มะขามพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดและถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง ไอรินเงียบไปสักพักนึกถึงเมื่อคืนนี้ว่าทำอะไรลงไปบ้าง…โอ้ยยยย บ้าจริงฉันไม่หน้าดื่มเยอะจนไม่ได้สติเลย แต่จะว่าไปแล้วฉันก็ไม่ได้เมาจนขาดสติขนาดนั้นนะ…ฉันยังรู้สึกตัวทุกอย่างเลย ดีแล้วที่ไม่ใช่คนขับรถยัยฟ้าใสไม่งั้นต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ ฉันคงอายจนไม่กล้าสู้หน้า แล้วตาลุงคนนั้นเป็นใครกัน ช่างเถอะ คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะเธอครุ่นคิดในใจ "ฮัลโหลไอริน...ยังอยู่ไหม" ปลายสายเงียบไปจนทำให้มะขามใจหาย "อ๋อ ไม่เป็นไรมึง ตาลุงคนนั้นก็มาส่งกูที่บ้านเลย" ไอรินแสร้งตอบเพื่อนไปไม่ให้มะขามต้องรู้สึกผิดและเป็นห่วง "ถ้างั้นกูค่อยสบายใจหน่อย" มะขามถอนหายใจและพูดออกมาอย่างโล่งอกเพราะถ้าหากไอรินเป็นอะไรตนจะต้องรู้สึกผิดอย่างมากแน่ๆที่เป็นต้นเหตุทำให้เพื่อนเดือดร้อน "โอเคมึง" ไอรินวางสายจากมะขามแล้วเดินเข้าบ้านมาจู่ๆ ก็มีชายฉกรรจ์สามสี่คนอยู่ในบ้านของเธอพวกเค้ากำลังขนของตู้เย็น ทีวี ของบ้านเธอไป “นี่พวกนายทำไรกันขนของบ้านฉันไปไหน” ไอรินพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ตกใจ “ก็แม่ของเธอเป็นหนี้ไม่จ่ายมาหลายเดือนแล้วนี่ถือว่าใจดีมากแล้วนะ…ว่าแต่ลูกสาวบ้านนี้สวยใช้ได้เลยเนอะพวกมึง” ชายฉกรรจ์คนนึงพูดกับเพื่อนที่มาด้วยกัน พลางมองไปที่ไอรินและทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ “จะเอาอะไรก็รีบเอาไปไม่ต้องมายุ่งกับลูกฉัน” แม่เธอรีบพูดแทรกเพราะชายฉกรรจ์กำลังมองไอรินลูกของเธอและทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ ไอรินงงว่าแม่ของเธอนั้นไปกู้เงินนอกระบบมาตอนไหน ต้องเป็นเพราะเธอแน่ๆ ที่ทำให้แม่ต้องเป็นหนี้ "แม่คะ…เพราะหนูใช่ไหมแม่ถึงเป็นหนี้" ไอรินถามแม่ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย "ลูกอย่าคิดแบบนั้นเลย ที่แม่ต้องยอมกู้เพราะแม่ไม่อยากเสียบ้านหลังนี้ไป… แค่เงินประกันของพ่อที่มีอยู่มันไม่พอแม่เลยต้องจำใจ" แม่ตอบไอรินด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือไม่แพ้กัน "แต่แม่รู้ไหมว่าหนี้นอกระบบดอกมันแพงแค่ไหน…คิดถึงพ่อเนอะถ้าพ่อยังอยู่คงไม่เป็นแบบนี้" ไอรินพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำใสๆไหลคลออยู่ที่ดวงตา "แม่จำได้ว่าพ่อมีรุ่นพี่อยู่คนนึงที่บอกว่าถ้าเราลำบากให้โทรบอกเค้าได้เลยเค้าพร้อมช่วยเหลือเราตอนที่มางานศพพ่อเค้าให้เบอร์แม่ไว้" แม่นึกขึ้นมาได้และรีบไปหาเบอร์ที่เธอเก็บไว้ทันที ไอรินไม่ได้พูดต่อแล้วเดินขึ้นบันไดไปห้องของเธอ ในขณะที่ แม่กำลังหาเบอร์รุ่นพี่ของพ่อไอรินอยู่ เสียงโทรศัพท์ดัง "สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นภรรยาของพิชิต นี่ใช่เบอร์ของคุณกิตติโชจน์ไหมคะ" แก้วทิพย์พูดด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน "สวัสดีค่ะ ได้นัดท่านไว้หรือเปล่าคะ ถ้าไม่ได้นัดรบกวนแจ้งชื่ออีกรอบค่ะ" ปลายสายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสนิท "ดิฉันชื่อแก้วทิพย์เป็นภรรยาของพิชิต...ช่วยบอกคุณกิตติโชจน์ด้วยค่ะว่าฉันมีธุระกับท่าน" แก้วทิพย์ยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนบ่งบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ "รบกวนถือสายรอสักครู่นะคะ" ปลายสายพูดแล้วเงียบไปสักพัก "สวัสดีครับ...มีธุระอะไรจะคุยกับผมว่ามาได้เลยครับ" คุณกิตติโชจน์กล่าวทักทายและพูดเข้าเรื่องทันที "เอาตรงๆ เลยนะคะพอดีมีเรื่องเดือดร้อนเรื่องเงินน่ะค่ะ...ฉันนึกถึงใครไม่ออกแล้วจริงๆ ขอโทษด้วยนะคะที่มันดูเหมือนไม่มีมารยาทฉันไม่อยากอ้อมค้อม" แก้วทิพย์พูดพลางรู้สึกระอายใจที่ต้องมายืมเงินคนที่ไม่รู้จัก "ถ้างั้นเดี๋ยวผมแจ้งสถานที่วันเวลาไปให้แล้วกัน" คุณกิตติโชจน์ตอบรับคำขอของแก้วทิพย์โดยทันที "ขอบคุณ…คุณกิตติโชจน์มากๆ นะคะคุณเป็นคนดีเหมือนที่พิชิตพูดไว้ไม่มีผิด" แก้วทิพย์พูดขอบคุณพร้อมถอนหายใจโล่งอก สองวันต่อมา… ณ ร้านกาแฟ แก้วทิพย์มาพบกับคุณกิตติโชจน์เพื่อจะขอความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาชีวิตที่เจออยู่ในขณะนี้ “มาแล้วหรอนั่งสิ…ทานอะไรมาหรือยังสั่งอะไรมากินไหม" คุณกิตติโชจน์ทักทายและถามแก้วทิพย์ด้วยความเป็นห่วง “ไม่เป็นไรค่ะ แค่คุณออกมาพบฉันก็เกรงใจแย่แล้ว” แก้วทิพย์พูดพร้อมทั้งแสดงสีหน้าเกรงใจ “เกรงใจอะไรกัน…ผมบอกจะช่วยคุณกับลูกเองเลี้ยงลูกคนเดียวมันเหนื่อยมากนะแล้วต้องการเท่าไหร่ละ” คุณกิตติโชจน์พูดพร้อมยิ้มให้แก้วทิพย์เล็กน้อยเพื่อแสดงว่าตนนั้นเต็มใจช่วยเหลือแก้วทิพย์และลูก “ฉันเป็นหนี้นอกระบบอยู่คราวๆ สามล้าน รวมทั้งต้นและดอก แต่ฉันไม่ได้มาขอนะคะฉันขอยืมไปจ่ายพวกมันก่อนฉันเป็นห่วงความปลอดภัยของไอรินน่ะค่ะ ลูกสาวฉันพึ่งเรียนจบยังไม่ได้ทำงาน ฉันก็เป็นแค่แม่บ้านอยู่แต่บ้านเลี้ยงลูกพิชิตเค้าไม่ให้ฉันทำงานจน…พิชิตเสีย เสาหลักที่บ้านเลยต้องเป็นฉัน ฉันไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ” แก้วทิพย์ร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจตัวเองที่เธอนั้นคิดว่าตัวเองเลี้ยงลูกได้ไม่ดีพอต้องแบกหน้ามาขอความช่วยเหลือจากคนอื่น “เอาล่ะ…ไม่เป็นไรเธอเก่งมากนะแก้วทิพย์ที่เลี้ยงลูกจนเรียนจบ ที่เธอบอกว่าลูกเธอยังไม่มีงานทำให้หนูไอรินมาลองทำงานที่บริษัทผมไหม ตอนนี้ผมให้ลูกชายดูแลต่อจากผมอยู่ ไอ้เรามันก็แก่แล้วอยากจะเลี้ยงหลานอยู่บ้านแต่ทำไงได้มันไม่มีแฟนกับเค้าสักทีชาตินี้คงไม่ได้เจอหน้าหลานละมั้ง ฮ่าๆ" คุณกิตติโชจน์พูดพลางหัวเราะเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ “ขอบคุณท่านมากนะคะที่ช่วยเราสองแม่ลูกไว้ฉันลองไปคุยกับไอรินดูก่อนถ้าได้เรื่องยังไงแล้วเดี๋ยวฉันโทรติดต่อไปหาท่านนะคะ” แก้วทิพย์รีบกล่าวขอบคุณที่คุณกิตติโชจน์ช่วยเหลือตนและลูก บ้านไอริน "แม่ออกไปไหนมาตั้งแต่เช้า" ไอรินพลางถามแม่ด้วยความเป็นห่วง "ไปคุยกับคุณกิตติโชจน์รุ่นพี่พ่อมาน่ะ เค้าบอกจะช่วยเราเออ…แม่บอกไปว่าไอรินยังไม่มีงานทำเค้าเลยให้ลองไปทำที่บริษัทเค้าดู" แม่ตอบและพูดสิ่งที่คุณกิตติโชจน์เสนอให้ไอรินฟังทันที "ก็ดีเหมือนกัน หนูจะได้ใช้หนี้ให้แม่…แม่จะได้ไม่ต้องลำบากแบกหน้าไปขอยืมใครอีก" ไอรินพูดเสียงอ่อนพลางมองหน้าแม่แล้วรู้สึกผิด สัปดาห์ต่อมา… บริษัทคุณกิตติโชจน์ “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าจะติดต่อเรื่องอะไรคะ” พนักงานสาวถามพร้อมทั้งมองสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าที่ไม่ได้สวยโดดเด่นอะไรแต่หน้าตาออกไปทางน่ารักจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโต ขนตายาวงอนที่มองแล้ววชวนสะกดให้หลง ผมยาวสีดำขลับถึงกลางหลัง “สวัสดีค่ะ ฉันมาสมัครงานค่ะ" ไอรินตอบพร้อมยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อยพนักงานสาวยื่นใบสมัครให้กับเธอ “กรอกใบสมัครได้เลยค่ะ…แนบเอกสารมาพร้อมกับใบสมัครด้วยนะคะ” พนักงานสาวพูดแล้วยิ้มตอบสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้า “ขอบคุณค่ะ” บ้านไอริน "แม่คะรินไปสมัครงานที่บริษัทของคุณลุงเพื่อนพ่อมาแล้วนะ" ไอรินบอกแม่ถึงเรื่องที่เธอไปสมัครงานมาแล้ว "ไปสมัครมาแล้วทำไมไม่บอกแม่ก่อนจะไปวันไหนแม่จะได้โทรบอกท่านไว้ก่อนตอนนี้ท่านให้ลูกชายท่านดูแลบริษัทเองแล้ว" แม่ตอบและตกใจเล็กน้อยที่ลูกสาวไปสมัครงานโดยไม่บอกเธอ "ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนิแม่…ดีซะอีกจะได้ไม่ต้องมีคนว่าเป็นเด็กเส้น" ไอรินพูดพลางยักไหล่เล็กน้อย ณ บริษัท พนักงานยกเอกสารกองโตไม่ทันระวังชนเข้ากับพนักงานอีกคนเอกสารกระจัดกระจายไปทั่วห้องโถงทางเดิน คุณกรณ์ที่กำลังลงลิฟต์มาพบเข้ากับข้าวของกระจายตามพื้น พนักงานทุกคนต่างมองหน้ากันแล้วเงียบไม่พูดอะไรเลยเพราะทุกคนกลัวว่าคุณกรณ์ลูกชายคุณกิตติโชจน์ประธานคนใหม่ที่มารับช่วงต่อจากพ่อตัวเองนั้นจะว่าเอาได้ เพราะพนักงานทุกคนต่างบอกต่อๆ กันมาว่าเป็นคนที่เย็นชาดูเข้าถึงยากแต่กลับกันคุณกรณ์ก้มลงไปเก็บเอกสารที่ตกอยู่บนพื้นช่วยพนักงานทำเอาพนักงานสาวๆ พากันตกหลุมรักความมีน้ำใจของคุณกรณ์กันยกใหญ่ เพราะนิสัยและหน้าตา ที่คิ้วหนาดำสนิท จมูกโด่งเป็นสันเหมือนลูกครึ่ง พร้อมทั้งผมที่ดำสนิทและสันกรามที่รับกับ ตา จมูก และปากได้เป็นอย่างดี “นี่เอกสารครับเดินระวังๆ ด้วยนะครับ” คุณกรณ์พูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง สิ้นเสียงพูดของคุณกรณ์พนักงานสาวๆ ต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คนอะไรไม่รู้ หล่อแถมยังใจดีอีกอะสาวๆ ในบริษัทชมคุณกรณ์ไม่ขาดปาก บ้านคุณกิตติโชจน์ “โอ้ยยย…ฉันปวดหัวกับลูกชายคุณจริงๆ เมื่อสองวันก่อนฉันนัดหลานสาวเพื่อนฉันสมัยเรียนด้วยกันมาทานข้าวกับเจ้ากรณ์ นี่คุณรู้ไหมคะเจ้ากรณ์ผิดนัดไม่ยอมมา บอกว่าติดงานมีประชุม ฉันต้องแบกหน้ายิ้มแย้มทานข้าวจนเสร็จ…รู้ไหมว่าฉันขายหน้ามากแค่ไหนที่เป็นคนนัดเองแล้วมาผิดนัดกับเพื่อนของฉันและหลานสาวเค้า น้องหนูดี จำได้ไหมคะคุณที่ตอนเด็กๆ เคยมาบ้านเราตอนนี้โตเป็นสาวแล้วสวยมากๆ กิริยามารยาทดีจริงๆ ฉันละเสียดายทำไมเจ้ากรณ์ถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้…เพราะคุณคนเดียว” เสียงคุณอุไรภรรยาคุณกิตติโชจน์ แม่ของคุณกรณ์ ที่บ่นน้อยใจลูกและสามีซะยกใหญ่ที่ไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ พลางเอามือจับที่หัวเพื่อบ่งบอกว่าตนทั้งเหนื่อยใจและหมดแรงกับลูกคนนี้ซะจริงๆ “นี่คุณจะมาโทษผมคนเดียวไม่ได้หลอกนะลูกชายคุณเองฟังอะไรที่ไหนละ พ่อแม่จะแก่ตายอยู่แล้วป่านนี้ยังไม่มีเมียแล้วจะให้ผมทำไงได้” คุณกิตติโชจน์เถียงภรรยากลับทันที พร้อมทั้งเปรยว่าตนเองก็เหนื่อยและหมดหนทางเหมือนกัน “เพราะคุณนั่นแหละ ฉันบอกแล้วไงว่าให้เจ้ากรณ์แต่งงานมีลูกก่อนงานทำตอนไหนก็ได้ทีนี้เป็นไงสนใจแต่งานไม่คิดจะหาเมียแล้ว… แล้วเมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณไปไหนมาคะ” คุณอุไรยังคงโทษสามีไม่เลิกและเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นทันที “อ๋อ…ผมไปพบภรรยาพิชิตมานะ เค้ามีเรื่องเดือดร้อนให้ช่วย” “ใช่ที่สามีเค้าเกิดอุบัติเหตุไหมคะรุ่นน้องคุณ สงสารเค้านะคะต้องอยู่กันสองคนแม่ลูก” คุณอุไรพูดพลางนึกสงสารสองแม่ลูกขึ้นมาทันที “ลูกสาวเค้าพึ่งเรียนจบนะ ผมเลยชวนมาทำงานที่บริษัทเราดูไม่รู้ว่าจะยังไงต้องรอเค้าติดต่อมา” คุณกิตติโชจน์พูดตอบภรรยา “ฉันเคยเจอลูกสาวเค้าตอนเด็กหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มที่พิชิตเคยพามาบ้านเราป่านนี้คงโตเป็นสาวสวยแน่ๆ ฉันอยากเห็นตอนโตจัง…นัดเค้าสองคนแม่ลูกทานข้าวกันไหมคะคุณ” คุณอุไรพูดกับสามีด้วยความสงสัยว่าเด็กสาวน่ารักที่เคยเจอตอนเด็ก ป่านนี้โตมาจะเป็นสาวสวยสะพรั่งขนาดไหน พร้อมทั้งมีความคิดที่จะจับคู่ให้ลูกชายผุดขึ้นมาในหัว “ผมรู้นะ…คุณคิดอะไรอยู่” คุณกิตติโชจน์พูดพร้อมทั้งมองหน้าภรรยาว่ารู้ทันนะว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “อะไรคะคุณแค่ทานข้าวกันเฉยๆ ถ้าเด็กๆ จะชอบกันฉันก็ไม่ติดอะไรฉันก็อยากอุ้มหลานเหมือนกันใครก็ได้ที่ทำให้เจ้ากรณ์สนใจ ถ้าคนนี้เจ้ากรณ์ไม่สนใจฉันก็จะหาคนใหม่ๆ มาให้ลูกฉันไปทานข้าวให้ได้คอยดูเถอะคุณ คุณไปนัดสองแม่ลูกไว้เลยฉันจะไปคุยกับเจ้ากรณ์เอง…ถ้ารอบนี้ไม่ไปฉันจะโกรธลูกชายคุณแล้วก็คุณด้วย" คุณอุไรตอบเบี่ยงเบนสามีว่าตนไม่ได้คิดอะไรเพราะสามีตนรู้ทันทุกเรื่องจริงๆ “อ้าว…แล้วผมเกี่ยวอะไรด้วยละ” คุณกิตติโชจน์พูดกับภรรยา พลางคิดว่าเจ้าลูกชายหาเรื่องเดือดร้อนให้ตนอีกแล้ว “ไม่รู้ละฉันจะโกรธ” คุณอุไรพูดกับสามีแล้วเบือนหน้าหนีเล็กน้อยว่าตนจะโกรธ เสียงโทรศัพท์ดัง “สวัสดีครับ…ใช่คุณแก้วทิพย์หรือเปล่า” เป็นเสียงของคุณกิตติโชจน์ที่เป็นคนโทรหาแก้วทิพย์ก่อน “ใช่ค่ะ คุณท่านมีธุระอะไรกับฉันคะหรือว่าคุณเปลี่ยนใจจะไม่ช่วยเราสองคนแม่ลูกแล้ว” แก้วทิพย์ตอบรับหลังรู้ว่าเป็นคุณกิตติโชจน์ที่โทรมาหาตนก่อนจึงตกใจคิดว่าคุณกิตติโชจน์จะเปลี่ยนใจ “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก แค่จะถามดูที่ให้ไปคุยกับลูกสาวเรื่องมาทำงานที่บริษัทผมนะสนใจไหม” คุณกิตติโชจน์รีบปฏิเสธทันทีว่าไม่ได้เป็นแบบที่แก้วทิพย์คิด “คือ…ลูกสาวฉันไปสมัครไว้แล้วน่ะค่ะ” “งั้นหรือดีเลยเอาอย่างนี้ไหมเรานัดทานข้าวกันดีกว่าภรรยาผมเค้าชวนน่ะ เค้าบอกว่าเคยเจอหนูไอรินตอนเด็กๆ พิชิตเคยพามา เค้าเอ็นดูเลยอยากเห็นตอนโตผมก็ไม่ได้เจอนานมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน สนิทกันเข้าไว้” คุณกิตติโชจน์พูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนนุ่มที่แสนใจดีชวนสองแม่ลูกมาทานข้าวตามความต้องการของภรรยาทันที “ฉันโชคดีจริงๆ ที่เจอท่านและภรรยาที่เอ็นดูเราสองคนแม่ลูกแต่ฉันเกรงใจน่ะค่ะที่ท่านช่วยใช้หนี้ให้ก่อนก็มากพอแล้วไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณยังไงหมด” แก้วทิพย์ดีใจที่มีคนช่วยเหลือและรักเอ็นดูลูกสาวตนขนาดนี้ “ไม่ต้องมาเกรงอกเกรงใจหรอก คนกันเองทั้งนั้น พิชิตมันก็เป็นรุ่นน้องที่ผมรัก ถ้างั้นก็ถือว่าตกลงมาทานข้าวด้วยกันนะเดี๋ยวผมจะให้คนขับรถไปรับ” คุณกิตติโชจน์พูดเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจและคลายความเกรงใจลง...แก้วทิพย์ไม่ทันได้ตอบอะไรสายของคุณท่านก็ว่างไปเสียแล้วคงจะต้องไปเกลี้ยกล่อมไอรินให้รู้ถึงความหวังดีของคุณกิตติโชจน์และภรรยาของเขา "พรุ่งนี้ทำไรหรือเปล่าลูก?" แม่แสร้งถามไอริน "ไม่ได้ทำไรค่ะแม่…แล้วแม่ถามทำไมมีไรหรือเปล่า" ไอรินตอบพลางสงสัยในสิ่งที่แม่ถามตน "แม่ก็แค่ถามดูเฉยๆน่ะเห็นพักนี้อยู่ติดบ้านพวกเพื่อนๆไม่ชวนไปไหนเหรอ" แม่แสร้งถามอีกรอบเพื่อดูปฏิกิริยาไอริน "ก็ชวนนะ แต่หนูไม่ออกเองไม่อยากไปไหน" ไอรินตอบออกมาเฉยๆและคิดในใจที่ไม่ออกไปไหนเพราะเรื่องที่ผ่านมาคืนนั้นทำให้ไอรินลืมไม่ลงคิดอยู่ในหัวตลอดเวลา "ถ้างั้นพรุ่งนี้ไปทานข้าวเป็นเพื่อนแม่หน่อยคุณกิตติโชจน์กับภรรยาเค้าอยากเจอลูกน่ะ ไอรินลูกหนูก็ถือโอกาสขอบคุณท่านเค้าเลยนะลูกท่านช่วยเราไว้เยอะเลย ถ้าไม่ไปมันก็ดูเป็นการไม่ให้เกียรติท่านและภรรยาที่เอ็นดูเราสองคน" แม่รีบพูดเข้าประเด็นทันทีโดยไม่ให้ลูกสาวได้มีสิทธิ์ปฏิเสธเลย "ถ้าแม่พูดมาขนาดนี้แล้วหนูจะเลือกอะไรได้ละยังไงก็ต้องไปอยู่ดี" ไอรินตอบตกลงพร้อมทั้งคิดและถอนหายใจว่าตนไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธนอกจากรับปากตกลงบ้านคุณกิตติโชจน์“กลับมากันแล้วเหรอลูก” เสียงคุณอุไรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเด็กทั้งสองเดินเข้าบ้านมาพร้อมกันด้วยใบหน้าที่ดูเบิกบาน“หิวมั้ยหนูรินเลิกงานมาเหนื่อยๆ…มาๆ นั่งที่โต๊ะกับแม่ดื่มน้ำก่อนนะเจ้ากรณ์ก็ด้วย”“คิดว่าแม่จะไม่เรียกผมซะแล้วนะครับเนี่ย”“ดูพูดเข้าสิ…วันนี้กลับบ้านเร็วทำไมไม่พาน้องแวะกินอะไรก่อนเข้าบ้านล่ะตากรณ์ต้องให้แม่บอกอยู่เรื่อยเลย”“รินอยากกลับมาทานข้าวพร้อมคุณแม่กับคุณพ่อค่ะ…อร่อยกว่าทานข้างนอกเยอะเลย” น้ำเสียงออดอ้อนกับท่าทีที่น่าเอ็นดูของไอรินพลางตอบเอาใจคุณอุไรที่นั่งอยู่ข้างๆ“ปากหวานจริงๆ เลยเด็กคนนี้แม่หลงเพราะหนูรินน่ารักแบบนี้ไง ฮ่าๆ” คุณอุไรคลี่ยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจที่ลูกสะใภ้คนโปรดช่างเอาอกเอาใจคนแก่อย่างเขาเก่งซะจริง“ผมก็หลงครับคุณแม่ ฮ่าๆ” เสียงอ่อนเสียงหวานของคุณกรณ์เอ่ยขึ้นตามคุณอุไรแม่ของตนพร้อมพลางยิ้มเล็กยิ้มน้อยหันมองหน้าไอริน“งั้นก็รีบๆ มีหลานให้พ่อกับแม่เร็วๆ เข้าสิ ฮ่าๆ” คุณอุไรพูดขึ้นมาเช่นนี้เด็กๆ ทั้งสองจึงหันมองหน้ากันคุณกรณ์จ้องมองไอรินตาเป็นประกายสองแก้มของเธอก็เริ่มแดงก่ำพลางยิ้มเขินๆ รีบเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อบ่ายเบี่ยงก่อนดีกว่า ฮ่าๆ”“
ห้องทำงานคุณกรณ์เขาเดินมาแอบอยู่ข้างหลังประตูเพื่อรอจังหวะที่ไอรินเดินเข้ามาในห้องจะได้แกล้งแมวน้อยของเขาให้ตกใจเล่นและสิ่งที่คาดไว้ก็มาถึงเธอผลักประตูเข้ามาคุณกรณ์เห็นแค่ด้านหลังเธอจากนั้นจึงโผเข้าไปกอดจนอีกฝ่ายเกือบเสียหลักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าไม่ได้มีแค่ไอรินที่เดินเข้ามาแต่ยังมีเลขาของเขาอีกคนที่กำลังยืนจ้องมองดูการกระทำของพวกเขาชนิดที่เรียกได้ว่าอ้าปากค้างสตั้นกันไปเลยสามวิตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นอั้มอึ้งจนพูดไม่ออกทำตัวไม่ถูกอยู่ตรงหน้าประตูเพราะเห็นทั้งคู่กอดกันเข้าอย่างจังเต็มสองตา“เอ่อออ…ขอโทษค่ะคือดิฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเลยนะคะ” เสียงตกใจของเลขาสาวเอ่ยพร้อมยกแฟ้มเอกสารในมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าของตนเองทันที“เห็นอะไรกันคะ? ไม่ได้มีอะไรกันสักหน่อย” ไอรินเอ่ยพร้อมกับท่าทางที่เลิ่กลั่กคุณกรณ์เห็นอย่างนั้นก็แอบขำเธอเบาๆ ในความลนลานของเธอ“ก็อย่างที่เห็นนั้นแหละผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดีมีคนไม่อยากให้บอกคนอื่น” น้ำเสียงจอมทะเล้นของคุณกรณ์เอ่ยอีกทั้งยังขยับก้มหน้าลงมาใกล้ๆ กับใบหน้าของร่างเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าเค้าพร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจหนำซ้ำยังใช้มือทั้งสองข้างของเขาดึ
ณ ร้านเช่าชุดแห่งหนึ่งสามสาว มะขาม ฟ้าใสและปิ่น ช่วยกันเลือกชุดอย่างตื่นเต้นจับตัวนั้นมาใส่ตัวนี้อยู่ไม่หยุดลองแล้วลองอีกอยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่ไอรินจากที่ดูตื่นเต้นดีใจช่วยพวกเธอเลือกชุดมาสักพักแล้วแต่เมื่อได้เห็นท่าทีของพวกนางก็ถึงกับขอตัวนั่งพักที่โซฟาก่อนเพราะศึกนี้คงอีกนานเจ้าสาวอย่างเธอแค่ลองชุดเดียวก็เหนื่อยจะแย่แล้วผิดกับเพื่อนๆ ของเธอซะจริงไม่มีทีท่าจะเหนื่อยกันบ้างเลยหรือไงไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนอารมณ์เหมือนกับตอนผู้หญิงแต่งหน้าแล้วอย่ามาเร่งเลย ฮ่าๆ“พวกแกว่าฉันใส่ชุดนี้เป็นไง…สวยมั้ย” เสียงมะขามเอ่ย“สวยมึงเอาชุดนี้เลย” เสียงยัยปิ่นพลางตอบพร้อมชูชุดในมือทั้งสองข้างให้เพื่อนๆ ได้ช่วยเลือก“มึงว่าชุดไหนสวยกว่ากันระหว่างปาดไหล่หรือเกาะอกดี”“กูว่ามึงเอาเกาะอกเลยสวยแซ่บสีฟ้าเข้ากับน้ำทะเล ฮ่าๆ”“พวกเราจะเริ่ดเกินเจ้าสาวไม่ได้นะ ฮ่าๆ” ฟ้าใสเอ่ยหัวเราะ“นั้นสิ…ลืมคิดเบาๆ นะพวกมึง ฮ่าๆ”“มึงก็พูดได้สิมะขามมึงได้ผู้แล้วแถมเป็นผู้ใหญ่อบอุ่นที่เอาใจเก่งอีกต่างหาก อิจสุดๆ ไม่รู้แหละกูขอจัดเต็มไว้ก่อน” ว่าแล้วฟ้าใสก็เดินไปเลือกชุดที่ราวเสื้อผ้าเลือกแล้วเลือกอีกเอาจนถูกใจ“เต็มที่
เช้าวันรุ่งขึ้น ณ ร้านเช่าชุดแต่งงานเสียงรถแล่นมาจอดยังบริเวณหน้าร้านเช่าชุดทั้งคู่เดินลงจากรถมาด้วยใบหน้าที่ดูสดใสพลางส่งยิ้มให้กันและกันอย่างมีความสุขร่างเล็กหยุดเดินแหงนดูหุ่นที่สวมใส่ชุดเจ้าสาวผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่ตั้งโชว์อยู่ภายในร้านเป็นชุดเดรสสีขาวปาดไหล่ผ้าซีทรูกระโปรงยาวปักด้วยไข่มุกนับร้อยเม็ดสวยสะกดตาจนต้องหยุดมองแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่าเธอจะมีวันที่ได้ใส่ชุดเจ้าสาวกับเขาเหมือนกันดีใจจนพูดไม่ออก ไอรินพลางมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่คุณกรณ์จะรีบจูงมือเธอเดินเข้าร้านไปด้วยความตื่นเต้น“ยินดีต้อนรับค่ะ” เสียงพนักงานบริการสาวในร้านเอ่ยพร้อมพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม“คุณกรณ์ใช่ไหมคะ…เชิญด้านนี้ได้เลยค่ะ” พนักงานสาวเดินนำพวกเขาทั้งคู่มายังห้องลองชุด VIP พร้อมกับนำชุดที่ทางร้านมีทั้งหมดหลากหลายสไตล์มาให้พวกเขาได้เลือกไม่ว่าจะเป็นชุดไทย ชุดจีนยกน้ำชา ชุดพิธีการต่างๆ เยอะจนเลือกไม่ถูกกันเลยที่เดียว“เดี๋ยวนะคะ…จะให้ลองทั้งหมดนี้เลยเหรอ” เสียงไอรินหันไปถามคุณกรณ์ที่ตอนนี้เขาก็ได้แต่ยืนงงเช่นกันว่าทำไมมันถึงเยอะขนาดนี้“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขาพลางตอบเธอด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะสิ้นหวัง
ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตู“เดี๋ยวรินทำธุระเสร็จจะรีบลงไปนะคะ” เธอพลางตอบคนหน้าประตูเพราะคิดว่าคงเป็นป้าแม่บ้านที่คุณอุไรให้มาตามเธอลงไปทานข้าวซึ่งก็ไม่มีเสียงป้าแม่บ้านตอบกลับมามีแต่เสียงเคาะประตูอยู่ไม่หยุดมิหนำซ้ำยังเคาะเร่งเป็นจังหวะอีกด้วย จนเธอต้องเดินไปเปิดประตูทั้งที่ยังใส่ชุดคลุมอาบน้ำสีขาวพร้อมกับปล่อยผมยาวที่เปียกชุ่ม“เล่นเป็นเด็กไปได้” ไอรินพูดพึมพำให้กับการกระทำที่ดูเหมือนเด็กเช่นนี้ทำเอาเธอก็อดอมยิ้มไม่ได้โตแค่ตัวอย่างที่คุณอุไรว่าไว้ไม่มีผิด ฮ่าๆ เธอพอจะเดาได้แล้วล่ะว่าเป็นใครที่ชอบแกล้งเธอในบ้านหลังนี้เห็นทีคงมีแค่คุณกรณ์คู่หมั้นของเธอสินะ ไอรินเพียงแค่หมุนลูกบิด ทันทีที่เสียงดัง แกร๊ก คุณกรณ์ก็รีบผลักประตูเข้ามาในห้องเธออย่างรวดเร็วอีกทั้งยังโผกอดไอรินจากด้านหลังอีกด้วยกลิ่นหอมสบู่อ่อนๆ จากตัวเธอทำเอาจมูกโด่งของคนพี่เริ่มทำงานคลอเคลียไปที่ข้างหูของเธอทีละนิด~“ทำไมไม่รีบไปอาบน้ำที่ห้องตัวเองล่ะคะ…คุณพ่อคุณแม่รอทานข้าวอยู่น้าา” น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยถาม“พี่คิดถึงรินไม่เห็นหน้าแล้วใจจะขาด”“เวอร์อีกแล้วนะคะเนี่ย…ปล่อยรินได้แล้วค่ะ”“อยากนอนกอดทุกคืนเลย…แล้วทำไมไม่เก็บของ
เสียงโทรศัพท์ดัง“มีอะไรอีกวะไอ้ยุ!!!” เสียงเข้มของคุณกรณ์พลางขึ้นเมื่อกดรับสายอีกครั้ง“กูลืมบอกมึง…ว่าตอนนี้ครีมไปหามึงที่หัวหินแล้ว”“มึงว่าไงนะ!!!…แล้วมึงไม่รีบบอกกูให้เร็วกว่านี้วะ” เสียงตกใจเอ่ย“ก็กูลืมมมไงเพื่อน…กูกดโทรหามึงแล้วแต่สายมึงไม่ว่าง”“แม่กูโทรมาเทศน์กูซะยาว…แล้วใครบอกครีมวะว่ากูกลับมาที่นี้อีกไอ้เคนเหรอ!!! อย่าบอกนะว่าเป็นมึง”“เฮ้ยๆ มึงอย่ามาโทษกูครั้งนี้ไม่ใช่กูโว้ย!!! ไอ้เคนก็ไม่หน้าใช่ป่านนี้มันคงไปม่อสาวอยู่ไหนสักที่ไม่มาสนใจเรื่องของมึงหรอก…แต่ว่าเรื่องแค่นี้สืบดูคงไม่ยากเกินกำลังครีมหลอกว่ะ”“เออ งั้นแค่นี้กูรีบไปดูรินก่อนเดี๋ยวบังเอิญเจอกันกูจบเห่แน่”“เออๆ กูเอาใจช่วยมึงวะเพื่อน” เสียงปลายสายกดวางคุณกรณ์วางโทรศัพท์ลงบนเตียงนอนแล้วรีบเปิดประตูห้องพักหยิบรองเท้ามาใส่ผิดๆ ถูกๆ ใส่ยากใส่เย็นไม่ทันใจขว้างมันทิ้งซะเลยรีบร้อนจนต้องเดินเท้าเปล่าออกมาจากห้องพัก เขามุ่งตรงมายังชายหาดด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนกวาดสายตามองหาแฟนเด็กของเขาไปทั่วหาดเห็นไอรินกำลังเดินกลับเข้ามาพอดีจึงรีบเดินดุ่มๆ ไปหาเธอ“ทำไมตื่นแล้วไม่ปลุกพี่มาเดินเล่นด้วยกันล่ะเดินคนเดียวจะสนุกได้ไง” ทันทีท