LOGIN“ว่าไงคะพี่ปุ้ม”
สาวใช้ประจำตัวคุณหญิงรจเรศ คลานเข่าเข้ามาใกล้ ด้วยมองเห็นคุณผู้ชายนั่งมองตาปริบๆ อยู่ไม่ไกล
สาวผิวแทนป้องปาก ชะโงกหน้ากระซิบเสียงเบาให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“คุณหญิงเรียกหาค่ะ”
ดวงตาหวานโศกเบิกกว้าง หันมองบิดา ก่อนหันกลับมากระซิบถาม
“เรียกกลอยเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ รีบไปเถอะค่ะคุณกลอย เดี๋ยวจะโดนเอ็ดเอา พี่ดูแลคุณผู้ชายให้เอง”
เพราะกลอยใจเป็นเด็กดี มีสัมมาคารวะ จะให้เกลียดชังดั่งคำบอกเล่าของเจ้านาย ปุ้มก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็แอบทำดีลับหลัง แถมยังคอยปกป้องหญิงสาวห่างๆ อีกด้วย
“รีบไปเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงคุณผู้ชายนะคะ”
กลอยใจลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ปฏิบัติตามคำสั่ง หญิงสาวเดินหลบเลี่ยงแขกเหรื่อในงาน ลอบเข้ามาทางห้องครัว ก่อนเลยเข้าไปยังตัวบ้าน มองเห็นพี่นุ่น คนรับใช้อีกคนกวักมือเรียกก็เร่งฝีเท้า
“ไปค่ะ คุณหญิงกับคุณหนูวินนี่รออยู่ในห้องค่ะ”
ข้อมือเล็กถูกจับจูงเดินตามไป กลอยใจเดินเงียบๆ ตามหลังนุ่นมาจนถึงห้องนอนแขกบนชั้นสองของบ้าน ซึ่งถูกจัดให้เป็นห้องแต่งตัวสำหรับเจ้าสาวในงานวันนี้
แอ๊ด
“คุณกลอยมาแล้วค่ะคุณหญิง”
คุณหญิงรจเรศหันขวับมามอง ดวงตาเฉี่ยวคมคู่เดิมวาวโรจน์ระคนหวั่นวิตกเต็มแน่นอยู่ในนั้น ตรงหน้าคือร่างระหงในเครื่องแต่งงานแบบไทยประยุกต์งดงาม เครื่องทองครบครันส่องประกายให้ร่างสะโอดสะองยิ่งดึงดูดสายตา ใบหน้างดงามเป็นทุนเดิมดูโดดเด่นยิ่งขึ้น คิ้วโก่ง จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากอิ่มสีชมพูอ่อนถูกแต่งแต้มอย่างงดงาม ทว่ากลับปราศจากรอยยิ้มอย่างที่ควรจะเป็น
กลอยใจเดินก้มหน้าเข้ามาใกล้ ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวเหยียดของคุณหญิงรจเรศ และเสียงบ่นงึมงำของกวินตรา หากก็ฟังไม่ถนัดนัก กระทั่งเสียงปิดประตูบอกการจากไปของนุ่น คนที่กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียดขัดกับชุดแสนสวยบนร่างจึงโพล่งขึ้น
“แกต้องแต่งงานแทนลูกวินนี่!”
ทว่าประกาศิตประโยคนี้ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่ง!
“ขอโทษ…”
ข้อความสั้นๆ บนกระดาษโน้ตแผ่นเล็กวางอยู่ข้างชุดเจ้าบ่าวสร้างความรู้สึกให้คนอ่านมากมายเหลือคณา คุณหญิงวารีทรุดกายลงปล่อยโฮด้วยความรู้สึกตกใจระคนเสียใจที่บุตรชายกล้าหักหน้าในงานวันแต่งงานเช่นนี้!
“นี่มันหมายความว่ายังไงกัน” คุณเตชิน บิดาของมาวินขมวดคิ้ว ใบหน้าถมึงทึงด้วยความโกรธระคนผิดหวัง ดวงตาคมกล้าละม้ายบุตรชายตวัดมองร่างระหงที่สะอื้นไห้บนพื้น ก่อนเค้นเสียงถาม
“นี่คุณบังคับลูกแต่งงานเหรอ”
ท่านเข้าใจมาตลอดว่ามาวินรักชอบอยู่กับกวินตรา เพราะเห็นบุตรชายไปมาหาสู่คนบ้านนั้นเสมอ จึงวางใจ ไม่ได้ถามไถ่ให้ชัดเจน ทั้งๆ ที่เมื่อวาน ก่อนถึงวันแต่งงาน ลูกชายมาขอพบ ก้มกราบแทบเท้า ใบหน้าหมองเศร้าทั้งยังเอ่ยวาจาแปลกหู
‘ผมมาลา’
ท่านควรเอะใจหรือนึกสงสัยในการกระทำอันไม่ปกติของลูก มาหวนคิดถึงในตอนนี้จึงเข้าใจกระจ่าง มาวินคงกล้ำกลืนฝืนทน แบกรับหน้าที่แต่งงานทางธุรกิจเอาไว้ทั้งสองบ่า
“ผมคิดว่าลูกรักกับหนูวินนี่ ถึงได้ไม่คัดค้านการแต่งงาน แต่นี่…” กรามแกร่งขบแน่นด้วยความกรุ่นโกรธระคนผิดหวัง
คุณหญิงวารีไม่ได้เปลี่ยนไปจากวันวานเลยสักนิด ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ได้บทเรียนอย่างไรก็ไม่เคยจดจำ!
“คุณไม่เปลี่ยนไปเลยรี จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมคิดไม่ผิดที่เลิกกับคุณ!”
วารีที่แสนสดใสในความทรงจำของคุณเตชินตายจากไปแล้วตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อน หลังแต่งงานกันคุณหญิงวารีเปลี่ยนไป ขี้หึง เจ้าอารมณ์ และเอาแต่ใจตนเอง ท่านอดทน แบกรับความกดดันจากการเป็นลูกเขยตระกูลเลิศวรานนท์จนถึงที่สุด กระทั่งใบหย่ายังถูกส่งผ่านทนาย ไม่มีการพูดคุย ไม่มีการไกล่เกลี่ยใดๆ หลังจากฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้น
“ให้ลูกชายของแก ใช้นามสกุลของฉัน”
คุณเตชินรู้สึกถูกหยามหยันจากคนทั้งบ้าน เพียงเพราะฐานะต่ำกว่า แม้แต่นามสกุลของลูกชายคนเดียวยังต้องฟังคำของพ่อตา ท่านจึงตัดสินใจจากมาแต่ตัว ทิ้งทุกอย่างที่เลิศวรานนท์เคยมอบให้ไว้เบื้องหลัง รวมทั้งลูกชายเพียงคนเดียว
มาวินเป็ยทายาทที่ได้รับการยอมรับ เป็นความภาคภูมิใจของเลิศวรานนท์ ในขณะที่วาคินเป็นได้แค่ตำหนิ ทั้งๆ ที่ตำหนินั้นกลับชุบชีวิตแอลเอ็นกรุ๊ปให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง หลังจากเกือบล้มละลายเพราะขาดเขา
“คุณผูกมันขึ้นมา ก็แก้มันเอง!”
ร่างสูงใหญ่ก้าวออกจากห้องนอนของบุตรชายโดยไม่เหลียวกลับมามองอดีตภรรยาที่นั่งร้องไห้ปิ่มขาดใจอีกเลย ความรู้สึกที่คุณหญิงวารีกำลังเผชิญเทียบไม่ได้กับการที่บุตรชายสองคนต้องแบกรับมาตลอดด้วยซ้ำ คุณเตชินทอดถอนหายใจ สาวเท้าจากไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
ผู้หญิงที่ท่านเคยรักหมดใจ ทำร้ายทุกคน แม้กระทั่งตัวเอง
หลังจากหย่าขาดจากกัน อดีตภรรยาทำใจไม่ได้ หลบลี้หนีหายไปจากวงสังคม ก่อนจะโผล่กลับมาอีกครั้งพร้อมการปรากฏตัวของวาคินในฐานะบุตรบุญธรรมของเลิศวรานนท์ ทว่าคุณเตชินทราบดี เด็กหนุ่มลูกครึ่งนัยน์ตาสีเทาเข้มคนนั้น… เป็นทายาทอีกคนที่คุณหญิงวารีไม่อาจยอมรับ คนที่ถือยศศักดิ์ ห่วงหน้าตาทางสังคมมากกว่าสิ่งใดก็ไม่เคยทำหน้าที่มารดาอย่างที่ควร วาคินจึงเติบโตมาในฐานะน้องชายบุญธรรมของมารดาตนเอง
ท่านเฝ้ามอง บางครั้งแอบถามไถ่ยามบุตรชายไปเยี่ยมหา เพราะนึกเวทนา ถ้าไม่มีวาคิน มาวินเองคงไม่เหลืออะไร ที่ท่านยังไปมาหาสู่เลิศวรานนท์อยู่จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะบุตรชาย เมื่อทายาทคนเดียวของท่านจากไป… ก็คงไม่มีเหตุอันใดให้ท่านต้องกลับมา
“คุณวาครับ” วาคินเงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือ มองใบหน้าชื้นเหงื่อเผือดสีของเลขาคนสนิทแล้วเลิกคิ้วสูง
“มีอะไรเหรอคุณทัศ”
ทัศนัยเม้มปาก อึกอักพักใหญ่กว่าจะเอ่ยปากได้
“เอ่อ คะ คุณวินหายตัวไปครับ”
รายงานของลูกน้องทำให้หัวคิ้วของชายหนุ่มขมวดมุ่น ดวงตาสีเทาเข้มแสนเย็นชามีความไม่เข้าใจอัดแน่นอยู่ในนั้น
“พี่วินน่ะหรือหายตัวไป”
ทัศนัยพยักหน้าพร้อมละล่ำละลักตอบ
“ใช่ครับ คุณหญิงทราบข่าว ตกใจจนเป็นล้มไปแล้วครับ”
เพียงได้ยินว่ามารดาตกใจยังไม่ต้องถึงประโยคที่บอกว่าท่านเป็นลมด้วยซ้ำ ร่างสูงก็ผละกายลุกขึ้น ก้าวพรวดพราดออกจากห้องไปทันที
“ฮึกฮือ ลูกวิน ลูกอยู่ไหน ฮือ” เสียงร่ำไห้ของคุณหญิงวารีดังลอดออกมาถึงหน้าประตูห้องนอนของมาวิน
วาคินชะงักเท้า มือที่กำลังยกขึ้นเคาะประตูค้างเติ่งอยู่กับที่ ก่อนชายหนุ่มจะสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่อนยาว ค่อยเคาะลงไปบนประตูอีกครั้ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แอ๊ด
บานประตูเปิดแง้มออกพร้อมหญิงรับใช้สูงวัยที่คอยรับใช้มารดา วาคินไม่ต้องเอ่ยถาม อีกฝ่ายละล่ำละลักเอ่ยเล่าทั้งน้ำตา
“คุณวินไปแล้วค่ะคุณวา ฮือ ไปแล้ว ฮือ”
วาคินปั้นยิ้ม ใช้มือสองข้างลูบไหล่ที่สั่นเทาๆ ก่อนผละเดินสวนเข้ามาในห้องนอนของพี่ชายด้วยสีหน้าอ่านยาก
“วิน ฮือออ”
ร่างระหงสะอึกสะอื้นพลางกอดหมอนของพี่ชายเอาไว้แน่น ใบหน้างดงามซีดเซียว ดวงตาคู่หวานแดงช้ำจนคนมองใจหาย
วาคินเดินเงียบๆ เข้าไปนั่งลงไม่ไกลจากร่างของมารดา มองใบหน้าทุกข์ตรมของผู้ให้กำเนิดด้วยหัวใจร้าวราน แม้จะบอกตนเองให้หยุดรักมารดา ทว่าเพียงเห็นน้ำตาของท่าน ปราการปกป้องความรู้สึกก็พังครืนลงมาไม่เป็นท่า
หญิงรับใช้มากวัยที่เดินตามหลังเข้ามา เลยไปหยิบกระดาษแผ่นเล็กซึ่งเขียนคำลาด้วยลายมือหนักแน่นมอบให้วาคิน
“นี่ค่ะคุณวา จดหมายของคุณวิน”
กระดาษสีขาวแผ่นเล็กๆ ที่ถูกฉีกออกมาจากสมุดบันทึกเล่มโปรดของพี่ชาย วาคินจำได้ว่าอีกฝ่ายรักถนอมสมุดบันทึกเล่มนั้นพอสมควร ดวงตาสีเทาเข้มจึงสลับซับซ้อนยามกวาดมองคำสั้นๆ ที่พี่ชายเขียนไว้ด้วยลายมือตนเอง ก่อนหวนคิดถึงวันก่อนยามพบกัน
“ขอบใจนะ”
นั่นเป็นประโยคเอ่ยลา ก่อนมาวินจะออกไปจากห้องทำงานของเขา วันนั้นชายหนุ่มมาหา แววตายังอบอุ่น หากซุกซ่อนความสับสนเอาไว้ข้างใน
วาคินย่นหัวคิ้ว ทบทวนท่าทีกับแววตาของพี่ชายแล้วทอดถอนใจ
ที่ผ่านมาพี่ชายเข้าหาเขาตลอด แบกสีหน้าปั้นยากไปนั่งมองเขานิ่งๆ หน้าโต๊ะทำงาน อันเป็นที่ประจำของอีกฝ่ายเสมอ ทว่าเป็นเขาเองที่ไม่ค่อยใส่ใจ ทั้งยังมีทิฐิเรื่องชาติกำเนิดในใจจึงเหินห่างกันเรื่อยมา
ทว่ามาวินต้องแบกโลกของมารดานั้น เขายอมรับมาตลอด
ช่วงเวลานั้นมาวินน่าจะยังไม่ถึงขั้นคิดไม่ตกขนาดนี้ อาจพยายามส่งสัญญาณบางอย่าง แต่เขาไม่ใคร่ใส่ใจ กระทั่งเรื่องราวบานปลายแบบนี้
“มีอะไรบอกพี่ได้นะ พี่เข้าใจว่าการแบกรับอะไรไว้มากเกินไป มันรู้สึกยังไงบ้าง”
วาคินหลับตาลง มือที่ถือกระดาษกำแน่น ทั้งๆ ที่นั่นคือการขอความช่วยเหลือในแบบของพี่ชาย แต่เขาก็ไม่ใส่ใจกับมัน
ชายหนุ่มหันกลับมามองแววตาเลื่อนลอยของมารดา ที่กำลังขับคลอเพลงกล่อมเด็กอันเป็นเพลงโปรดของมาวินบาดหัวใจคนฟังเหลือคณา เขาถอนหายใจซ้ำ มองสีหน้าของมารดาสลับกับกระดาษในมือ เนิ่นนานจึงค่อยเลื่อนสายตาไปยังภาพถ่ายของพี่ชายที่ประดับอยู่บนหัวเตียง
ก่อนตัดสินใจได้ในที่สุด…
“แม่ครับ” เสียงเอ่ยเรียกผู้ให้กำเนิดแผ่วเบา ใบหน้าละม้ายคล้ายบิดากับดวงตาสีเทาเข้มอ่อนแสงลงยามสานสบตากับดวงตาเหม่อลอย
วาคินถอนสะอื้น ปวดร้าวในอกราวมีดกรีดแทงหัวใจ ทว่าก็ไม่อาจหักใจหมางเมิน เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเปล่งคำพูดยากเย็นออกไป
“ผมจะแต่งงานแทนพี่วินเอง”
“ว่าไงคะพี่ปุ้ม” สาวใช้ประจำตัวคุณหญิงรจเรศ คลานเข่าเข้ามาใกล้ ด้วยมองเห็นคุณผู้ชายนั่งมองตาปริบๆ อยู่ไม่ไกล สาวผิวแทนป้องปาก ชะโงกหน้ากระซิบเสียงเบาให้ได้ยินกันเพียงสองคน“คุณหญิงเรียกหาค่ะ” ดวงตาหวานโศกเบิกกว้าง หันมองบิดา ก่อนหันกลับมากระซิบถาม “เรียกกลอยเหรอคะ”“ใช่ค่ะ รีบไปเถอะค่ะคุณกลอย เดี๋ยวจะโดนเอ็ดเอา พี่ดูแลคุณผู้ชายให้เอง” เพราะกลอยใจเป็นเด็กดี มีสัมมาคารวะ จะให้เกลียดชังดั่งคำบอกเล่าของเจ้านาย ปุ้มก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็แอบทำดีลับหลัง แถมยังคอยปกป้องหญิงสาวห่างๆ อีกด้วย“รีบไปเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงคุณผู้ชายนะคะ” กลอยใจลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ปฏิบัติตามคำสั่ง หญิงสาวเดินหลบเลี่ยงแขกเหรื่อในงาน ลอบเข้ามาทางห้องครัว ก่อนเลยเข้าไปยังตัวบ้าน มองเห็นพี่นุ่น คนรับใช้อีกคนกวักมือเรียกก็เร่งฝีเท้า“ไปค่ะ คุณหญิงกับคุณหนูวินนี่รออยู่ในห้องค่ะ” ข้อมือเล็กถูกจับจูงเดินตามไป กลอยใจเดินเงียบๆ ตามหลังนุ่นมาจนถึงห้องนอนแขกบนชั้นสองของบ้าน ซึ่งถูกจัดให้เป็นห้องแต่งตัวสำหรับเจ้าสาวในงานวันนี้แอ๊ด “คุณกลอยมาแล้วค่ะคุณหญิง”คุณหญิงรจเรศหันขวับมามอง ดวงตาเฉี่ยวคมคู่เดิมวาวโรจน์ระคนหวั่นว
บทที่ 2 วิวาห์ตัวแทนข่าวงานแต่งงานระหว่างกวินตรากับมาวินขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ธุรกิจแทบทุกฉบับในเช้าวันนี้ ข่าวใหญ่ในวงการธุรกิจที่คนในวงการต่างตื่นตัว เพราะไม่ใช่เพียงการควบรวมธุรกิจ ยังแสดงออกชัดเจนถึงอำนาจสองขั้วกำลังผนึกเข้าหากันจนยากจะต่อกร ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้อย่างดี โรงแรมห้าดาวของเลิศวรานนท์ถูกเลือกให้เป็นสถานที่จัดงานช่วงเย็น ช่วงเช้ามีพิธีรดน้ำสังข์ และพิธีสงฆ์ที่บ้านของเจ้าสาว คุณหญิงรจเรศแจ้งแก่เลิศวรานนท์ว่าบิดาของกวินตราอาการทรุดไม่อาจมาร่วมยินดีกับบุตรสาวในงานได้ คุณหญิงวารีแอบทักท้วง เอ่ยปากเรื่องการเลื่อนงานแต่งออกไปก่อน ทว่าคนที่ตั้งตารอวันนั้นมาตลอดปฏิเสธเป็นพัลวัน“โอ้ย คุณหญิงวารีอย่ากังวลค่ะ คุณชินกรน่ะ ดีใจมากกว่าลูกสาวอีกค่ะ ที่ว่าอาการทรุดคือตอบสนองมากไม่ได้ ไม่ถึงขั้นร้ายแรงอะไรค่ะ” ไม่ร้ายแรงหรือ… กลอยใจลอบส่ายหน้าเมื่อได้ยินตั้งแต่วันที่มารดาของกวินตราไปอาละวาดที่บ้านเล็ก เพราะขัดใจที่หล่อนพาบิดานั่งวิลแชร์ออกไปรับลมที่สวน ผู้ให้กำเนิดก็อาการทรุด ทานข้าวไม่ได้ อ่อนเพลีย มีอาการตรอมใจอย่างเห็นได้ชัด หากกลอยใจก็เลือกจะเงียบ เพียงวางแก้วน้ำผลไม้คั่
“ไม่รู้ละ พี่ให้ทนายจัดการแล้ว” เป็นอันสิ้นสุดการสนทนา เมื่อร่างตรงหน้าจากไปพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเดิมวาคินนิ่งเงียบ ไม่ยินดีรับในสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามยัดเยียดให้ เพราะมันก็เหมือนของร้อน อยู่ในมือใครก็รังแต่จะทำให้ทุกข์ทั้งกายทั้งใจมากกว่าความสุข ทว่าชายหนุ่มก็ไม่อาจปฏิเสธพี่ชายจึงทำได้เพียงยินยอมรับมันมาถือเอาไว้ แล้วค่อยส่งคืนให้ ‘เจ้าของ’ ในเวลาที่เหมาะสมอย่างไรเสียวันข้างหน้า ‘ลูกชัง’ ที่ไม่เคยได้รับการยอมรับอย่างเขาก็คงต้องไป…“โง่!” เสียงตวาดแว้ดที่ดังมาจากห้องรับแขกทำให้ทุกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานสะดุ้ง ก่อนเหลือบมองตากันแล้วก้มหน้าทำงานต่อไป“โง่แบบนี่ไงถึงเป็นได้แค่ขี้ข้า!” คำบริภาษยังคงดังต่อเนื่อง จนคนที่นั่งนิ่งบนรถเข็นขยับกาย หากก็ทำได้เพียงเล็กน้อย เมื่อร่างกายป่วยไข้ไม่เอื้ออำนวยให้สามารถปกป้องบุตรสาวคนโตได้เพียะ!ฝ่ามือเรียวฟาดลงบนแก้มขาวเนียนเต็มแรง ดวงตาเฉี่ยวคมที่แต่งแต้มเด่นชัดขึงตามอง นิ้วชี้เรียวยาวจิ้มลงบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา ก่อนตะเบ็งเสียงด่าทอหนักขึ้น“คนอย่างแก ถ้าไม่เป็นคนใช้ก็คงต้องเป็นโสเภนีเหมือนแม่ของแก ไร้ค่า!” คำหยามเหยียดเหล่านี้หากเป็นเมื่อก่อน
บทที่ 1 ลูกชัง“วินลูก ชอบชุดที่แม่ซื้อให้ลูกไหมครับ” เสียงอ่อนเสียงหวานของมารดาที่ดังมาจากห้องรับแขกของบ้าน ทำให้ร่างสูงของคนที่กำลังเดินเข้าบ้านชะงัก ‘วาคิน’ แค่นยิ้ม ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยสองขาที่มั่นคงกว่าเดิม ทว่าจังหวะที่กำลังจะเลยผ่านเรื่องน่ารำคาญนั้นไป เสียงร้องทักของพี่ชายก็ดังขึ้นก่อน“กลับมาแล้วเหรอวา” ชายหนุ่มชะงักอีกครั้ง ถอนหายใจ หันกลับไปพยักหน้าตอบ แววตาไหวระริกยามเหลือบมองเห็นใครอีกคนที่นั่งเคียงข้างพี่ชายร่างซึ่งสูงน้อยกว่าเขาไม่กี่เซนติเมตรนั่งทำหน้าเบื่อหน่ายข้างกายสตรีสูงวัยใบหน้างดงามค่อยเผยยิ้มออกมา ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สาวเท้าเข้ามาใกล้ แล้วจับดึงแขนของเขาไปนั่งลงข้างกายวาคินไม่ได้ขัดขืน หากก็ไม่ได้เต็มใจเสียทีเดียว ร่างสูงกว่าพี่ชายหลายเซนติเมตร เพราะมีเชื้อสายทางฝั่งยุโรปตามบิดาทิ้งกายลงนั่งข้างพี่ชายด้วยความจำยอม หากหางตาของคนที่ไม่แสดงสีหน้ากลับยังจับจ้องมองสตรีสูงวัยซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน“มาช่วยพี่เลือกชุดเจ้าบ่าวหน่อย” พี่ชายเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางส่งอัลบั้มรูปชุดเจ้าบ่าวสองสามเล่มให้เขา วาคินรับเอามาไว้เงียบๆ ไม่เปิดดู หากก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ ทว่า… สตรีสูงศัก







