INICIAR SESIÓNวันต่อมา
ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง
มิราในชุดนักเรียนมัธยมปลายเดินถือกระเป๋าเข้าโรงเรียนในช่วงเจ็ดโมงครึ่ง หญิงสาวเอากระเป๋าหนีบไว้ใต้รักแร้แล้วยกมือไหว้คุณครูที่ยืนต้อนรับนักเรียนข้างหน้าประตูทางเข้า
วันนี้เป็นวันแรกของสัปดาห์ หลังจากหยุดเรียนมาแล้วสองวัน ช่วงวันหยุดหลายคนคงนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยและสอบปลายภาคในอีกสองสัปดาห์ หรือไม่ก็นัดพบปะกัน ส่วนเธอช่วยแม่ที่ร้าน ดึกมาก็ไปทำงานกับเจ้มอลลี่ที่ไนต์คลับ ไม่มีเวลาอ่านหนังสือหรือเที่ยวเล่นแบบคนอื่นๆ
ความฝันของเธอคือการเป็นหมอฟัน แต่ดูเหมือนคงเป็นได้แค่ ‘ความฝัน’ เพราะเธอไม่มีเวลาอ่านหนังสือและติวเข้มเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เรื่องของค่าเทอมด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็จะลองไปสอบอยู่ดี เผื่อโชคดีมีชื่อติดอันดับผู้ผ่านการคัดเลือก
“ฉันทำชีทสรุปอ่านสอบมาเผื่อแกด้วยนะมิรา”
“โห ทำไมใจดีจังเจ้าขา” เธอรับชีทสรุปจำนวนเท่ากับวิชาที่จะสอบปลายภาคในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าจากเจ้าขามา
“คิดว่าแกคงไม่มีเวลาอ่านเองแน่ๆ เลยสรุปคร่าวๆ เท่าที่ตัวเองเข้าใจมาให้ มีทุกวิชาเลยนะ” เจ้าขา คือหัวหน้าห้องและเป็นเพื่อนสนิทของมิรา คอยทำชีทสรุปมาให้ให้บ่อยๆ เพราะเป็นห่วงกลัวว่าเพื่อนจะอ่านหนังสือสอบไม่ทัน
“ขอบใจนะเจ้าขา ฉันเกรงใจแกเหมือนกันนะที่ต้องคอยทำชีทสรุปมาให้”
“ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าช่วงนี้แกไม่ค่อยว่าง”
“แล้วเมฆเป็นยังไงบ้างมิรา” ปุยเมฆ เพื่อนสนิทในกลุ่มอีกคนเอ่ยถาม รับรู้เรื่องราวของน้องชายมิราแล้วอดสงสารไม่ได้
“ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย”
“ฉันล่ะอยากเห็นหน้าคนที่มันขับรถชนแล้วหนีจริงๆ จิตใจทำด้วยอะไร ชนแล้วหนี อย่างน้อยลงมาดูแล้วช่วยเรียกรถพยาบาลหน่อยก็ดี ทำแบบนี้มันโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว”
“นั่นสิ ไม่รู้จ่ายใต้โต๊ะให้ตำรวจไปเท่าไร เรื่องราวถึงไม่ถึงไหนสักที” เพื่อนสองคนของมิราพูดอย่างโมโหแทน ต้องรวยขนาดไหนถึงใช้เงินปิดปากตำรวจจนเรื่องเงียบ ไม่รู้ตัวคนทำแบบนี้
“สักวันฉันจะลากคอคนที่มันทำกับเมฆมารับโทษให้ได้ จะรวยล้นฟ้ามาจากไหนไม่สน ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด”
“ถ้ากฎหมายทำอะไรไม่ได้ เชื่อว่าสักวันกฎแห่งกรรมจะต้องย้อนกลับไปทำร้ายคนๆ นั้น”
เธอก็ภาวนาขอให้เป็นแบบนั้น อยากรู้จริงๆ ว่าตอนนี้คนทำรู้สึกอย่างไรกับการกระทำของตัวเอง กำลังรู้สึกผิด หรือใช้ชีวิตตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พักกลางวัน
“วันนี้กินไรดี” ปุยเมฆเอ่ยถามเพื่อนอีกสองคน
“วันนี้อยากกินก๋วยเตี๋ยว”
“เออๆ เอาด้วย แล้วแกล่ะมิรา จะกินอะไร”
“อยากกินข้าวหมูแดงอะ”
“โอเค งั้นแยกย้ายกันไปซื้อ ใครซื้อเสร็จก่อนก็ไปจองโต๊ะรอ”
ทั้งสามคนแยกกันไปซื้ออาหารที่ตัวเองต้องการในช่วงพักกลางวัน มิราต่อแถวรอซื้อข้าวหมูแดงของโปรด ร้านนี้คนค่อนข้างเยอะ จึงทำให้รอนานกว่าถึงคิวตัวเอง
ขวับ…
เธอหันไปมองคนข้างหลัง เมื่อถูกใครบางคนดึงผมตัวเองเบาๆ พอหันไปมองจึงเห็นเจ้าของการกระทำยืนเอามือล้วงกระเป๋านักเรียนทำสีหน้ายียวนกวนประสาท
‘วินไทน์’ ลูกชายผอ. ที่ชอบแกล้งเธอเป็นประจำ เราสองคนอยู่ห้องเดียวกัน เพราะเห็นท่าทางเธอดูหน่อมแน้มไม่ค่อยสู้คน จึงทำให้ตกเป็นของเล่นแก้เบื่อของวินไทน์และกลุ่มเพื่อน นอกจากเป็นลูกชายผอ. แล้ว ยังเป็นหัวหน้าแก๊งนักเลงประจำโรงเรียนอีกด้วย
“สลับคิวกัน”
“ไม่” ตอบกลับเสียงเรียบ ก่อนจะหันหลังให้วินไทน์เหมือนเดิม
หมับ
วินไทน์กระชากไหล่เธอให้หันกลับไปหา
“บอกว่าสลับคิวกัน”
“บอกว่าไม่”
“เธอนี่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไงวะ”
“นายสะกดคำว่า ‘รอ’ เป็นไหม?”
เสียงเพื่อนวินไทน์ร้องขึ้นเมื่อมิราเชือดกลับนิ่มๆ ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่พอใจ ส่วนมิราไม่สนใจ เธอเดินเข้าไปสั่งอาหารเมื่อถึงคิวตัวเอง
หลังจากได้อาหารที่ต้องการแล้วจึงเดินออกไปโดยไม่เหลียวมองวินไทน์สักนิด
“สั่งสอนไหม?”
“ยังก่อน” วินไทน์บอก สายตามองตามมิราที่เดินไปยังโต๊ะ งานนี้มีเอาคืนแน่!
“วินไทน์แกล้งแกอีกแล้วเหรอ?” เจ้าขาเอ่ยถาม หลังจากมิรามาถึงโต๊ะแล้ว
“จะขอสลับคิวซื้อข้าว แต่ฉันไม่ให้”
“แกนี่เจ๋งดีเหมือนกันนะ ภายนอกดูไม่ค่อยสู้คน แต่ก็เอาเรื่องอยู่” ปุยเมฆพูดแซว
เธอไม่พูดอะไรแค่ยิ้มๆ ให้ปุยเมฆเท่านั้น
•••
มิราเดินออกจากตัวอาคารเรียนหลังจากหมดคาบเรียนวิชาสุดท้าย เธอมาห้องน้ำคนเดียวเพราะเจ้าขาถูกคุณครูเรียกตัวไปช่วยงาน ส่วนปุยเมฆไปส่งงานที่ค้างเอาไว้ของวิชาเคมี
ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์ทำให้เธอที่กำลังเดินอยู่บนทางเท้าในโรงเรียนหยิบออกมาจากกระโปรงนักเรียนเพื่อรับสาย
“คะแม่”
(มะ…มิราลูก อย่าเพิ่งกลับบ้านมานะ)
น้ำเสียงสั่นเครือของแม่ทำให้เธอใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม
“เกิดอะไรขึ้นคะแม่”
(ตอนนี้พวกของเสี่ยวิชัยอยู่หน้าบ้าน พวกนั้นพยายามพังประตูเข้ามา แม่คิดว่าคงมาทวงหนี้ มิราอย่าเพิ่งกลับบ้านนะ)
“แล้วแม่ล่ะคะ”
(ไม่ต้องห่วงแม่ ทำตามที่แม่บอกนะลูก)
สายถูกตัดลงไปดื้อๆ เธอเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากระโปรง กำลังเดินจ้ำอ้าวออกไปจากโรงเรียน แต่ไม่วายมีกลุ่มของวินไทน์มาขวางทาง
“หลีกไป” คนยิ่งกำลังรีบ มาขวางทางอะไรตอนนี้
“จะรีบไปไหน อยู่คุยกันก่อนสิ”
“ไม่ว่าง จะรีบกลับบ้าน” เธอเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่กลับถูกวินไทน์กระชากแขนกลับมา
หมับ!
“บอกว่าให้อยู่คุยกันก่อน”
“เอาไว้วันหลัง วันนี้ต้องรีบกลับบ้าน” ท่าทางรีบร้อนและแววตาดูเป็นกังวลกับอะไรบางอย่างของมิราทำให้วินไทน์แปลกใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ลากมิรามายังจุดที่ไม่มีคน
“คิดจะทำอะไรของนายวินไทน์ ฉันบอกว่าจะรีบกลับบ้าน”
“ฉันต้องเคลียร์กับเธอเรื่องเมื่อตอนกลางวัน”
“ไว้ค่อยเคลียร์กันคราวหลัง” เธอกำลังหมุนตัวเดินออกไป แต่แล้วก็เกิดเหตุการ์ไม่คาดฝัน
พรึ่บ!
วินไทน์จะดึงคอเสื้อมิรา แต่ดันพลาดไปดึงสร้อยคอของเธอจนขาดออกจากกัน มิรามองสร้อยในมือคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ
นั่นเป็นสร้อยคอที่แม่ให้เป็นของขวัญวันเกิด…
“ทำบ้าอะไรของนายวินไทน์!”
“ก็บอกดีๆ แล้วเธอไม่ยอมเอง ช่วยไม่ได้” วินไทน์พูดอย่างไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำ
มิราแย่งสร้อยจากมือวินไทน์มา ดวงตากลมโตที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาทำให้อีกฝ่ายชะงักลงไปทันที
“ฉันเกลียดนาย” พูดจบแล้วเธอก็เดินออกไปจากตรงนี้ทันที เพื่อนของวินไทน์ไม่ได้ขวาง เพราะไม่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าแก๊ง
“ไอ้คนบ้า…” เธอนั่งบ่นอุบคนเดียวบนรถแท็กซี่ มองสร้อยในมือที่ขาดจากฝีมือวินไทน์ด้วยความเสียใจ
•••
“แม่!” เธอรีบวิ่งปรี่ไปหาคนเป็นแม่ซึ่งกำลังเก็บกวาดบ้านที่เละตุ้มเป๊ะจากฝีมือคนของเสี่ยวิชัย แก้มแม่มีรอยแดงๆ จากฝ่ามือเหมือนคราวก่อนอีกแล้ว…
“พวกมันทำร้ายแม่เหรอ”
“แม่ไม่เป็นไรมิรา”
“ไหนเสี่ยวิชัยบอกว่าจะให้เวลาเราสองอาทิตย์ไง แล้วทำไมถึงผิดสัญญา…”
“เสี่ยวิชัยไม่ยอม เขาบอกเราว่า ให้เวลาถึงวันมะรืนนี้ ถ้าไม่จ่ายทั้งต้นและดอก พวกเราเตรียมหาที่นอนใหม่ได้เลย”
“หนี้ตั้งครึ่งล้าน จะหาจากไหนทัน” เคยได้ยินว่าที่ดินแปลงนี้ถูกใจเสี่ยวิชัย และทางนั้นคงอยากได้มากถึงให้เวลาเธอกับแม่เพียงแค่สองวัน เพราะรู้ว่าหาเงินก้อนนี้ไม่ได้แน่ๆ
นี่มันเวรกรรมอะไร ทำไมต้องมาชดใช้ในสิ่งที่ไม่ได้ก่อขึ้นมาด้วย…
“เราหาที่อยู่ใหม่เลยดีกว่าไหมมิรา เก็บเงินก้อนนั้นที่เรามีเอาไว้รักษาเมฆ ส่วนบ้านหลังนี้…”
“หนูจะไม่ยอมทิ้งบ้านหลังนี้เด็ดขาด บ้านหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา มีความทรงจำมากมายของคุณตาและคุณยาย หนูจะไม่ยอมให้ใครมาเอามันไปจากเรา”
“ใช่ บ้านหลังนี้มีความทรงจำมากมาย แต่เราจะหาเงินก้อนนั้นจากไหนได้ภายในสองวัน”
นั่นน่ะสิ จะหาเงินก้อนนั้นจากที่ไหนได้ภายในสองวัน ขณะกำลังคิดหาหนทาง จู่ๆ ใครบางคนก็ผุดเข้ามาในความคิดของเธอทั้งที่ไม่ได้นึกถึง
คาร์มิน…
เขากำลังอยู่ในความคิด ที่กำลังหาทางออกของเธอ
“เดี๋ยวหนูมานะแม่” เธอเดินออกมานอกบ้าน หยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาเจ้มอลลี่
(ว่าไงมิรา)
“เจ้มอลลี่คะ หนูมีเรื่องอยากให้ช่วย”
(เรื่องอะไรเหรอ?)
“เจ้มอลลี่พอจะมีเบอร์ของคุณคาร์มินไหมคะ”
(ทำไมเหรอ?)
เธอเชื่อว่าระดับเจ้มอลลี่ต้องมีเบอร์ติดต่อเขาอย่างแน่นอน
“คือ… เมื่อคืนเขาช่วยมิราไว้ เลยอยากให้ของตอบแทนเป็นการขอบคุณเขาน่ะค่ะ” โกหกไม่เนียนเอาเสียเลยยัยมิราเอ๊ย ช่างเถอะ ภาวนาขอให้เจ้มอลลี่ให้เบอร์เขากับเธอด้วยเถอะ
(โอเคๆ เดี๋ยวเจ้ส่งให้ทางไลน์นะ)
“ขอบคุณนะคะ”
ติ้ง…
วางสายได้ไม่นาน เจ้มอลลี่ก็ส่งเบอร์ของคาร์มินเข้ามาในไลน์
สายตามองเบอร์คาร์มินและปุ่มสีเขียวโทรออก เริ่มไม่อยากโทรหาเขาแล้วสิ เมื่อคืนทำวีรกรรมไม่น่ารักกับเขาไว้เยอะสมพอควร แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้
เขาคือที่พึ่งสุดท้ายของเธอ…
เธอกดโทรออกเรียบร้อย รอสายสักพักเขาก็รับ
(ฮัลโหล)
เสียงเข้มคุ้นเคยที่ดังเข้ามาในหู ทำหัวใจเธอเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบกลับปลายสาย
“สะ…สวัสดีค่ะ หนูเองนะคะ มิรา จำหนูได้รึเปล่า”
เขาเงียบลงไปพักใหญ่ เริ่มใจคอไม่ดี กลัวเขาตัดสายทิ้งแล้วสิ
(อืม จำได้)
การคุยกับเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งตื่นเต้นและกลัวในเวลาเดียวกัน
“เอ่อ… คือว่า หนูโทรมากวนคุณรึเปล่าคะ?”
(ไม่ พูดธุระของเธอมา)
เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอีกครั้ง ก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดในสิ่งที่เตรียมไว้
“วันนี้ว่างไหมคะ หนู… หนูขอเจอคุณได้ไหม”
(…) ปลายสายเงียบอีกครั้ง
“คือหนูมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับคุณ แต่ถ้าคุณไม่สะดวก ก็ไม่เป็นไร…” หมดหวังแล้วมิรา ถ้าเธอเป็นเขาก็คงไม่อยากเจอคนที่ทำตัวไม่น่ารักใส่ตัวเองหรอก
(ได้…)
เธอยิ้มทันที
(แต่ฉันจะเป็นคนเลือกสถานที่นัดเจอ)
รอยยิ้มเลือนหายทันทีกับประโยคถัดมาของเขา
(ถ้าไม่ตกลง ก็ไม่ต้องเจอ)
“ดะ…ได้ค่ะ หนูให้คุณเลือกสถานที่นัดเจอก็ได้” เธอรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว
(ดี เอาเบอร์แอดไลน์มา จะส่งสถานที่นัดเจอให้)
“ค่ะ” เธอตอบรับสั้นๆ ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายวางสายไป
ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว คาร์มินคือทางออกสำหรับเธอ ต่อให้แลกด้วยอะไร… เธอก็ยอม
“เดินระวังนะครับ”“เบบี๋ประคองหนูทั้งวันแล้วนะ ให้หนูเดินเองเถอะ”“ไม่ได้ ท้องหนูโตมากแล้ว ให้เฮียประคองเนี่ยแหละดีแล้ว”เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ ต่อให้ท้องไม่โตใกล้คลอดเขาก็เดินประคองทุกวันอยู่แล้ว อาทิตย์หน้าก็ถึงกำหนดคลอดลูก บอกตามตรงว่าตื่นเต้นและกลัวในเวลาเดียวกัน ไม่เคยมีประสบการณ์คลอดลูกมาก่อน ค้นกูเกิลเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะมาก ซึ่งหลายคนบอกไม่เหมือนกันเลยสักคนคาร์มินประคองมิรามานั่งลงโซฟา ชายหนุ่มถอดรองเท้าออกให้ การกระทำของคนตัวโตเรียกรอยยิ้มจากภรรยาสาวได้ไม่ยากอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นเขาทำแบบนี้ให้“ขอบคุณเบบี๋นะคะ”คาร์มินเงยหน้าขึ้นมองภรรยาสาว“เบบี๋ดูแลหนูดีมากเลย ไม่คิดว่าชีวิตนี้หนูจะได้เจอผู้ชายแบบเบบี๋” แม้จุดเริ่มของความสัมพันธ์ไม่ได้ดีมากนัก ทว่าตอนจบของเรื่อง…เชื่อว่ามันสวยงามเสมอคุณคาร์มินดีกับเธอมากจริงๆ เขาดูแลและเอาใจใส่ในทุกเรื่อง แถมยังรู้ด้วยว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไร ถ้าหากวันนั้นเธอกับเขาไม่ได้เจอกัน ก็คงไม่มีวันนี้“หนูรักเบบี๋นะคะ”“รักเหมือนกันครับ” เขามองมิราแล้วยิ้ม ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปสวมกอดเธอเอาไว้ด้วยความรักถ้าหากรู้ว่าจะรักมิรามากขนาดนี้ คงขอเธอเป็นแฟนไ
วันแต่งงาน “สวยจังเลยลูกสาวแม่” มะลิพูดกับลูกสาวในชุดเจ้าสีขาวสะอาดตาสวยงามด้วยรอยยิ้มและแววตาที่ปลื้มปิติจากเด็กน้อยในวันนั้นสู่เจ้าสาวในวันนี้…วันและเวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ เผลอแป๊บเดียวมิราโตเป็นสาวแล้ว ความฝันของคนเป็นแม่ไม่ได้มีอะไรมากมายเลย แค่อยากเห็นลูกสาวได้เจอคู่ชีวิตที่ดีและได้อุ้มหลานเส้นทางแห่งการก้าวสู่คำว่า ‘สร้างครอบครัว’ คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมิราและคาร์มิน หวังว่าทั้งสองคนจะจับมือกันผ่านอุปสรรคต่างๆ ในอนาคตไปได้ จะคอยดูลูกสาวเติบโตอยู่ไม่ไกล หันมาเมื่อไหร่ก็ยังเจอ“แม่ก็สวยเหมือนกันค่ะ”“ปากหวานจริงๆ เด็กคนนี้”“คิก แม่ว่าคนอื่นจะมองหนูยังไงบ้างคะ เพราะหนูอายุสิบแปด แต่กำลังแต่งงาน”“อีกไม่กี่เดือนลูกสาวแม่ก็สิบเก้าแล้วนะ” มะลิพูดเย้าแหย่ให้ลูกสาวไม่เครียด“มิราไม่ต้องสนใจสายตาคนอื่นหรอกว่าจะมองยังไง วันนี้หนูเป็นนางเอกของงาน สวยที่สุดในนี้ ต่อให้ลูกสาวแม่แต่งงานตอนอายุสิบแปดมันก็ไม่เห็นแปลกอะไรเลย เพราะมิราบรรลุนิติภาวะแล้ว อีกอย่าง ความคิดและทัศนคติของลูกยังเหมือนผู้ใหญ่คนนึง”“…”“หากตัดเรื่องอายุออกไป ลูกสาวแม่ก็เหมือนผู้ใหญ่คนนึงเลยแหละ เพราะฉะนั้นมิราไม่ต
วันรับปริญญาคาร์มินในชุดครุยรับปริญญากำลังยืนถ่ายรูปกับกลุ่มเพื่อนสนิท สายตาคมเข้มมองหาใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย มีเพียงครอบครัวตัวเองและของเพื่อนสนิทเท่านั้น เมื่อเช้ามิราโทรมาบอกว่าอาจจะไม่ได้เข้าไปเพราะติดธุระสำคัญวันนี้เป็นวันสำคัญแต่คนสำคัญกลับยังไม่มา พอมองดูรอบข้างเห็นคิมหันต์และอนาคินกำลังถ่ายรูปคู่กับแฟนสาวมันกลับทำให้เขารู้สึกเศร้าขึ้นมารู้ว่ามิราติดธุระของตัวเอง ทว่าวันสำคัญทั้งที ก็อยากให้เธอได้อยู่ตรงนี้ด้วยกัน“มิราไม่มาเหรอวะ” ลูคัสเดินเข้าไปถามคาร์มิน“ไม่แน่ใจวะ เห็นบอกว่าวันนี้ต้องไปทำธุระสำคัญ”“เดี๋ยวก็มา” เพื่อนสนิทตบไหล่เบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาครอบครัวตัวเองส่วนคาร์มินก็เดินเข้าไปหาพ่อ แม่ และน้องสาว“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะพี่คาร์มิน” คาร์เทียร์เอ่ยถามพร้อมกับอมยิ้ม แม้รู้อยู่แล้วว่าสาเหตุที่ทำให้พี่ชายทำหน้าหงอยแบบนี้มาจากอะไรเพราะว่าพี่สะใภ้ไม่อยู่ตรงนี้ยังไงล่ะ เลยทำให้แมวเย็นแถวนี้กลายเป็นแมวหงอย“พี่สะใภ้ของเทียร์ยังไม่มาเหรอคะ”“นั่นนะสิ ตั้งแต่มาถึง แม่ยังไม่เห็นหนูมิราเลย”“วันนี้มิราติดธุระสำคัญครับ ไม่รู้ว่าจะเสร็จตอนไหน บางทีอาจจะไม่ได้มา”“ลอง
“เบบี๋~ หนูมาแล้ว~” เสียงใสคุ้นเคยดังเข้ามาในโสตประสาทชายหนุ่มที่กำลังวุ่นวายอยู่กับงานตรงหน้า ความเครียดตึงเหมือนสมองบีบรัดแน่นหายไปในพริบตา เมื่อได้เห็นรอยยิ้มสดใสของแฟนสาวและเป็นคนเดียวกับ…แม่ของลูก“ซื้อของกินมาฝากด้วยค่ะ” คนตัวเล็กในชุดสบายๆ ชูถุงของกินเต็มสองมือขึ้นต่อหน้าคาร์มิน“ไปชอปปิงกับคาร์เทียร์สนุกไหม” วันนี้เขาออกมาบริษัทตั้งแต่สิบโมงเช้า ทำให้มิราต้องอยู่เพนท์เฮาส์คนเดียว ตอนแรกแอบกังวลว่าเธอจะเหงาหรือเปล่า โชคดีวันนี้คาร์เทียร์โทรมาขออนุญาตพามิราไปชอปปิงเป็นเพื่อน เขาเลยอนุญาตให้ไป เพราะไม่อยากปล่อยแฟนไว้คนเดียว“สนุกมากเลยค่ะ น้องสาวเบบี๋ชวนคุยเก่งมาก แถมยังพาหนูไปกินของอร่อยๆ เยอะแยะเต็มไปหมดเลย”“หึ เฮียดีใจนะที่เห็นหนูมีความสุข” คงสนุกเที่ยวเลยล่ะ ทั้งมิราและคาร์เทียร์มีอะไรหลายอย่างคล้ายกันมาก แตกต่างกันอยู่แค่ไม่กี่อย่าง“ยิ้มแบบนี้เยอะๆ นะครับ” รอยยิ้มของมิราเปรียบเสมือนยาชูกำลัง เห็นแบบนี้ทุกวันทำให้เขาหายเหนื่อยกับอะไรหลายๆ อย่างที่ทำมาทั้งวันเลยล่ะ…“เมื่อกี้เห็นเบบี๋สีหน้าไม่ค่อยดีเลย เป็นอะไรเหรอคะ”“เฮียแค่กำลังโฟกัสกับงาน” เวลากำลังโฟกัสกับอะไร สีหน้าของ
บรรยากาศภายในห้องอาหารของโรงแรมหรูระดับห้าดาวชื่อดังแห่งหนึ่งอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มแห่งความสุข สองครอบครัวได้มาเจอกันเป็นครั้งแรกครอบครัวคาร์มินให้การต้อนรับครอบครัวมิราเป็นอย่างดี ทั้งหมดร่วมกันรับประทานอาหารเย็นท่ามกลามวิวตึกในยามค่ำคืนของเมืองกรุงเทพมหานครในห้องอาหารส่วนตัววีไอพีคาร์มินเป็นคนนัดทุกคนให้มารวมตัวกันเพื่อบอกเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เจ้าตัวไม่ได้คิดมากอะไร แต่คนที่คิดมากเห็นจะเป็นแฟนสาวมากกว่า เมื่อคืนมิรานอนไม่หลับเพราะเอาแต่เครียดเรื่องนี้ และกลัวอะไรหลายๆ อย่างที่ยังไม่เกิดขึ้น“นัดเจอกันแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้ทำความรู้จักกับครอบครัวหนูมิราด้วย” เสียงนาร์มินพูดแล้วยิ้มให้ครอบครัวมิราอย่างเป็นมิตร“อะไรที่ทำให้ลูกนัดเจอพวกเราพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้” มาร์คินหันไปถามลูกชายด้วยความอยากรู้“ที่ผมนัดทุกคนมาเจอกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาวันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญอยากจะบอกให้ทราบครับ”“เรื่องสำคัญอะไรเหรอ?” มะลิถามคาร์มินหันไปมองหน้ามิราพร้อมกับจับมือเล็กมากุมเอาไว้ แม้คนข้างกายไม่แสดงออกว่ากำลังวิตกกังวล แต่ลึกๆ เชื่อว่าเธอคงกำลังเป็นแบบนั้น“
“เบบี๋~” เสียงใสเจื้อยแจ้วเรียกแฟนมาแต่ไกล มิราเดินมานั่งบนตักอ้อนคาร์มินที่กำลังทำงานอยู่ ทำให้ชายหนุ่มต้องพักงานตัวเองเอาไว้ชั่วคราวเพื่อสนใจแฟนสาวก่อนเป็นอันดับแรก“ว่าไงครับ”“เบบี๋ไม่ปลุกหนูอีกแล้ว”“เฮียเห็นหนูหลับอยู่เลยไม่อยากรบกวน” ช่วงนี้มิรานอนกลางวันบ่อยมาก แถมยังขี้อ้อน และติดเขาแบบสุดๆ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่เธอเป็นอย่างนี้ ชอบมากเลยล่ะ เพราะเมื่อก่อนมิราไม่ค่อยสนใจเขาเท่าไร อยากให้เป็นแบบนี้ไปนานๆ ตลอดไปเลยยิ่งดี…“แต่บางทีการตื่นขึ้นมาโดยไม่เห็นเบบี๋ มันก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน”“บางทีเฮียก็เดินเข้าไปดูหนูอยู่ แต่เห็นนอนหลับสบายเลยไม่กล้าปลุก”“เบบี๋ทำงานอยู่เหรอ?”“ใช่ครับ”“หนูลงไปซื้อชานมไข่มุกนะ เบบี๋จะเอาอะไรไหมเดี๋ยวซื้อมาให้”“ไปคนเดียว?”เธอพยักหน้าเป็นคำตอบ เห็นเขากำลังทำงานอยู่เลยไม่อยากชวนลงไปด้วย“เดี๋ยวเฮียลงไปเป็นเพื่อน”“เบบี๋ทำงานเถอะค่ะ หนูไม่อยากกวน”“เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน”“ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูไปหยิบกระเป๋าตังค์ก่อนนะ”“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเฮียจ่ายให้”“เบบี๋จ่ายค่าชานมไข่มุกให้หนูเกือบทุกวัน หมดไปเยอะแล้วมั้ง ครั้งนี้หนูขอจ่ายเองดีกว่า”“เฮียจะจ่ายให้”“ตามใจเ







