ในยามเช้าของวันใหม่ แสงอาทิตย์อ่อนโยนสาดส่องเข้ามาภายในตำหนัก สายลมเย็นพลิ้วผ่านม่านโปร่งบางนำกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ปลูกไว้ในสวนเข้ามาเติมเต็มบรรยากาศอบอุ่น หลี่หยวนเจ๋อนั่งอยู่บนตั่งใหญ่ โดยมีพระโอรสน้อยอยู่ในอ้อมแขน ใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่มีแต่ความภาคภูมิใจ“หยูเอ๋อร์ ดูสิ เจ้าตัวน้อยกำ
หลี่หยวนเจ๋อรีบจับมือนางแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล “เจ้าเป็นอะไรหรือ เจ็บมากหรือไม่”เหวิ่นจือหยูสูดลมหายใจลึก แล้วบีบมือนั้นตอบ “หม่อมฉัน คิดว่าอาจจะถึงเวลาแล้ว”หลี่หยวนเจ๋อสีหน้าเปลี่ยนทันทีที่เห็นนางอันเป็นที่รักเจ็บ ก่อนที่จะตาเบิกกว้างเมื่อนึกได้ถึงสิ่งที่พระชายาจะสื่อ เขารีบลุกขึ้นยืนพลางส
เหวิ่นจือหยูมองเขา ดวงตาสะท้อนความสุขที่ล้นเอ่อ “แต่หม่อมฉันคิดว่าเขาอาจเหมือนท่าน ทั้งสง่างาม ทั้งอบอุ่น”หลี่หยวนเจ๋อหัวเราะเบา ๆ ขยับเข้าไปใกล้นางอีก “แต่ไม่ว่าเขาจะเหมือนใคร ข้าก็รักเขา และรักแม่ของเขามากกว่าอื่นใดในโลก”คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นจือหยูใจเต้นแรง นางยิ้มเขิน ดวงหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ หลี
ยามค่ำคืนสงบเงียบ ลมเย็นๆพัดผ่านผ้าม่านของตำหนัก เหวิ่นจือหยูเอนกายพิงหมอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง เงาสลัวของโคมไฟทำให้นางดูงดงามราวกับภาพวาด หลี่หยวนเจ๋อเดินเข้ามาด้วยท่าทางอ่อนโยน ในมือของเขามีถ้วยนมอุ่นที่หอมกรุ่น “หยูเอ๋อร์ เจ้าควรดื่มสิ่งนี้ก่อนนอน มันจะช่วยให้เจ้าหลับสบาย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่
หลี่หยวนเจ๋อหัวเราะน้อย ๆ แต่แววตามีแต่ความอ่อนโยน “เสด็จแม่ พวกนางอาจพูดเกินจริงไป เสด็จแม่ก็น่าจะทรงทราบว่าหากไม่ได้ดูแลจือหยูเอง ลูกจะสบายใจได้เยี่ยงไร” ฮองเฮาทรงหัวเราะขัน “เจ้าก็เอาแต่ใจเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก คิดเสียว่าข้าเตือนเล่น ๆ ละกัน” ฮองเฮาทอดพระเนตรทั้งสองด้วยความเอ็นดู “เช่นนั้นข้าก็ไม
“หยูเอ๋อร์ เจ้าเหนื่อยหรือไม่ วันนี้ข้าเห็นเจ้าต้องเดินเยอะอยู่นะ” เสียงทุ้มดังขึ้นในค่ำคืนที่เงียบสงบ มีเพียงแสงจันทร์นวลลอดผ่านหน้าต่างห้องบรรทมเข้ามา เหวิ่นจือหยูนั่งพิงหมอนสูงบนตั่งยาวในห้องบรรทมของตำหนัก ข้างกายมีเหยาเหยาและหลิ่วหลินคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ดวงหน้าของนางเปล่งประกายอ่อนโยน ใบหน้าที่