พิธีหมั้นจัดขึ้นในพระราชวังอย่างสมพระเกียรติ บรรยากาศเต็มไปด้วยความหรูหราและกลิ่นอายแห่งอำนาจ เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงจากทั่วทั้งราชสำนักต่างมาร่วมเป็นสักขีพยานในงานสำคัญนี้ เหวิ่นจือหยูนั่งเคียงข้างองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ รู้สึกเหมือนตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในห้องโถงใหญ่
องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อนั่งนิ่งขรึม ราวกับกำแพงน้ำแข็งที่ไม่มีสิ่งใดสามารถแทรกซึมผ่านได้ ดวงตาเย็นชาของพระองค์มองทอดไกล ไม่แยแสกับทุกสิ่งรอบตัว ท่ามกลางบรรยากาศที่เคร่งขรึมนี้ เหวิ่นจือหยูรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับบนบ่า โดยเฉพาะสายตาของเหวิ่นลี่หยาที่นั่งอยู่ไม่ไกล ส่งผ่านความหมายบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ
องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อมองมาที่เหวิ่นจือหยูผ่านหางตา เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ความเย็นชาแผ่กระจายออกมาจากร่างสูง ทำให้เหวิ่นจือหยูรู้สึกอึดอัดอย่างมาก เหมือนถูกทิ้งไว้กลางพายุหิมะ
พิธีหมั้นดำเนินไปอย่างราบรื่น ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นตามแผนราชประเพณีที่ถูกกำหนดไว้ แต่ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้น เหวิ่นลี่หยาลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ บรรยากาศเงียบงันลงอย่างกะทันหัน
เหวิ่นลี่หยายิ้มหวานและคุกเข่าต่อหน้าองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อด้วยท่าทางที่ดูอ่อนโยน นางกล่าวด้วยเสียงที่สั่นคลอเล็กน้อย
“องค์ชาย หม่อมฉันขอถามพระองค์ด้วยความสัตย์จริง พระองค์คิดว่าท่านพี่ของหม่อมฉันสมควรเป็นพระคู่หมั้นของพระองค์หรือเพคะ นางเพิ่งฟื้นจากอุบัติเหตุ ยังอ่อนแอ และอาจไม่เหมาะสมกับภาระเช่นนี้”
ทุกคนในงานต่างตื่นตะลึงต่อความกล้าหาญของเหวิ่นลี่หยาที่กล้าขัดพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ความเงียบครอบคลุมทั่วทั้งห้องโถง เหวิ่นจือหยูยืนนิ่ง เผชิญหน้ากับความอับอายที่ถูกโยนใส่ต่อหน้าสาธารณชน เหวิ่นลี่หยาที่ต้องการสร้างความลำบากใจให้องค์ชาย
องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อปรายตามองเหวิ่นลี่หยาด้วยความเรียบเฉย รู้ทันทีว่านางพยายามทำอะไร เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงเรียบ
“การหมั้นนี้เป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ ข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธมัน แต่ข้าเชื่อว่าสิ่งที่ข้ารู้สึก จะต้องได้รับการพิสูจน์ในวันข้างหน้า เจ้าอยากทักท้วงอะไรก็ไปทูลกับพระองค์เอง ข้าเพียงทำตามหน้าที่” น้ำเสียงของเขาไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ไม่ไกล กล่าวเสียงเย็นเยียบ “บังอาจ เหวิ่นลี่หยา เจ้าเป็นเพียงธิดาขุนนาง กล้ามากที่มาขัดขวางพิธีราชวงศ์เช่นนี้”
เหวิ่นลี่หยาหน้าซีด นางรีบก้มศีรษะ “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจขัดขวางเพคะ เพียงแต่…”
“ครั้งนี้ข้าจะเห็นแก่งานมงคลของพี่สาวเจ้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง ขุนนางเหวิ่นเอาบุตรสาวผู้นี้ของเจ้าออกไปจากงานพิธีเดี๋ยวนี้” ฮ่องเต้ขัดขึ้นเสียงดังยิ่งกว่าเดิม
เหวิ่นจวิ้นอี้จำต้องลุกขึ้นมาลากบุตรสาวคนเล็กและให้เฉียนอี้หรงผู้เป็นมารดาพาออกจากงาน ท่ามกลางสายตาประณามของทุกคน พิธีดำเนินต่อจนเสร็จสิ้น
เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวสำคัญมาถึงหูเหวิ่นจือหยู พระราชโองการจากฮ่องเต้มีรับสั่งให้เร่งจัดงานอภิเษกสมรสระหว่างนางกับองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อภายในหนึ่งเดือน กงกงจากวังหลวงนำพระราชโองการมาแจ้งอย่างเป็นทางการ
“คุณหนูเหวิ่น ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้เร่งงานแต่งงานของท่านให้เสร็จสิ้นโดยไว”
ข่าวนี้ทำให้นางแทบทรุดลงไปกับพื้น แต่วาดรวีเพิ่งเริ่มต้นปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ในร่างของเหวิ่นจือหยู และยังไม่อยากจะแต่งงานกับองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อเลย ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ยังคงตึงเครียดและห่างเหิน แต่ตอนนี้นางกลับต้องเผชิญกับงานแต่งงานที่เร่งด่วนโดยไม่ทันตั้งตัว นางรู้ดีว่าการแต่งงานกับองค์ชายไม่ใช่เพียงแค่พิธีการเท่านั้น แต่เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเหวิ่นและราชวงศ์ และนางต้องเป็นพระชายาที่เขาไม่ปรารถนา
“ทำไมฮ่องเต้ถึงเร่งงานแต่งงานขนาดนี้” วาดรวีคิดในใจ นางสงสัยว่ามีเหตุผลอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังหรือไม่
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เหวิ่นจือหยูถูกเรียกให้ไปพบองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อในสวน นางเดินตรงไปยังตำหนักอย่างระมัดระวัง และพบว่าร่างสูงยืนอยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่ ใบหน้าของหลี่หยวนเจ๋อเคร่งขรึมราวกับกำลังครุ่นคิด
“เจ้าคงได้ยินข่าวแล้ว” เสียงขององค์ชายทำลายความเงียบโดยไม่ทักทาย
“เพคะ” นางตอบเบาๆ สบตากับพระองค์ที่หันมามอง
“หม่อมฉันเพิ่งได้รับพระราชโองการเมื่อเช้านี้”
หลี่หยวนเจ๋อเบือนหน้าหนีไปมองท้องฟ้า “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเสด็จพ่อถึงเร่งเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ข้ายังไม่พร้อมจะแต่งงาน เจ้าคงไม่ได้เล่นไม่ซื่อให้ขุนนางเหวิ่นเข้าไปเร่งรัดใช่หรือไม่”
คำกล่าวหานั้นเหมือนตบหน้านางอย่างแรง เหวิ่นจือหยูกลั้นความเจ็บปวดไว้ “หม่อมฉันจะทำเช่นนั้นทำไม หากเป็นไปได้ ข้าก็ไม่อยากแต่งงานกับท่านเช่นกัน”
“งั้นหรือ” หลี่หยวนเจ๋อหันกลับมาด้วยสายตาเย็นชา
“ข้าไม่เชื่อในคำพูดของเจ้า ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ข้าก็ยังไม่เห็นสิ่งใดที่ทำให้เจ้าคู่ควร”
นางเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หากเป็นเช่นนั้น องค์ชายก็ควรไปทูลขอฝ่าบาทยกเลิกการแต่งงานเสียเถิด ถ้าท่านสามารถหม่อมฉันก็จะฉลองล่วงหน้าที่ไม่ต้องแต่งงาน”
คำตอบของนางทำให้องค์ชายถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “เราคงไม่อาจฝืนพระราชโองการได้ แต่จำไว้ว่า จนกว่าจะถึงวันนั้น ข้าจะไม่ยอมรับเจ้าในฐานะพระชายา จนกว่าข้าจะเห็นว่าเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ”
“หม่อมฉันว่าพระองค์ไม่ได้รู้จักหม่อมฉันดีพอเลย ท่านเอาแต่ฟังความจากลี่หยาคนรักของท่าน ท่านโปรดรู้ไว้เถิดว่าหม่อมฉันก็ไม่อยากแต่งงานกับคนเขลา”
“เจ้า…”
คำพูดนั้นเหมือนเป็นดาบสองคมแทงลงในใจของเหวิ่นจือหยู และองค์ชายที่ต่างคนต่างถือทิฐิต่อกัน ต่างคนต่างแต่งงานโดยที่ไม่ได้รักกัน เหวิ่นจือหยูรู้ดีว่านางต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการพิสูจน์ตัวเอง แม้ว่าทางเดินข้างหน้านี้จะยากลำบากเพียงใด