“มึงคิดว่าพวกกูไม่รู้เหรอ เป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้วไหม ที่พวกกูไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่รู้ แค่ไม่อยากพูดทำลายกำลังใจของมึง”
“งั้นเจ้าตัวเขาจะรู้เปล่าว่ะ”หรือว่าวันนี้ที่เขามองเธอแปลกไปเพราะเขาเองก็รู้เหมือนกันว่าเธอแอบชอบเขา ไม่ใช่เพื่อนในกลุ่มที่เขาแกล้งบอกเธอ “น่าจะไม่รู้นะ พวกกูเองก็เพิ่งรู้ตอนจะจบปีสองแล้ว กูสงสัยว่าทำไมใครมาจีบมึง ถึงไม่โดนใจมึงสักคน หล่อ รวยระดับไหน มึงก็เมินเฉยกับเขา บวกกับมึงชอบให้กลุ่มเรานั่งใกล้กับกลุ่มโซลทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเวลาเรียนหรือเวลานั่งเล่นใต้อาคารเรียน” “แค่นี้เหรอ แล้วทำไมมึงถึงคิดว่าเป็นโซลล่ะที่กูชอบ” “สายตามึงมองแค่คน ๆ เดียว เด็กอนุบาลก็ต้องรู้เปล่าว่ะ” “….” “กูจะบอกไรให้นะ ตอนปีหนึ่งกูเคยเห็นโซลมันพาผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นคอนโดมันบ่อย ๆ นะ แต่สักพักผู้หญิงคนนั้นก็มาเป็นแฟนยีนส์ แล้วหลังจากนั้นก็เหมือนที่พวกเราสงสัย กลุ่มของพวกมันแยกเป็นสองกลุ่ม เหมือนมีเรื่องทะเลาะกัน เพิ่งจะกลับมาดีกันปีที่แล้วใช่ไหม หรือกูจำผิด” “เรื่องนี้กูรู้แล้ว มึงเคยบอกแล้ว จะบอกกูอีกทำไม”ใยไหมทำหน้างอที่เพื่อนพูดเหมือนย้ำความรู้สึกเธอ “ไม่ใช่เรื่องนี้ กูแค่ย้อนไปนิด เรื่องที่กูจะบอกคือหลังจากนั้นก็เห็นโซลมันควงผู้หญิงบ่อย ๆ นะ แต่มึงรู้ไหม กูได้ยินมาว่าไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนได้ขึ้นคอนโดมันอีกเลย” “มึงอยากบอกอะไรกูกันแน่ว่ะ บอกมาตรง ๆ เลยเถอะ ตอนนี้กูปวดหัวไปหมดแล้ว” “โธ่…เรื่องแค่นี้ทำไมมึงเดาไม่ถูก ก็แปลว่าผู้หญิงคนนั้นต้องมีความหมายกับมันมากไง ที่มันพาขึ้นคอนโดได้” พูดไปพูดมา ใยไหมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเพื่อนต้องการจะสื่อถึงอะไร อีกอย่างตอนนั้นเอวาก็อยู่คอนโดเดียวกับโซลเลยเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่เพื่อนย้ายมาอยู่คอนโดนี้ตอนปีสองเลยอาจจะไม่เห็นก็ได้เวลาเขาพาผู้หญิงคนอื่นขึ้นคอนโด “มึงงงล่ะสิ ว่ากูรู้ได้ยังไง?” “นี่มึงอ่านใจกูได้เหรอเอวา มึงทำแบบนี้กูเริ่มกลัวแล้วนะ” “กูเพื่อนมึงไงล่ะ นั่งหัวคิ้วชนกันขนาดนี้ กูคงโง่มากมั้ง จะบอกอะไรให้มึงหายโง่แล้วกัน กูได้ยินพวกผู้หญิงที่มันเคยควงพูดกันในห้องน้ำ แล้วไม่ใช่คนสองคนนะ ทุกคนที่โซลมันเคยควงด้วย” “นี่มึงเสือกเรื่องคนอื่นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เอวา” “ก็เพราะเพื่อนกูแอบชอบมันยังไงล่ะ หูกูเวลาได้ยินชื่อนี้ทีไร มันเลยกระดิกอยากจะเสือกแทนมึงทุกที ทีนี้มึงเข้าใจกูหรือยังอีไหม” “สรุปที่มึงต้องการจะบอกกูคือโซลชอบผู้หญิงคนนั้นเหรอ คนเดียวกับที่เป็นแฟนยีนส์ตอนปีหนึ่งใช่ไหม” เอวาถอนหายใจออกมา ก่อนจะพยักหน้า“กว่าจะเข้าใจนะมึง” “กูเข้าใจมานานแล้ว ต่อให้เขาไม่มีคนที่ชอบ กูก็ไม่มีวันเป็นคนในใจเขาหรอก” “คิดได้แล้วทำไมไม่เลิกชอบมันสักทีว่ะ มึงไม่เหนื่อยเหรอที่รักใครข้างเดียว” “กูก็กำลังพยายามอยู่นี่ไง” “เหอะ…พยายาม"เอวากรอกตามองบนเหมือนไม่เชื่อ"ข้ามเรื่องนี้ไปเถอะ มาเรื่องของมึงตอนนี้ดีกว่า ตกลงจะเอายังไง?” ตอนนี้เธอดูเหมือนคนลังเลและสับสนว่าจะเดินหน้าต่อเรื่องเป็นของเดิมพันดีหรือเปล่า แต่ทว่าในใจเธอตอนนี้มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ ยิ่งเอวาพูดเรื่องของโซลขึ้นมา มันทำให้เธออยากตัดใจจากเขาให้ได้เร็ว ๆ “กูขอนอนก่อนได้ไหมว่ะ พรุ่งนี้เรียนเช้าอีก ตอนนี้กูง่วงมากเลย”เธอทำทีลุกขึ้นเมื่อโดนเพื่อนกดดันด้วยสายตา “ก็ดี จะได้ให้อีนับกับอีหม่อนช่วยตัดสินใจด้วย” เช้าต่อมา ใยไหมปิดเครื่องโทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นที่เธอออกจากบ้านจนถึงตอนนี้ เธอแค่คิดว่าพ่อจะโทรหาเธอบ้างไหม โทรมาตามเธอกลับบ้านบ้างหรือเปล่า แต่ทว่าเมื่อเปิดโทรศัพท์ เสียงแจ้งเตือนก็เข้ารัว ๆ ทันที ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง! ซึ่งข้อความก็เป็นของเพื่อนเธอที่ส่งมาถามไถ่เรื่องที่เธอออกจากบ้าน น่าจะเป็นเอวาที่บอกทุกคน ส่วนอีกข้อความก็เป็นของพ่อเธอจริง ๆ ที่เธอยังไม่กล้ากดเปิดอ่าน ไม่รู้ว่าพ่อส่งข้อความอะไรมาหาเธอ “ไปเรียนได้แล้วอีไหม”เสียงเอวาเรียกสติของใยไหมให้กลับมา เธอกดปิดหน้าจอแล้วเก็บโทรศัพท์เข้าในกระเป๋าทันที ตอนนี้เธอยังไม่พร้อมอ่านข้อความของพ่อ ไม่รู้ว่าที่ท่านส่งมาจะเป็นข้อความแบบไหน จะเป็นห่วงเธอหรือส่งมาต่อว่าเรื่องที่เธอทำแม่เลี้ยงล้มหน้าขมำแบบนั้นหรือเปล่า “ทำไม? พ่อมึงส่งข้อความมาเหรอ”เอวาเลิกคิ้วถามเชิงสงสัย เห็นเพื่อนนั่งจ้องโทรศัพท์อยู่ตั้งนาน แต่เจ้าตัวกลับเก็บไว้ในกระเป๋าเหมือนไม่สนใจ “อืม แต่กูยังไม่อยากอ่านว่ะ คงจะส่งมาต่อว่าเรื่องที่กูทำแม่เลี้ยงนั่นแหละ” “คิดมาก เขาอาจจะเป็นห่วงมึงก็ได้ ยังไงมึงก็ลูกในไส้เขานะ จะไม่เป็นห่วงเลยเหรอ” เธอก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้ทำไมลางสังหรณ์เธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยยังไม่พร้อมจะเปิดอ่านตอนนี้ เดี๋ยวเธอจะยิ่งเครียดจนเรียนไม่รู้เรื่อง ยังไงวันนี้เธอต้องหาทางออกให้ตัวเองให้ได้ แต่ทว่าเมื่อมาถึงมหาลัยเธอก็โดนเพื่อนอีกสองคนต่อว่าอย่างหนัก ที่ทำอะไรไม่คิดแบบนี้ รวมถึงเรื่องที่จะไปเป็นของเดิมพันด้วย “กูแค่คิดเอง พวกมึงด่ากูเหมือนว่ากูไปทำแล้วจริง ๆ อย่างนั้นแหละ” นับหนึ่งเหยียดยิ้มใส่เพื่อนอย่างไม่เชื่อ“พอเหอะอีไหม คนแบบมึงไม่ใช่แค่คิดค่ะ กูมั่นใจว่ามึงมั่นใจไปแล้วเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ว่ามึงจะทำ มึงว่าจริงไหมอีหม่อน” “กูก็ว่างั้น ตอนนี้เตือนมึงคงไม่ฟังแล้วใช่ไหม บอกพวกกูมาตรง ๆ เลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องเหนื่อยพูดกับมึงเรื่องนี้อีก” ทั้งสามคนจ้องหน้าเธออย่างคาดคั้นเอาคำตอบ ทำให้ตอนนี้เธอเหมือนผู้ร้ายที่โดนสอบสวนอย่างหนัก จะโกหกก็ไม่ได้ จะบอกความจริงก็ไม่กล้า เลยยังนั่งอ้ำอึ้งอยู่แบบนี้ “พอเหอะ แค่มองหน้ามันกูก็รู้แล้วว่าเราเตือนมันไม่ฟัง”เป็นเอวาที่ละสายตาไปก่อน และพุดออกมาราวกับมานั่งในใจเธออย่างนั้นเลย รู้สึกผิดกับเพื่อนเหลือเกินที่ใจมันยังดื้อและไม่เชื่อเพื่อนแบบนี้ ไม่รู้ทำไมเธอถึงมีความรู้สึกว่ามันต้องเป็นทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่เธอจะทำได้ตอนนี้ “เอาล่ะ ไปขั้นตอนต่อไปเลยดีกว่า มึงรู้แล้วเหรอว่าต้องไปเป็นของเดิมพันที่สนามไหน สนามเถื่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้” “ถ้าเป็นสนามเถื่อนกูจะเชื่อพวกมึง และจะไม่ทำเด็ดขาด” เธอให้คำมั่นเพื่อนออกไป เธอเองก็คงไม่กล้าหาญขนาดไปเป็นของเดิมพันในสนามแข่งเถื่อนแบบนั้นหรอก รู้ทั้งรู้ว่าอันตรายแค่ไหนแต่ก็ยังกล้าไปเสี่ยง “หึ ฟังเหมือนดูดีนะอีไหม แต่มึงอ่ะมันดึงดัน พวกกูเบื่อจะพูดกับมึงแล้ว ไหนมึงลองขอข้อมูลสนามแข่งจากไอ้ลูกติดแม่เลี้ยงมึงมาหน่อยสิ” ใยไหมพยักหน้า หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนหาช่องแชทของคีย์ที่มักจะส่งข้อความมาหยอดเธอในแชทเฟซบุ๊กเป็นประจำ นิ้วเรียวพิมพ์ข้อความที่เธออยากรู้ไปทันที ไม่ถึงสิบวินาทีข้อความก็ได้รับการเปิดอ่าน เหมือนกับว่าอีกฝ่ายอยู่หน้าช่องแชทเธออย่างนั้นแหละ คีย์: บอกแล้วว่าเธอต้องสนใจ ใยไหม: กูยังไม่ได้ตอบตกลง แค่อยากรู้ชื่อสนามที่จะไปแข่ง คีย์: ไม่ใช่สนามเถื่อนหรอกเธอไม่ต้องกลัว ใยไหม: ยืดเยื้อเพื่อ? คีย์: ธนาธิป อินเตอร์เนชั่นเนล เซอร์กิต เมื่อได้คำตอบที่ต้องการเธอก็เก็บโทรศัพท์ทันที ไม่สนใจข้อความของลูกติดแม่เลี้ยงที่ส่งมาหาเธอต่ออีกหลายข้อความ เธอหันมาบอกชื่อสนามกับเพื่อนสามคนทันที ซึ่งเมื่อลองเอาชื่อไปเสิร์ทดูในกูเกิ้ล ก็พบว่าเป็นสนามใหญ่ระดับประเทศ เพิ่งเปิดมาได้ปีกว่า แต่ได้รับความนิยมมาก“เชื่อได้เหรอว่ะ สนามใหญ่ขนาดนั้น จะมีการแข่งโดยเอาผู้หญิงเป็นเดิมพัน”ใบหม่อนส่ายหน้าออกมาทันทีอย่างไม่เชื่อ “จริง กูคิดเหมือนอีหม่อน”นับหนึ่งเสริมทัพด้วยอีกคน ยังเหลือเอวาที่ยังนั่งอ่านข้อมูลของสนามอยู่ สักพักก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเธอ “พวกมึงว่าชื่อเจ้าของหุ้นส่วนคนที่สอง นามสกุลคุ้น ๆ ไหม” ทั้งสามคนก้มลงไปมองหน้าจอโทรศัพท์ของเอวาทันที เป็นใยไหมที่หน้าถอดสีก่อนใครเพื่อน เพราะเธอจำได้ดีว่าเป็นนามสกุลของใคร เธอแอบชอบเขามาเกือบสี่ปีแล้ว ทำไมจะไม่รู้ข้อมูลส่วนตัวของเขาบ้าง อีกอย่างก็เรียนคณะเดียวกันด้วย “นามสกุลคงแค่เหมือนกันแหละ กูยังเคยมีเพื่อนสมัยประถมนามสกุลเหมือนกัน โดยที่ไม่รู้จักกันได้เลย”ใบหม่อนพูดไปตามสิ่งที่เคยเจอมา เธอมองว่าไม่มีทางที่จะบังเอิญขนาดนั้น “ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นนะ”ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เอวาก็คอยมองใยไหมที่ยังนั่งเงียบอยู่ เหมือนสติหลุดออกจากร่างไปแล้ว“มึงคงไม่คิดว่าเขาจะเป็นพี่น้องหรือญาติกับไอ้โซลหรอกนะ” “ปะ เปล่า กูคิดเหมือนอีหม่อน มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง”แม้จะพยายามพูดเพื่อปลอบใจตัวเอง แต่ก็คลางแคลงใจว่าในประเทศนี้นามสกุลบวรกิจวัฒนาจะโหลขนาดนั้นเลยเ
“มึงคิดว่าพวกกูไม่รู้เหรอ เป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้วไหม ที่พวกกูไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่รู้ แค่ไม่อยากพูดทำลายกำลังใจของมึง” “งั้นเจ้าตัวเขาจะรู้เปล่าว่ะ”หรือว่าวันนี้ที่เขามองเธอแปลกไปเพราะเขาเองก็รู้เหมือนกันว่าเธอแอบชอบเขา ไม่ใช่เพื่อนในกลุ่มที่เขาแกล้งบอกเธอ “น่าจะไม่รู้นะ พวกกูเองก็เพิ่งรู้ตอนจะจบปีสองแล้ว กูสงสัยว่าทำไมใครมาจีบมึง ถึงไม่โดนใจมึงสักคน หล่อ รวยระดับไหน มึงก็เมินเฉยกับเขา บวกกับมึงชอบให้กลุ่มเรานั่งใกล้กับกลุ่มโซลทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเวลาเรียนหรือเวลานั่งเล่นใต้อาคารเรียน” “แค่นี้เหรอ แล้วทำไมมึงถึงคิดว่าเป็นโซลล่ะที่กูชอบ” “สายตามึงมองแค่คน ๆ เดียว เด็กอนุบาลก็ต้องรู้เปล่าว่ะ” “….” “กูจะบอกไรให้นะ ตอนปีหนึ่งกูเคยเห็นโซลมันพาผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นคอนโดมันบ่อย ๆ นะ แต่สักพักผู้หญิงคนนั้นก็มาเป็นแฟนยีนส์ แล้วหลังจากนั้นก็เหมือนที่พวกเราสงสัย กลุ่มของพวกมันแยกเป็นสองกลุ่ม เหมือนมีเรื่องทะเลาะกัน เพิ่งจะกลับมาดีกันปีที่แล้วใช่ไหม หรือกูจำผิด” “เรื่องนี้กูรู้แล้ว มึงเคยบอกแล้ว จะบอกกูอีกทำไม”ใยไหมทำหน้างอที่เพื่อนพูดเหมือนย้ำความรู้สึกเธอ “ไม่ใช่เรื่องนี้ กูแค่ย้อนไปนิด
ตอนนี้ในหัวใยไหมว่างเปล่า เธอไม่มีแผนอะไรของชีวิตเลยหลังจากนี้ มันมืดแปดด้านไปหมด ก่อนออกมายังรู้สึกดีใจลึก ๆ อยู่เลยที่หลุดพ้นออกมาได้ แต่ทำไมตอนนี้แค่ไม่กี่ชั่วโมง เธอถึงไร้ทางออกขนาดนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ทางเดียวที่เธอจะอยู่รอดคือเธอต้องมีเงิน ไม่ต้องพูดถึงบัตรเครดิตที่พ่อให้เธอใช้ ป่านนี้ท่านคงระงับการใช้งานไปหมดแล้ว เงินสดเธอมีติดตัวแค่ไม่กี่ร้อย ในธนาคารก็น้อยนิดเพราะเธอไม่เคยเก็บ ได้มาเท่าไหร่ใช้หมดตลอด นึกแล้วก็โมโหตัวเองที่ไม่รู้จักเก็บเงินไว้ใช้ยามจำเป็นบ้าง มือเล็กเลื่อนโทรศัพท์ดูยอดเงินในบัญชีที่มีเพียงหลักพัน มันไม่พอให้เธอดำเนินชีวิตได้เกินหนึ่งอาทิตย์ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเช่าห้อง ที่ไม่รู้ว่าเงินแค่นี้พอจะจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟหรือเปล่า นี่ถ้าพ่อให้รถเธอมาคงจะดีกว่านี้ เธอคงจะเอาไปขายเพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายได้ แต่ก็อย่างว่านะพ่อคงคิดทุกอย่างมาดีแล้ว ท่านต้องการตัดวงจรการดำรงชีวิตทุกอย่างเพื่อให้เธอไปต่อไม่ได้ แล้วซมซานกลับไปหาท่าน พลันในหัวก็ฉายภาพลูกติดของแม่เลี้ยงที่ยืนยิ้มเยาะเย้ยเธอเหมือนผู้ชนะ และเธอกำลังแพ้ ข้อเสนอที่เขาให้มามันเชื่อถือได้แค่ไหนกัน เธอเคยได้ยิ
คีย์ยังเกลี่ยกล่อมเธอไม่เลิก เขามั่นใจว่าเธอต้องเลือกทางนี้แน่นอน เขาวางแผนไว้แล้วว่าจะไปลงแข่งเอาเธอเป็นของเดิมพัน เขาจะเลือกคู่แข่งที่สูสีกับเขาเพื่อเอาชนะและเอาเธอมาเป็นของเขาให้ได้ “มึงออกไปได้แล้ว กูไม่สนใจข้อเสนอเลว ๆ เห็นแก่ได้ของมึง” “มึงไม่ได้ยินที่พ่อมึงตัดขาดกับมึงเหรอ คิดว่าถ้ามึงออกจากบ้านนี้แล้วไปไม่รอด ซมซานกลับมา เขาจะช่วยมึงไหม ทางเดียวที่มึงไม่ต้องเป็นฝ่ายแพ้ คือมึงต้องมีคนดูแล อีกไม่กี่เดือนมึงก็เรียนจบแล้วนิ แค่ไปเป็นของเดิมพันไม่นาน มึงก็ได้ใช้ชีวิตอิสระของมึงแล้วไง" ใยไหมทำเป็นไม่สนใจที่คีย์พูด แต่ทว่าในใจเธอหยุดฟังเขาตั้งแต่คำว่าอีกไม่กี่เดือนเธอจะเรียนจบ ถึงตอนนั้นเธอคงมีทางออกให้ตัวเอง แค่อยากเอาชนะคนเป็นพ่อตอนนี้ ไม่อยากบากหน้ากลับมาให้ท่านสมน้ำหน้า หรือว่าทางนี้คือทางที่เธอต้องเลือกจริง ๆ "มึงออกไปตอนนี้ อย่างมากมึงก็ไปนอนบ้านเพื่อนได้ไม่เกินสองวัน แล้วหลังจากนั้นล่ะ มึงจะไปอยู่ที่ไหน หรือมึงจะไปทำงานพาร์ทไทม์วันละไม่กี่ร้อยส่งเสียตัวเองเรียนล่ะ แบบนั้นก็ได้นะ ถ้ามึงคิดว่าจะอยู่รอดในสังคมนี้ได้" ริมฝีปากหนาดำคล้ำยกขึ้นยิ้มอย่างคนที่เหนือกว่า แม้ภายนอกหญ
นับหนึ่งพาใยไหมมาเอารถที่ผับเสร็จก็รีบกลับไปทันที ส่วนเธอก็ขับรถกลับบ้านด้วยใจที่ห่อเหี่ยว เวลาที่เธอไม่อยากให้ถึงในแต่ละวันมาถึงอีกแล้ว ในชีวิตนี้ตั้งแต่แม่เสียไป เธอก็ไม่เคยมีช่วงเวลากับครอบครัวที่มีความสุขอีกเลย ช่วงเวลาเดียวที่เธอมีความสุขคือช่วงเวลาที่อยู่กับเพื่อน เพราะเธอต้องมาอยู่กับพ่อที่แต่งงานมีภรรยาใหม่ตั้งแต่แม่เธอเพิ่งเสียไปได้เพียงสองเดือน พอจะเข้าใจนะว่าพ่อคงไม่ได้มีความเสียใจหรือรักแม่ของเธอมากพอ และคงเป็นสัจธรรมของชีวิตว่าเราคงไม่สามารถอยู่กับความเสียใจไปตลอด ชีวิตต้องดำเนินต่อไป เธอเองก็ไม่ได้โกรธเคืองพ่อขนาดนั้น หากว่าครอบครัวใหม่ของพ่อไม่ได้มีลูกติดมาด้วย และแถมคนเป็นแม่เลี้ยงก็ไม่ได้รักใคร่ใยดีเธออีกต่างหาก ทุกอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นแสดงออกว่าเอ็นดูเธอ ก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่แสดงต่อหน้าพ่อเธอเท่านั้น เพราะลับหลังพ่อ ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยพูดจาดีกับเธอ มีแต่พูดจาส่อเสียดเธอตลอดเวลา ลูกติดของผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อคีย์ก็ด้วย อายุแก่กว่าเธอสามปี เรียนจบแล้วแต่ก็ยังทำตัวลอยไปลอยมา เที่ยวเล่นดื่มกิน ไร้สาระไปวัน ๆ ชอบแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจ และที่สำคัญลูกติดแม่เลี้ยงคนนี้ชอบพอ
“อืม เธอล่ะ” “ยังไม่มาเหมือนกัน สงสัยเมื่อคืนกลับกันดึกไปหน่อย”ใยไหมตอบเสียงเบา เธอยืนชั่งใจอยู่นานว่าจะเข้ามาทักทายเขาดีไหม เพราะปกติเวลาเจอกันไม่ว่าจะในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียน เราสองคนไม่เคยคุยกันสักคำ อีกอย่างเขาก็เป็นผู้ชายที่ฮอตไม่ใช่เล่น กลัวว่าหากเธอเดินมาทักทายเขาแล้วเขาจะไม่อยากคุยกับเธอ “วิชาอาจารย์โหด คงไม่มีใครกล้าขาดหรอกมั้ง”เธอพูดปลอบใจตัวเอง เพราะเมื่อคืนพวกเธอทั้งกลุ่มนัดไปดื่มกันที่ผับ เผลอลากยาวจนตีหนึ่ง เลยนึกกลัวว่าวันนี้เพื่อนจะลอยแพเธอทิ้งให้นั่งเรียนคนเดียว “ก็ไม่แน่หรอก” “แล้วเพื่อนนายมากันไหมล่ะ”เธอถามถึงเพื่อนเขาบ้าง เพราะตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ยังไร้วี่แววของเพื่อนเขาเหมือนกัน “ไม่รู้เหมือนกัน”โซลตอบเสียงเรียบ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูช่องแชทกลุ่ม ปรากฎว่ายังคงว่างเปล่า ข้อความที่เขาส่งไปยังไม่มีใครเปิดอ่านสักคน ได้แต่คิดในใจว่า.... พวกมันคงไม่ขาดเรียนพร้อมกันขนาดนี้หรอกนะ อย่างน้อย ๆ ไอ้คีรินมันก็ต้องมา มันเป็นคนรักการเรียนยิ่งกว่าอะไร ไม่เห็นเคยขาดเรียนสักครั้ง “หึ ฉันว่าเพื่อนเราสองคนคงไม่มาหรอก” “เธอรู้ได้ไง?” “ปกติฉันจะเห็นคีร