เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาเที่ยงวันรุ่งขึ้นแล้วอันที่จริงซ่งซีซียังคงนอนต่อได้ แต่นางต้องตื่นขึ้นเพราะที่วังได้ส่งพระราชโองการให้ ว่าให้นางเข้าไปในพระราชวังขณะที่แต่งหน้าแต่งตานั้น นางยังหาวอยู่ "เป่าจู ว่านจือและคนอื่นๆ ตื่นหรือยัง?""ยังเลย ยังนอนอยู่" เมื่อคืนเป่าจูนอนบนที่ทั่งนุ่มๆ ในห้องนอนของซ่งซีซี คอยเฝ้าอยู่ข้างกายของคุณหนูตัวเองแล้ว นางรู้สึกสบายใจ"อย่าไปปลุกพวกเขา ปล่อยให้พวกเขานอนอย่างเต็มที่ แม้จะนอนเป็นเวลาสามวันสามคืนก็ไม่ต้องไปสนใจ" ซ่งซีซีรู้ว่าพวกเขาเหนื่อยมากจริงๆ และนางเองก็อยากจะนอนจนถึงวันพรุ่งนี้เสียอีกเป่าจูจัดทรงผมให้นางเรียบร้อย และหยิบปิ่นปักผมที่ประดับอัญมณีออกมาแล้วปักที่ผมของนาง เมื่อเห็นรอยคล้ำหนักของคุณหนู นางก็รู้สึกสงสารในใจ "รับทราบเจ้าคะ ลุงฟู่ก็สั่งไว้เช่นกัน ลุงฟู่บอกว่าเมื่อก่อนที่ท่านผู้บังคับบัญชาและคุณชายน้อยอื่นๆ กลับมาจากสนามรบก็เป็นเช่นนี้ ง่วงนอนมากทีเดียว และหลับได้สองสามวัน""อืม" ซ่งซีซีพยักหน้าและหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ "คนที่มาจากวังนั้นเป็นคนของไทเฮาหรือฮ่องเต้?"เป่าจูส่ายหัว "ไม่ใช่ทั้งนั้น พวกเขามาจากตำหนักของฮองเฮา"ซ่
ซ่งซีซีและเป่าจูรอให้หวงโฮ่วนั่งลง จากนั้นก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าลงเพื่อทำความเคารพ "ซ่งซีซีพาสาวใช้เป่าจูมาคารวะหวงโฮ่วเพคะ"เสียงอันอ่อนโยนของหวงโฮ่วดังมาจากเหนือศีรษะ "คุณหนูซ่งไม่ต้องเกรงใจหรอก ลุกขึ้นเถิด""ขอบพระทัยหวงโฮ่วเพคะ" ซ่งซีซีและเป่าจูลุกขึ้นยืนสายตาหวงโฮ่วมองไปที่ซ่งซีซี นางเคยเห็นคุณหนูตระกูลซ่งคนนี้ครั้งหนึ่ง สวยจนน่าตกใจตอนนี้กลับมาจากสนามรบ สีผิวไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน แต่ไม่ว่าจะมองแวบเดียวหรือมองอย่างละเอียด ก็สามารถเอาชนะสายตาที่เรื่องมากได้ สมกับที่เป็นงหญิงงามล่มเมืองเมื่อนึกถึงฮ่องเต้ที่ขอให้นางถามซ่งซีซีว่าจะยอมเข้าวังหรือไม่ หวงโฮ่วก็รู้สึกขมขื่นในใจ หญิงสาวอย่างซ่งซีซีซึ่งมีทั้งความสามารถและความสวยเข้ามาในวัง กลัวว่าจะได้รับการโปรดปรานอยู่คนเดียว แม้ว่าตำแหน่งฐานะจะไม่สูงไปกว่าตนเองที่เป็นหวงโฮ่วแต่ได้หัวใจของฮ่องเต้ ตัวเองจะข่มลงได้อย่างไร?แต่นางก็เรียบร้อยและมีมารยาทมาโดยตลอด เมื่ออยู่ในตำแหน่งหวงโฮ่วต้องไม่มีความอิจฉาแม้แต่น้อยดังนั้นเพียงแค่ชื่นชมนางด้วยรอยยิ้มและยอมรับต่อความทุ่มเทของนางที่เขตหนานเจียง จึงกล่าวอย่างมีความหมายว่า "แม่ทัพจ้านไม
หลังจากออกจากตำหนักฉางชุน ขณะออกจากพระราชวังก็ได้พบกับเซี่ยหลูโม่เขาดูเหมือนจะเมาค้างและยังไม่ฟื้น สีหน้าแย่มาก เขายังสวมชุดออกรบที่กลับเมืองหลวงเมื่อวานนี้ เต็มไปด้วยเลือด จากระยะไกลก็ได้กลิ่นเหงื่อที่คุ้นเคยร่างเพรียวของเขาพิงประตูวังสีแดง ผมยุ่ง ๆ ของเขากลับเรียบร้อยขึ้นมาก สวมมงกุฎสีทองและปักหยก แต่ชุดออกรบที่ขึ้นสนิมนี้ไม่สามารถเข้ากันได้จริง ๆ คนนี้แต่งตัวแปลกจริงเขาเหลือบมองอย่างเกียจคร้าน และแสงแดดที่ส่องลงบนดวงตาสีเข้มของเขาก็ไม่ได้เพิ่มพลังให้กับเขาเลยซ่งซีซีก้าวไปข้างหน้าและยกมือขึ้น "ท่านผู้บังคับบัญชาเมื่อวานพักในวัง?""อืม!" เขาพยักหน้าและมองนางขึ้นลง "เจ้าแต่งตัวแบบนี้กลับดูสวยมาก ดูเหมือนผู้หญิงสูงศักดิ์ของเมืองหลวง"ซ่งซีซียิ้ม "เดิมข้าก็เป็นผู้หญิงสูงศักดิ์ของเมืองหลวงอยู่แล้ว"เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้ามั่วซั่ว "หวงโฮ่วให้เจ้าเข้ามาทำไมกัน?"ซ่งซีซีเงยหน้าหยิบตามอง "ท่านผู้บังคับบัญชารู้ได้อย่างไรว่าเป็นหวงโฮ่วที่ให้ข้าเข้าวัง?"เขารู้?เซี่ยหลูโม่ถูขมับและดูเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย "โอ้ แค่เดาไปเรื่อยน่ะ เมื่อคืนเจ้าได้พบกับไทเฮาแล
รอยยิ้มเซี่ยหลูโม่ค้างอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ผิด เป็นพี่ชายทั้งคู่ แต่ตราบใดที่นางไม่เข้าวัง ตนก็สามารถค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์กับนางได้เขายกมือทูลลาแล้วจากไปฮ่องเต้มองไปทางด้านหลังของเขา และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ตะโกนว่า "อู๋ต้าปั้น!""ข้าน้อยอยู่นี่พะยะค่ะ!" อู๋ต้าปั้นเข้ามาอย่างรวดเร็วจากประตูตำหนักแล้วโค้งคำนับฮ่องเต้กล่าวว่า "ไปส่งคำสั่งข้า ถ้าซ่งซีซีไม่สามารถหาคู่ครองแต่งงานที่เหมาะสมได้ภายในสามเดือน ก็แต่งตั้งให้เป็นสนมซีกุ้ยเฟย"อู๋ต้าปั้นลดสายตาลงแล้วตอบว่า "พะยะค่ะ!""ถือโอกาสบอกคำสั่งของค่ากับเป่ยหมิงอ๋องด้วย คำพูดอื่นเจ้าอย่าพูดแม้แต่คําเดียว"ฮ่องเต้กล่าวอู๋ต้าปั้นกล่าวว่า "พะยะค่ะ ข้าน้อยรู้แล้ว ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ""ไปเถอะ" ฮ่องเต้ลดสายตาลงและพูดเบา ๆไม่นานหลังจากที่อู๋ต้าปั้นจากไป ข้างนอกก็มีรายงานว่าหวงโฮ่วเสด็จมาฮ่องเต้คงรู้ว่านางมาทำไม ดังนั้นจึงกล่าวว่า "ให้เข้ามา!"หวงโฮ่วเข้ามาพร้อมกับแม่นมหลานเจี่ยน หลานเจี่ยนถือถาดอยู่ในมือ โดยมีหม้อซุปวางอยู่บนถาดอย่างปลอดภัยหลังจากที่ปัดตัวแสดงความเคารพ หวงโฮ่วก็กล่าวอย่างอ่อนโยน "ได้ยินมาว่าเมื่อวาน
ทันทีที่ซ่งซีซีกลับมาที่จวนเสนาบดีกั๋วกง อู๋ต้าปั้นก็มาส่งคำสั่งวาจาของฮ่องเต้ด้วยตนเองซ่งซีซีตกตะลึง หากหาสามีที่เหมาะสมไม่ได้ภายในสามเดือนก็ต้องเข้าวัง?นางรีบขวางอู๋ต้าปั้นไว้ ไล่ทุกคนออกไป "อู๋กงกง ท่านบอกข้าที ฮ่องเต้หมายความว่ายังไงกันแน่?"หากฮ่องเต้ยืนกรานที่จะให้นางเข้าวัง ก็ไม่จำเป็นต้องให้เวลานางสามเดือนในการหาสามีในเมื่อให้เวลานางสามเดือน ตราบใดที่คำสั่งวาจาแพร่กระจายออกไป จะไม่มีใครกล้าแต่งงานกับนางดังนั้น ยังคงเป็นการใช้กำลังกดขี่และไม่ได้ให้โอกาสนางเลย ดูเหมือนว่าสุดท้ายนางจะต้องเข้าวังเพียงทางเดียวแต่ในเมื่อใช้กำลังกดขี่ แล้วยังให้เวลาสามเดือน...คำสั่งวาจานี้ทำให้นางรู้สึกแปลก ๆอู๋ต้าปั้นพูดอย่างครุ่นคิด "บางที ฮ่องเต้อาจคิดว่าหากมีคนกล้าขอแต่งงานกับคุณหนูภายในสามเดือน กล้าท้าท้ายอำนาจสวรรค์ ฮ่องเต้ก็จะคิดว่าคนนั้นปฏิบัติต่อคุณหนูอย่างจริงใจได้?""แต่ทำไมฮ่องเต้ต้องยุ่งเรื่องการแต่งงานของข้าด้วย?"อู๋ต้าปั้นกล่าวว่า "ท่านพูดหมดแล้วไม่ใช่เหรอ? นับถือฮ่องเต้เป็นพี่ชาย พี่ชายก็ต้องวางแผนแต่งงานให้น้องสาวตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล"ซ่งซีซีอารมณ์เสียกับค
ซ่งซีซีไม่ได้บอกพวกเขาเกี่ยวกับคำสั่งแปลก ๆ ของฮ่องเต้ แต่เพียงขอบคุณพวกเขาที่ไปช่วยที่เขตหนานเจียง"พวกแคว้นซาฆ่าพ่อและพี่ชายข้า ข้าไปที่เขตหนานเจียงหลัก ๆ แล้วเพื่อแก้แค้น พวกเจ้าช่วยข้าแก้แค้น บุญคุณนี้ข้าจะจำไม่มีวันลืม"เมื่อนางพูดแบบนี้ ทุกคนก็รู้สึกดีขึ้นมาก ใช่แล้ว พ่อและพี่ชายของซีซีถูกแคว้นซาฆ่าตายทั้งคู่ กฏของแวดวงศิลปะการต่อสู้ ฆ่าคนต้องชดใช้ชีวิต พวกเขาก็แค่ไปช่วยซีซีแก้แค้น ที่เหลือไม่ต้องคิดมากซ่งซีซีลืมเรื่องกลุ้มใจทั้งหมดและกล่าวว่า "ทุกคนกินอิ่มนอนหลับแล้ว ไม่งั้นเราออกไปเดินซื้อของกันดีกว่า และขอให้พวกเจ้าช่วยข้าเอาของกลับไปให้ท่านอาจารย์ด้วย""ก็ดี แต่พวกเราไม่มีเงิน ฮ่องเต้ยังไม่ได้ประทานรางวัลพวกเราเลย" กุ้นเอ๋อร์มองซ่งซีซีอย่างว่างเปล่า "เจ้าว่าฮ่องเต้ลืมไปแล้วหรือเปล่า?"ซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "ไม่มีทางลืมแน่นอน ฮ่องเต้ตรัสด้วยพระองค์เอง จะประทานรางวัลแก่สามทัพ เราได้สร้างผลงาน รางวัลต้องมากแน่นอน""ข้าหวังว่าจะประทานด้วยทองคำหนึ่งร้อยตำลึง ค่าเช่าสิบปีของนิกายเราก็จะได้รับการแก้ไข" กุ้นเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มในนิกายกู่เยว่ที่กุ้นเอ๋อร์อยู่เขาเป็นผู้ชายคนเ
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านกลับโกรธจนปากบิดเบี้ยวแม้ว่าทองคำร้อยตำลึงจะมาก แต่พวกเขาไม่ได้ไปที่รบเพื่อรับรางวัลแค่นี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮูหยินผู้เฒ่าจ้านรู้ว่าจ้านเป่ยว่าง อาจได้เลื่อนยศ แต่เนื่องจากรับผิดกับยี่ฝาง บวกกับยี่ฝางนำกองกำลังของเขาไปขัดขวางการโจมตี กระทรวงกลาโหมทั้งให้รางวัลและลงโทษ จึงลงเอยด้วยทองคำร้อยตำลึง นางโกรธมากจนเกือบเลือดออกในสมองนางมีสุขภาพไม่ดีอยู่แล้ว หลังจากโกรธครั้งนี้ ก็หมดสติในตอนกลางคืน ต้องรีบเชิญให้หมอไปฝังเข็มในชั่วข้ามคืน จึงค่อยยังชั่วแต่เมื่อเห็นว่าต้องซื้อยาจากหมอมหัศจรรย์ดันอีกแล้ว เงินในมือจึงถูกใช้ไปอย่างสุรุ่ยสุร่าย เงินสำหรับงานเลี้ยงน้ำชาก็ยืมมา ตอนนี้มีทองคำร้อยตำลึงแล้ว นอกจากใช้หนี้ ซื้อยาก็ซื้อไม่ได้มากเสี่ยงชีวิตไปต่อสู้ฆ่าฟัน แต่กลับลงเอยแบบนี้ ในตอนแรกฮูหยินผู้เฒ่าจ้านชอบยี่ฝางแค่ไหน ตอนนี้ก็เกลียดแค่นั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นตัวเองเป็นลมและฟื้นขึ้นมา นางกลับไม่ได้เฝ้าอยู่ข้างเตียง อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความโกรธว่า "แต่งกาลกิณีอะไรกลับมา? ทำให้สามีไม่ได้รับยศไม่พอ แม้แต่ความกตัญญูกตเวทีขั้นพื้นฐานที่สุดก็ไม่ปฏิบัติตามแล้ว""ท่านแม่ ห
จ้านเส้าฮวนรู้สึกหวาดกลัวกับดวงตาที่ดุร้ายของนาง ถอยกลับไปนั่งที่ขอบเตียง น้ำตาแห่งความคับข้องใจตกลงไปที่พื้น "ท่านแม่ นางตบข้า"เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าจ้านเห็นลูกสาวสุดที่รักของถูกตบ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความโกรธ "เจ้าสอง ดูภรรยาเจ้าให้ดีด้วย"จ้านเป่ยว่างยืนอยู่ตรงหน้ายี่ฝาง สายตาดูเหนื่อยและในใจก็รู้สึกเหนื่อยกว่า "เจ้าจะลงมือตบคนได้ยังไง? นางพูดอะไรผิดไป เจ้าตำหนินางกี่ประโยคก็พอแล้ว"ดวงตาของยี่ฝางเต็มไปด้วยความผิดหวังและความโกรธ "ข้าตบนางแล้วจะทำไม? นางพูดจามั่วซั่วใส่ร้ายข้า ทำไมเจ้าถึงไม่ว่านาง?""ไม่ใช่ข้าพูดสักหน่อย คนข้างนอกพูดต่างหาก เจ้าเก่งจริงก็ไปตบคนข้างนอกเลย" จ้านเส้าฮวนพูดพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น แววตาเกลียดชัง "เจ้าไม่กล้าตบคนข้างนอก เลยได้แต่มาระบายใส่ข้า เก่งแบบไหนกัน?"ยี่ฝางพูดอย่างแข็งกร้าว "คนข้างนอกจะว่ายังไงก็เป็นเรื่องของพวกเขา ข้าจัดการกับคนข้างนอกไม่ได้ ข้ายังจัดการกับเจ้าไม่ได้? ข้าเป็นพี่สะใภ้รองของเจ้า ในบ้านนี้ ท่านพ่อไม่แยแส พี่ชายคนโตก็อ่อนแอ ดูแลบ้านวุ่นวายไปหมด ท่านแม่ป่วยหนักตลอดแม้แต่เงินซื้อยาก็ไม่มี เจ้ายังตะโกนที่จะซื้อเครื่องประดับซื้อเสื้อผ้
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา