จวนป๋อผิงซีก็เอิกเกริกมากเช่นกัน เนื่องจากหวังเบียวรับผิดชอบ ดูแลกองทัพเป่ยหมิง ตอนนี้ จวนป๋อผิงซีจึงครึกครื้นอย่างมาก วันพรุ่งนี้ถึงเป็นวันแต่งงาน แต่วันนี้พวกเขาก็มีงานเลี้ยงแล้วเมื่อหวังชิงหลูรับจดหมายหย่าจากตระกูลฝาง ฝ่ายตระกูลฝางคิดว่ารู้สึกผิดต่อลูกสะใภ้คนนี้ นอกเหนือจากการคืนสินเดิมให้แล้ว พวกเขายังให้เงินจำนวนมากแก่นางเพื่อเป็นเงินชดเชย รวมถึงเงินบำนาญทั้งหมดสำหรับการเสียชีวิจของแม่ทัพฝาง ทั้งยังซื้อที่ดินให้นางอีกด้วยตระกูลฝางเป็นครอบครัวทหาร โดยคิดว่าไม่สามารถให้นางใช้ชีวิตอย่างเสียเวลาเปล่าๆ ในเวลานั้น หวังชิงหลูได้บอกว่านางจะไม่แต่งงานใหม่ ดังนั้นตระกูลฝางจึงกังวลว่านางอยู่ครอบครัวพ่อแม่ของตนเอง หากไม่มีเงินทองหรือที่ดินคอยพกตัว ชีวิตนี้ก็คงอยู่ยากดังนั้น จึงให้ไปไม่น้อยเลยชุดแต่งงานจากร้านเฟิงเหลียนควรจะจองล่วงหน้าครึ่งปี แต่นางให้เงินเพิ่ม และบอกว่าจะสวมชุดแต่งงานจากร้านเฟิงเหลียนให้ได้สินเดิมของนางถูกเปลี่ยนให้เป็นกล่องใหม่ และมีการซื้อเพิ่มอีกจำนวนมาก รวมเป็นจำนวนหกสิบแปดกล่องนางได้สอบถามมาแล้ว ว่าสินเดิมที่ซ่งซีซีจะแต่งเข้าจวนอ๋องนั้นก็มีแค่หกสิบสี่กล่อง นา
ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนจันทรคติที่สิบสอง หิมะตกในตอนเช้า ฟ้ามืดมาก และลมก็หนาวราวกับมีดแม่นมเหลียงมองดูท้องฟ้าแล้วอธิษฐาน "วันนี้คุณหนูของเรากำลังจะออกเรือน พระเจ้าให้ตระกูลซ่งและคุณหนูของเราเจอกับสิ่งเลวร้ายมามากพอแล้ว วันนี้ขอให้เป็นวันที่แดดจ้าได้ไหม ข้าน้อยจะจุดธูปและบูชาท่านทุกวัน"ซ่งซีซีถูกเรียกให้ตื่นแต่เช้า มารับเมื่อเช้านี้ ช่างแต่งหน้าจากร้านมาแล้ว จะทำความสะอาดผิดและบำรุงผิวให้นางก่อน บอกว่าทำเช่นนี้แล้วถึงแต่งหน้าได้สวยขึ้นไม่รู้ว่าพวกนางผสมของเหลวชนิดใดที่มันเหนียวๆ จากนั้นก็ทาบนใบหน้าของนาง และให้นางนอนนิ่งๆโดยไม่ให้พูดอะไรเมื่อคืน นางมีอารมณ์ซับซ้อนมาก และนอนไม่หลับทั้งคืน ตอนนี้เมื่อถูกบังคับให้นอนอยู่เก้าอี้แบบนอนได้ หลับตาไม่ให้ส่งเสียง นางถึงขนาผล็อยหลับไปจนกระทั่งเมื่อคืนนี้ นางก็สิ้นหวังแล้วจริงๆ พวกอาจารย์ไม่มา และพวกเสิ่นว่านจือก็ไม่มาด้วยแม้ว่ารู้ว่ามันเกิดจากความผิดของตนเอง แต่นางก็ยังรู้สึกเสียใจมากหลังจากงีบหลับได้สักพัก นางเจ็ดแห่งร้านเหมี่ยวอี้ก็ล้างสิ่งของที่เหนียวๆ ออกไปให้นาง นางไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น แต่นางตื่นขึ้นแล้ว นางก็ปล่อยให้
หลังจากนั้นไม่นาน รุ่ยเอ๋อร์ก็มาพร้อมกับเสื้อผ้าใหม่เขาสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และชุดสั่งทำพิเศษนี้พอดีตัวกับเขามาก มันทำจากผ้าสีแดงปักรูปกระต่าย ด้านนอกเสื้อมีเสื้อคลุมตัวเล็กที่ทำจากหนัง ยังมีหมวกที่ข้านอกสีดำและด้านในเป็นสีแดง พอแขวนไว้ที่หลังเหมือนนักสู้เลย ได้มัดผมไว้ และยังผูกด้ายสีแดง ซึ่งทั้งน่ารักและรื่นเริง"ให้ท่านอาดูหน่อยสิ เด็กที่ไหนทำไมน่ารักอย่างนี้ล่ะ" ซ่งซีซีจับมือเขาแล้วมองเขาจากหัวจรดเท้า ใบหน้าที่เพิ่งถูกเส้นด้ายขจัดจนร้อนนั้นเผยรอยยิ้มออกมา "ที่แท้คือรุ่ยเอ๋อร์ของเรานี่น่ะ ท่านอาแทบจะจำไม่ได้แล้ว น่ารักจริงๆ"รุ่ยเอ๋อร์เขินอายเล็กน้อย "นี่เป็นคำกล่อมเด็กนะ ท่านอา ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว""ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ในใจท่านอา หนูเป็นเด็กอยู่เสมอ" ซ่งซีซีกอดเขาและสัมผัสถึงความอบอุ่นจากคนในครอบครัวของตนเองนางเจ็ดยังยิ้มและกล่าวว่า "คุณชายรุ่ยเอ๋อร์หล่อมากทีเดียว เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะแข็งแกร่งและกล้าหาญมาก เขาจะเป็นลูกผู้ชายที่มีความสามารถแน่นอน"รุ่ยเอ๋อร์ชอบคนที่บอกว่าเขาเป็นลูกผู้ชายมากที่สุด ดังนั้นเขาจึงเอาลูกอมงานแต่งงานที่ตนเองซ่อนไว้ออกมาทันที และมอบให้กับนางเจ
แม่นมเหลียงเชิญช่างแต่งหน้าจากร้านเหมี่ยวอี้ออกไปกินเลี้ยง งานเลี้ยงได้ถูกจัดไว้แล้ว และต้องทานอาหารล่วงหน้าเพราะเจ้าสาวจะออกเรือนหลังยามเซินหลังจากกินเลี้ยงเสร็จ ช่างแต่งหน้าของร้านเหมี่ยวอี้จะไม่รีบจากไป หนึ่งในนั้นจะตามพวกเขาไปที่จวนอ๋อง หลังจากดื่มสุราร่วมกันแล้ว เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะต้องออกไปดื่มอวยพลกับแขกทุกคน ดังนั้น คนหนึ่งจะต้องติดตามพวกเขาไปเพื่อเติมหน้า แขกในจวนอ๋องมีจำนวนมากเกินไป หากเดินไปรอบๆ เพื่อดื่มชาดื่มสุรา เดี๋ยวจะทำให้หน้าเลอะเทอะได้ใกล้จะถึงวันยามเซินแล้ว สินเดิมต้องถุกขนออกจากบ้านไปฆ้องและกลองดังลั่น และลูกหลานของตระกูลซ่งก็ออกไปขนสินเดิมด้วยตนเองสินเดิมหกสิบสี่กล่อง สิ่งของที่บรรจุอยู่ในนั้นล้วนเป็นของมีค่า หนึ่งกล่องในนั้นคือภาพวาดของเสิ่นชิงเหอ ซึ่งมีค่ามากจวนป๋อผิงซีและจวนเสนาบดีกั๋วกงอยู่ห่างกันเพียงสองถนน และพวกเขาก็ออกไปขนสินเดิมในยามเซินเช่นกันหวังชิงหลูยังสวมชุดแต่งงานของนาง และรอให้สินสอดออกไปก่อน เมื่อถึงยามโย จ้านเป่ยว่างก็จะนำขบวนมารับเจ้าสาวนางส่งคนออกไปดูว่าสินเดิมจากจวนเสนาบดีกั๋วกงได้ขนออกไปหรือยัง และนับดูว่าใช่หกสิบสี่กล่องหรือไม่
ด้านหลังสถาบันชื่อเยียน คือร้านขายยาเย่าหวัง ซึ่งอยู่ในเมืองหลวง โดยจะส่งวัสดุยาอันล้ำค่าต่างๆ เช่น โสมอายุร้อยปี บัวหิมะ เป็นต้นหลังจากที่ร้านขายยาเย่าหวังตะโกนเสร็จแล้ว ต่อมาคือนิกายตงไห่ ของที่ส่งก็ล้วนเป็นสมบัติหายากมาด้วย ซึ่งไข่มุกตงจูนั้นมีค่ามากที่สุด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเอาชนะสถาบันชื่อเยียนอย่างไรอย่างนั้น และมอบไข่มุกตงจูตั้งสามกล่อง ทับทิมต่างๆ ทั้งหมดรวมกันก็สามกล่องเต็มๆหวังชิงหลูยิ่งฟังยิ่งรู้สึกตัวสั่นเทาซ่งซีซีเองก็ตัวสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ นางแทบไม่ได้ยินรายการของ ได้ยินแต่ชื่อของนิกายเท่านั้นมีนิกายหลายนิกายที่นางไม่เคยสุงสิงกัน แล้วพวกเขาจะมาช่วยเติมเต็มสิงเดิมได้ยังไงล่ะ? ต้องเป็นเพราะท่านอาจารย์ได้แจ้งให้พวกเขาทราบแล้วในที่สุด หลังจากฟังอีกหกเจ็ดนิกายแล้ว ซ่งซีซีก็ได้ยินเสียงของศิษย์พี่ที่ห้า "บุตรสาวของผู้นำสถาบันว่านซงเหมินกำลังจะแต่งงาน ขอมอบสินเดิม 108 กล่อง ร้าน 10 แห่งใจกลางเมืองหลวง สวนสองแห่งที่เชิงภูเขาเหม่ยชาน ทองคำหนึ่งหมื่นตำลึง"เสียงนี้ดังก้องไปตามถนนสายยาว และคาดว่าคนในแถวถนนสิบเส้นทางที่ใกล้เคียงคงจะได้ยินหมดบุตรสาวของผู้นำสถาบันว่านซงเหมินกำ
เนื่องจากสินเดิมได้ถูกส่งออกไปแล้ว อีกไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นางก็ต้องออกเรือนแล้วเซี่ยหลูโม่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขาจะมารับเจ้าสาวด้วยตนเอง ดังนั้นใบหน้าที่เลอะเทอะของนางนั้นก็ต้องรบกวนช่างแต่งหน้าจากร้านเหมี่ยวอี้ช่วยเติมหน้าให้อีกครั้งอย่างไรก็ตาม ซ่งซีซีไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้เลย นางทุบตีท่านอาจารย์ และจากนั้นก็ไปต่อยศิษย์พี่ใหญ่ นางไม่อาจลงมือกับศิษย์พี่สาวรองได้ เลยกอดนางแน่น "ศิษย์พี่สาวรอง ข้าคิดว่าพวกท่านจะไม่มาแล้ว ข้าเสียใจจะตายอยู่แล้ว ข้านึกว่าพวกท่านไม่ต้องการข้าแล้ว"ผิงหวูจูง ศิษย์พี่สาวรองปาดน้ำตาให้นางด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่ตนเองก็ตาแดงด้วย ศิษย์น้อง ศิษย์น้องของนางเอ๊ย เฮะ ต้องทนทุกข์มากขนาดนั้น ทนทรมานอีกด้วย นางอดทนรับมาหมดเลยผิงหวูจูงรู้สึกปวดหัวในใจ นางปาดน้ำตาแล้วพูดอ่อนโยนว่า "เอาล่ะ อย่าร้องไห้เลยนะ วันนี้เป็นวันที่มีความสุขที่สุดและสวยงามที่สุด เราจะร้องไห้ได้ยังไง"ผิงหวูจูงมีรูปร่างสูงและสวย เมื่อมองแวบแรกก็ดูเหมือนหญิงสาวจากตระกูลใหญ่ เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าวิชาตัวเบาของนางมันแข็งแกร่งมากแค่ไหน และการซ่อนตัวและปลอมตัวของนางเก่งขนาดไหนนางเป็นสายลับอัน
เฉินฟูปาดน้ำตาแล้วพูดว่า "คุณหนู เกี้ยวเจ้าสาวกำลังจะมาแล้ว ดังนั้นรีบแต่งหน้าเถอะนะขอรับ"ซ่งซีซีเพิ่งจะเจอกับพวกอาจารย์และศิษย์พี่ของนาง ยังไม่ทันได้พูดคุยสักหน่อยก็ต้องออกเรือนไปแล้ว นางอาลัยอาวรณ์พวกเขา และพูดอ้อมๆ ว่า "ขอเลื่อนไปอีกชั่วยามได้ไหม""ไม่ได้เด็ดขาด คุณหนู ท่านต้องทำพิธีให้เสร็จตามเวลาอันเป็นมงคล"ผิงหวูจูงจับมือของนาง "ไป กลับไปแต่งหน้ากันเถอะ วันสำคัญเช่นนี้จะร้องไห้ได้ที่ไหน เรามาที่นี่เพื่อส่งเจ้าออกเรือน เดี๋ยวจะไปพร้อมกับเจ้าด้วย ที่จวนเป่ยหมิงอ๋องมีที่นั่งสำหรับเราด้วย เราจะไปกินเลี้ยงที่นั่น"ซ่งซีซีกระพริบตาของนาง ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ "นั่นหมายความว่าท่านอ๋องรู้ว่าพวกท่านจะมาหรือ?""เขารู้ แต่เขาไม่รู้ว่าเจ้าไม่รู้"ก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเขาปกปิดเรื่องหลังจากรวบรวมอารมณ์ได้แล้ว นางก็ยืนขึ้นและขอบพวกคุณผู้นำนิกายและลูกศิษย์ที่มาแสดงความยินดี"ไม่ต้องมากพิธ ไปแต่งหน้าเร็วๆ สิ" เหรินหยางอวิ๋นโบกมือ จะขอบคุณอะไรนักหนา? ทั้งหมดนี้เป็นผลบุญแก่เขาซ่งซีซีตอบว่า "โอ้" แล้วหันกลับมาโดยคิดว่าอาจารย์นี่เสียมารยาทจริงๆขณะที่นางกำลังแต่งหน้าอยู่นั้
ซ่งซีซีเดินไปจับมือของอาจารย์โดยไม่รู้ตัว แต่กลับพบว่ามีมือข้างนึงยื่นมาหานางมือทั้งใหญ่และยาว มีฝ่ามือหนา นิ้วยาว และเล็บที่ถูกตัดอย่างเรียบร้อยดีสิ่งที่สำคัญที่สุดคือข้างบนฝ่ามือเล็กน้อยจะมีชุดแต่งงานปักลายมังกรชุดแต่งงานของพระราชวงค์สามารถใช้ลายมังกร ชุดเครื่องแบบก็ใช้ได้เช่นกัน เพียงแต่ไม่สามารถใช้ลายมังกรห้าเล็บได้เซี่ยหลูโม่ เป็นสามีของนางหลังจากฟื้นคืนสติได้สักพัก นางวางมือของตนเองลงบนฝ่ามือของเขา ดูเหมือนว่าเขาไม่มีประสบการณ์ในการจับมือกัน ตอนแรกเขาปิดฝ่ามือเพื่อจับมือนาง จากนั้นจึงหมุนมือแบบสุ่มสองสามครั้งเพื่อหาท่าที่จับอย่างสบาย และในที่สุดก็ประสานมือกับนางหัวใจของซ่งซีซีเต้นรัวเหมือนตีกลอง และมันแสบแก้วหูของตนเองเลยแต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น นางจะได้ยินเสียงหัวใจของคนที่จับมือนางก็เต้นเร็วเหมือนกัน และถึงกับรู้สึกเวียนหัวเซี่ยหลูโม่จับมือนาง แล้วเดินไปที่เกี้ยวเจ้าสาว ดูเหมือนมีคนบอกว่าการกระทำเช่นนี้ขัดต่อกฎ และควรจะให้เจ้าสาวขี่หลังแม่สื่อแล้วเข้าไปในเกี้ยวแต่กฎอะไรก็ไปให้พ้นเลย พระชายาของเขา เขาจะจับเอง และพวกเขาจะเดินเคียงข้างกันไปสู่อนาคตที่มีความสุขที่เขา
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา