ซ่งซีซีนั่งอยู่สักพัก และไม่ได้ดื่มชาหรือกินของว่าง จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วบอกว่านางอยากเดินเล่นสักหน่อยจวนองค์หญิงมักจะจัดงานเลี้ยงเชิญชวนแขกมาเที่ยวเสมอ และปล่อยให้แขกเดินเล่นทุกที่ได้ แน่นอนว่านี่เป็นกรณีที่ได้รับการจัดเตรียมล่วงหน้าของจวนองค์หญิงเท่านั้นจู่ๆ ก็บุกเข้ามา แล้วยังบอกว่าจะเดินเล่นสักหน่อย ย่อมไม่ได้รับอนุญาตแน่ๆ ที่จวนองค์หญิงมีสถานที่บางส่วนที่ไม่สามารถให้คนนอกเห็นเข้า ที่นั่นได้ซ่อนความลับอันร่มรื่นของจวนองค์หญิงนางเป็นพระชายาเป่ยหมิงอ๋อง ทหารประจำจวนไม่กล้าห้ามนาง หากโดนว่าไม่รู้ที่ต่ำที่สูง พวกเขางานเข้าแน่ๆส่วนคนใช้ทั่วไป ไม่สามารถต้านทานฝีเท้าที่นางที่ต้องเดินเข้าไปด้านในลานได้หลายคนขวางทางไว้ แต่นางสามารถหลบพวกเขาได้อย่างรวดเร็วและก้าวไปที่ลานด้านในหลังจากพยายามห้ามอยู่หลายครั้งแต่ก็ไร้ผล ในขณะที่ซ่งซีซีกำลังจะเข้าใกล้เรือนที่อยู่ลานด้านในหลังหนึ่งนั้น มีคนตะโกนเสียงดังว่า "องค์หญิงกลับจวน!"มุมปากของซ่งซีซีโค้งงอ ในที่สุดก็ยอมออกมาสักทีนางจัดเก็บทรงผม และมองดูเรือนนั้นแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า "ในเมื่อองค์หญิงกลับมาแล้ว งั้นข้าก็กลับไปรอที่ห้องโถงหลักแล
นางมองดูสนมฮุ่ยไทเฟยด้วยสีหน้าสับสน "เกิดอะไรขึ้น? ไข่มุกตงจู่อะไรกัน และเดิมพันเรื่องอะไร? เมื่อคืนไม่ใช่แค่งานเลี้ยงเหรอ? เจ้าเอาสินเดิมของนางไปเมื่อไหร่? มันไม่ได้การนะ สินเดิมของลูกสะใภ้มันเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของนางเอง เจ้าเอาไปไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นแค่ล้อเล่นก็ไม่ได้นะ"สนมฮุ่ยไทเฟยตกตะลึงอันที่จีิงด้วยการไปมาหาสู่กันระหว่างนางกับองค์หญิงใหญ่ในหลายปีมานี้ นางเคยคิดว่าองค์หญิงใหญ่จะไม่ให้เงินสามพันตำลึง แต่นางก็แอบตั้งความหวังไว้ โดยคิดว่านางเป็นคนสำคัญกับหน้าตา ในเมื่อบอกแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ครึ่งนึงที่จะให้แต่องค์หญิงใหญ่กลับไม่แม้แต่จะยอมรับเรื่องที่เอาไข่มุกตงจูกับการเดิมพันด้วยซ้ำ นี่คือสิ่งที่นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนนางอึ้งไปชั่วขณะ และมองหาแม่นมเกาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าใบหน้าของแม่นมเกาแดงมากเนื่องจากความหนาวเย็น นางกำลังใช้แขนเสื้อปิดหน้าและสูดน้ำมูกกลับเข้าไปสนมฮุ่ยไทเฟยมองไปยังซ่งซีซีอีกครั้ง และซ่งซีซีก็ดูไม่แยแสราวกับว่านางคาดคิดมาแล้วนางไม่ยอมโดนซ่งซีซีดูถูก แต่ยิ่งโกรธกับความไร้ยางอายขององค์หญิงใหญ่ และพูดอย่างใจร้อนว่า "เจ้าพูดแบบนี้ได้ยังไง? เมื่อคืนข้ามอบไ
หลังจากที่นางพูดจบ จากนั้นก็ไหว้ให้องค์หญิงใหญ่อีกครั้ง "ซีซีรู้สึกประทับใจมากที่ท่านป้าปฏิบัติต่อเสด็จแม่ของข้าอย่างด้วยความจริงใจ ก่อนหน้านี้ชื่อเสียงของซีซีไม่ค่อยดี ท่านป้ามีความกังวลเช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ซีซีรับประกัน จากนี้ไปต้องดีกับเสด็จแม่ให้ดีที่สุด ทุกอย่างต้องให้เสด็จแม่มาก่อน ส่วนไข่มุกตงจูเหล่านั้น เดิมทีก็คิดว่าจะแบ่งสักหน่อยให้เสด็จแม่ รอข้ากลับบ้านค่อยจัดคนส่งกล่องหนึ่งให้นาง ถึงเวลานั้น นางต้องการแบ่งให้ผู้ใดก็เป็นเรื่องของนาง ข้าที่เป็นลูกสะใภ้ย่อมไม่กล้าเข้าไปยุ่ง"องค์หญิงใหญ่รู้ว่า ซ่งซีซีกำลังให้ทางออกนางทางออกนี้ นางต้องเล่นไปตามน้ำชื่อเสียงที่นางสร้างขึ้นตั้งครึ่งชีวิต จะให้ไข่มุกตงจูไม่กี่เม็ดนั้นทำเสียหายได้อย่างไร พวกนับสู้จากแวดวงการต่อสู้นั้นจะเอ็นดูรักใคร่ซ่งซีซีอย่างไร เมื่อวันนางก็เห็นกับตาแล้วอีกอย่างสนมฮุ่ยไทเฟยไม่ควรมีเรื่องกับนางมากเกินไป บัดนี้นางรู้ต่อต้านแล้ว หากไปขอเงินนางที่หลังคงไม่ง่าย สู้เล่นไปตามน้ำเอาไข่มุกตงจูคืนนางจะดีกว่า แล้วค่อยหาเวลาไปล้างสมองนาง ยังมีโอกาสขอเงินและสมบัติมากมายจากนางตั้งเยอะได้ในอนาคตในใจของนางโกรธเป็
ซ่งซีซีกระพริบตา นางไม่ได้ได้ยินผิดใช่ไหม?เมื่อมองดูตัวเงินสองพันตำลึงที่ยัดให้นาง ซ่งซีซีก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจจริงๆ ว้าว นางชอบมอบน้ำใจให้คนอื่นจริงๆ ชอบแบ่งเงอนให้ผู้อื่นได้อย่างง่ายดายนางมีศักยภาพที่จะถูกเอารัดเอาเปรียบจริงๆไม่สิ นางถูกเอาเปรียบแล้วนี่"เสด็จแม่มององค์หญิงใหญ่ชัดเจนหรือยัง" ซ่งซีซียิ้ม และน้ำเสียงของนางก็ดุอ่อนโยนขึ้นมากใบหน้าของสนมฮุ่ยไทเฟยมืดทะมึน "เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือไง? จนถึงขั้นนี้แล้วข้ายังมองไม่ออก""เมื่อเห็นว่าท่านยังพูดดีๆ กับนาง เลยคิดว่าท่านยังถูกนางหลอกเอาไว้"สนมฮุ่ยไทเฟยพูดอย่างโกรธๆ "ไม่พูดดีๆ มันจะให้ทำยังไงได้อีก พวกเราสองคนต้องมีคนนึงทำหน้าดุอีกคนมาปลอบใจ เป็นไปไม่ได้ที่แตกคอกับนางกระมัง นางมีความสัมพันธ์กับที่ดีกับพวกฮูหยินเหล่านั้น หากนางใส่ร้ายข้าสักหน่อย ข้าก็ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเอา เจ้าก็ไม่เป็น เพราะเจ้าหน้าหนาอยู่แล้ว"ซ่งซีซีไม่ได้พูดอะไร นางเริ่มนับตัวเงิน ล้วนเป็นตัวเงินหนึ่งร้อยตำลึง นางยื่นหนึ่งร้อยตำลึงให้แม่นมเกา แล้วพูดว่า "ชนะกลับมา ถือว่าเป็นเงินนำโชคนะ"แม่นมเกาตาค้างและรู้สึกหายใจลำบากเล็กน้อย "พระชายา นี่มันห
นางแอบเหลือบมองซ่งซีซีแวบหนึ่ง และเห็นว่าท่าทางของนาง ดูสบายๆ และยังยิ้มสดใส ต้องยอมรับว่าใบหน้านี้สวยงามยิ่งกว่าดอกทอเสียอีก มีความฃสดชื่นยิ่งกว่าดอกบ๊วยทันใดนั้น สนมฮุ่ยไทเฟยก็เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า "เจ้าไม่กลัวองค์หญิงใหญ่จริงๆ หรือ?"ซ่งซีซีถามกลับ "นางมีอะไรที่ทำให้คนเราต้องกลัวด้วยเหรอ""นางเป็นองค์หญิงใหญ่ เป็นเสด็จป้าของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แม้แต่จักรพรรดิองค์ก่อนก็ยังยอมให้นาง อีกอย่างในแวดวงคนชั้นสูงของเมองหลวง นางได้ควบคุมคนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งไป คำพูดของนางเพียงคำเดียวก็สามารถทำให้เจ้าเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ในชั่วข้ามคืน"ซ่งซีซีไม่สนใจ "ก็ท่านบอกว่าข้าหน้าหนานี่ไม่ใช่เหรอ งั้นทำไมข้าต้องกลัวเสียชื่อ หากนางใส่ร้ายป้ายสีข้าอย่างมั่วๆ งั้นก็เท่ากับใส่ร้ายคนสำคัญที่ยึดเขตหนานเจียงกลับคืนมา แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงใหญ่ แต่ก็จะถูกนักวิชาการทุกคนในใต้เท้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างแน่นอน"สนมฮุ่ยไทเฟยคิดว่าสิ่งเหล่านี้พูดง่าย แต่พอทำให้องค์หญิงใหญ่ไม่พอใจ หากนางต้องการแก้แค้น ก็คงจัดการได้ยากอย่างไรก็ตาม เมื่อนางคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ เรื่องที่จะเอาไข่มุกตงจูและเงินสามพันตำลึงนั
แม่นมเกาพยายามหาช่องว่างเข้าไป กว่าจะถามผู้คนดูแลร้านได้ว่า "ไม่ทราบว่ามีสร้อยข้อมือทองคำพันเพชรพลอยหรือไม่"ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองนาง แล้วพูดเสียงดัง "มีขายที่ชั้นสองแต่สินค้าขายหมดแล้ว ปีนี้ได้สั่งทำแล้วทำอีก แต่ก็ขายหมดเกลี้ยง หากต้องการซื้อให้ไปที่ชั้นสองเพื่อทำการจอง น่าจะถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้ามีของ"ต้องการจองด้วยอย่างนั้นหรือ? จะรอของในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าด้วย?แม่นมเกาค่อยๆ ถอนตัวออกแล้วเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง นางเห็นว่าชั้นสองได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรา และแบ่งออกเป็น แปดเก้าส่วน ตู้ต้อนรับลูกค้านั้นมีจัดวางเก้าอี้เอาไว้ ปูเบาะนุ่มนวลด้วย ตู้หนึ่งดูแลลูกค้าผู้มีเกียรติหนึ่งท่านอีกด้านหนึ่ง มีคนรออยู่มากกว่าสิบคน ทุกคนนั่งบนเก้าอี้กำลังกินของว่างและดื่มน้ำชาอยู่ ถ่านเงินกำลังลุกไหม้อย่างอบอุ่นในเตาถ่านแม้ว่าลูกค้าเหล่านี้จะร่ำรวย แตกลับไม่ได้สวมผ้ายก ดูท่าว่าล้วนเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวย ไม่ใช่คนจากตระกูลชั้นสูงแม่นมเกาเหลือบมองออกไป และเห็นว่าลูกค้าคนหนึ่งได้ใส่สร้อยข้อมือทองคำอยู่ในมือ มองดูว่าก็ดูสวยดีเลยให้ห่อมันทั้งหมด รูปแบบดูค่อนข้างทันสมัย แต่หากเทียบกับร้านจิ
จะว่าบังเอิญไหมล่ะ วันถัดไป ตอนที่เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีกำลังเตรียมตัวกลับบ้านฝ่ายหญิงนั้น ท่านหญิงเจียอี้ได้ส่งคนไปส่งรายงานบัญชีให้ และหัวหน้าจ้าวเป็นผู้ส่งมอบสมุดบัญชีเองเนื่องจากสนมฮุ่ยไทเฟยย้ายเข้ามาอาศัยที่จวนอ๋อง ดังนั้นหัวหน้าจ้าวจึงเข้ามาส่งเอง หากนางอยู่ในวัง ท่านหญิงเจียอี้จะเป็นคนส่งสมุดบัญชีไปให้แม่นมเกาคิดว่า หัวหน้าจ้าวคนนี้คงมาเพื่อทำความรู้จักกับคนที่นี่ เมื่อใดที่ไทเฟยไปที่นั่น พวกเขาก็พอมองออกได้สนมฮุ่ยไทเฟยเปิดสมุดบัญชีออกอย่างมีความสุข มีแค่ไม่กี่หน้าเอง และของที่ขายออกไปนั้นล้วนเป็นสินค้าไม่มีค่าเท่าไร ไม่มีของแพงสักชิ้นเลยดูสรุปรายได้สุดท้ายคือขาดทุนในช่วงเวลาสามเดือนนี้ ขาดทุนเงินไปมากกว่าหนึ่งหมื่นตำลึงเงินมากกว่าหมื่นตำลึง มากกว่าเมื่อก่อนเสียอีกสนมฮุ่ยไทเฟยโกรธมากจนตัวสั่นไปหมด แล้วฟาดสมุดบัญชีลงบนพื้น "ทำไมถึงขาดทุนมากขนาดนี้ ให้คำอธิบายกับข้า"หัวหน้าจ้าวคุกเข่าลงกับพื้นและพูดด้วยใบหน้าเศร้าว่า "ไทเฟย ท่านไม่รู้ว่ามันยากแค่ไหนในการทำธุรกิจตอนนี้ เราคิดว่าเราจะทำกำไรสักหน่อยก่อนปีใหม่ ดังนั้นจึงซื้อของกองหนึ่งเผื่อไว้ ใครจะไปรู้ว่าสินค้าเหล่านั
หัวหน้าลู่สั่งให้องครักษ์สองคนเข้าไปทันที และทำท่าจะจับหัวหน้าจ้าวไปที่สำนักรัฐหัวหน้าจ้าวตกใจกลัว และตะโกนว่า "พระชายาท่านอ๋องทรงไว้ชีวิตข้าน้อยขอรับ นี่ไม่ใช่เจตนาของข้าน้อย นี่เป็นความคิดของท่านหญิงเจียอี้ นางเป็นคนสั่งให้ข้าน้อยทำสมุดบัญชีเหล่านี้เพื่อหลอกลวงไทเฟยขอรับ""อะไรนะ?" สนมฮุ่ยไทเฟยโกรธมากจนทุบถ้วยลงกับพื้น "เจียอี้นำสมุดบัญชีปลอมมาหลอกข้าด้วยหรือ"ซ่งซีซีขยับมือ และพูดตัดหน้าสนมฮุ่ยไทเฟย "ในเมื่อสมุดบัญชีก่อนหน้านี้ล้วนเป็นของปลอม ดังนั้นจึงต้องมีสมุดบัญชีจริง"หัวหน้าจ้าวถูกองครักษ์จับตัวไว้ และแขนของเขาก็เจ็บราวกับจะหักเอาอยู่แล้ว เขาไม่กล้าโกหกอีกต่อไป และพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า "มีขอรับ มีขอรับ"เนื่องจากซ่งซีซีต้องการกลับบ้านวันนี้ นางจึงไม่อยากเสียเวลากับเขา เรียกหัวหน้าลู่เข้ามา "รบกวนเจ้าพาสองคนไปร้านจินพร้อมกับเขา เพื่อนำสมุดบัญชีทั้งหมดที่ผ่านๆ มากลับมา แล้วมอบให้กับนักบัญชีของเราคอยตรวจสอบอย่างละเอียด จำเป็นต้องตรวจสอบในแน่ใจว่าสมุดบัญชีเป็นของแท้หรือไม่ หากยังกล้าที่จะกระทำการฉ้อโกง เจ้าไม่จำเป็นต้องกลับมารายงาน เพียงแค่ส่งบุคคลนั้นไปที่สำนักเขตจิงจ้าวโด
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง