Masukณ จวนสกุลอวี้
อวี้หลิงหรงสะดุ้งเฮือก ลืมตาขึ้นราวกับถูกฉุดดึงออกจากขุมนรก นางหอบหายใจถี่เร็ว ลำคอแห้งผากคล้ายจะขาดอากาศไปนาน เหงื่อเย็นผุดขึ้นทั่วกรอบหน้า ร่างกายสั่นสะท้านราวกับเพิ่งผ่านพ้นจากความตาย
นางรีบยกฝ่ามือขึ้นทาบหน้าอกโดยสัญชาตญาณ ภาพสุดท้ายก่อนที่ลมหายใจของนางจะดับไป ยังคงชัดเจนในหัว ปลายมีดเย็นเฉียบที่แทงทะลุขั้วหัวใจ ความเจ็บปวดที่แล่นผ่านทุกอณูของร่างกาย มันทั้งเย็นชาและโหดร้าย
ไยวันนี้บาดแผลนั้นถึงไม่อยู่แล้ว?
แววตาคู่งามสั่นไหวด้วยความสับสน สัมผัสของความตายยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ ทุกครั้งที่หลับตา นางยังรู้สึกถึงคมมีดที่ฉีกกระชากหัวใจของตนออกเป็นชิ้น ๆ
"คุณหนู!! ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ!" เสียงแหลมของใครบางคนดังขึ้น ฝีเท้าเร่งรีบเข้ามาใกล้ ก่อนที่มือเรียวเล็กจะพยายามแตะต้องตัวนาง
ทว่าอวี้หลิงหรงกลับสะบัดสัมผัสนั้นออกอย่างรุนแรง แววตาฉายชัดถึงความหวาดระแวง
"เจ้าเป็นใคร!!"
หญิงสาวตรงหน้าผงะถอยไปข้างหลัง ใบหน้าของอีกฝ่ายดูตกใจไม่น้อย
"จื่อรั่วเองเจ้าค่ะ คุณหนูจำบ่าวมิได้หรือเจ้าคะ"
จื่อรั่ว? ชื่อของสาวใช้ผู้นี้ไม่คุ้นหู นางไม่เคยรู้จักหญิงสาวผู้นี้มาก่อน
สายตาของอวี้หลิงหรงกวาดมองไปทั่วห้อง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ทั้งเครื่องเรือน ฉากกั้นไม้สลักลวดลายงดงาม เชิงเทียนที่ให้แสงสีอ่อนโยน กลิ่นอ่อน ๆ ของไม้หอมที่โชยมาจากมุมห้อง ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
ที่นี่คือที่ไหนกัน? นางไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้ ไม่รู้จักแม้แต่สาวใช้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
"ข้าอยากอยู่คนเดียว" นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
แม้จะยังงุนงงกับอาการผิดปกติของผู้เป็นนาย แต่จื่อรั่วก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง นางเพียงค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะก้าวถอยหลังออกไปอย่างว่าง่าย แล้วปิดประตูลงเบา ๆ
อวี้หลิงหรงรีบลุกขึ้นจากเตียง ร่างกายของนางเบากว่าที่เคยเป็น ดวงตาหวาดหวั่นไล่มองหาสิ่งที่สามารถสะท้อนภาพของตนเองได้ และแล้วสายตาของนางก็ไปหยุดอยู่ที่กระจกทองเหลืองบานใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง
มือที่ยังสั่นสะท้านเอื้อมไปแตะขอบกระจก ก่อนจะชะโงกหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนของตนเอง
ดวงตาของนางเบิกกว้าง
ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกไม่ใช่ของนาง! ริมฝีปากแดงระเรื่อรับกับใบหน้ารูปไข่ ดวงตาดอกท้อดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล เส้นผมดำขลับยาวสยายคลอเคลียอยู่บนไหล่ ผิวกายเนียนละเอียดขาวราวหิมะ
ดวงตาของอวี้หลิงหรงสั่นระริก มือเรียวบางยกขึ้นแตะสัมผัสใบหน้าใหม่ของตนเองอย่างหวาดหวั่น ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาในคราเดียว ราวกับคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดเข้าหานางจนทำให้หายใจไม่ออก
ตอนนี้นางเข้าใจอย่างกระจ่างแล้วว่า นี่ก็คือชีวิตชาติที่สี่ของนาง และหากนับรวมกับชาติเดิมที่นางเป็นอวี้เหมยลี่ นี่ก็คงเป็นชาติที่ห้าของนางแล้ว
อวี้เหมยลี่เคยผ่านความตายมาแล้วหลายครั้งและนางก็ยังคงจดจำทุกชาติที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน
ความกลัวแล่นขึ้นมาจับขั้วหัวใจ นางถอยหลังออกจากกระจกหนึ่งก้าว สองก้าว ก่อนจะทรุดเข่าลงบนพื้นห้องอันเย็นเยียบ ริมฝีปากที่สั่นระริกถูกขบกัดจนเลือดซึม ร่างกายของนางเย็นเฉียบไปหมด
"ไม่จริง.. ไม่จริง!!!" เสียงกรีดร้องดังสะท้อนไปทั่วห้อง ความหวาดหวั่น ความสับสน ความสิ้นหวัง ทุกอย่างระเบิดออกมาในคราวเดียวเมื่อชีวิตสิ้นสุดลงในโลกหนึ่ง นางจะฟื้นขึ้นมาในโลกใหม่พร้อมความทรงจำจากชาติเก่าที่ยังคงฝังแน่นดั่งตรวนแห่งความทุกข์
ฝันร้ายจากชาติก่อนยังคงชัดเจนราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน หยาดเลือด น้ำตา และความเจ็บปวดต่างสลักลึกลงในจิตวิญญาณ เมื่อไหร่นางถึงจะหลุดพ้นจากวังวนแห่งความทรมานนี้เสียที สวรรค์ต้องการเห็นนางตายอีกกี่ครั้งถึงจะพอใจ!
เสียงหยดน้ำดังสะท้อนในห้องอันมืดสลัว อ่างอาบน้ำไม้เก่าแก่ตั้งอยู่กลางห้อง สภาพเก่าโทรมของมันดูราวกับพร้อมจะพังลงได้ทุกเมื่อ ภายในอ่างเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงฉาน ไหลรินจากเรือนกายอันบอบบางของหญิงสาวผู้หนึ่ง
อวี้หลิงหรงนอนเอนกายพิงขอบอ่าง ใบหน้าของนางซีดเซียวราวไร้ชีวิต หยาดโลหิตซึมไหลจากรอยบาดลึกทั่วข้อมือ เส้นผมดำขลับเปียกชุ่มสยายกระจายลงมาถึงพื้น ดวงตาเรียวคู่งามที่เคยมีประกายสดใส บัดนี้มีเพียงความว่างเปล่า
นางจ้องมองแสงเทียนที่ริบหรี่ใกล้ดับ พร้อมกับดวงตาที่ค่อย ๆ ปิดลง น้ำเสียงแผ่วเบาที่ไม่มีใครได้ยินเล็ดรอดจากริมฝีปากซีดขาว
"พอแล้ว.." ร่างของนางเริ่มด้านชา พร้อมกับการเต้นของหัวใจที่แผ่วลงเรื่อย ๆ แสงเทียนที่เคยส่องสว่างค่อย ๆ เลือนลางลง จนในที่สุดก็จมลงสู่ความมืดมิด
นางตายแล้ว..
หรืออย่างน้อยก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่ปรากฏตรงหน้าคือนางกำลังถือมีดเล่มเดิมที่เคยใช้เพื่อปลิดชีพตนเองในอ่างน้ำ ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยความว่างเปล่ากลับเปลี่ยนเป็นตกตะลึงและหวาดกลัว
"นี่มัน.. เรื่องบ้าอะไรกัน" เสียงของนางสั่นพร่า ความจริงที่โหดร้ายประดังเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์
ตลอดเวลาที่มาสวมร่างนี้ นางได้พยายามจบชีวิตตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อหนีจากชะตากรรมอันโหดร้าย แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ทุกครั้งที่นางสิ้นใจ นางจะกลับมาที่จุดเดิมเสมอ
อวี้หลิงหรงทรุดตัวลงกับพื้น มีดในมือหล่นลงกระทบพื้นไม้ดังสนั่น ร่างกายที่เคยแข็งแกร่งกลับสั่นสะท้านราวกับไร้เรี่ยวแรง นางกรีดร้องสุดเสียง น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย
"ไม่เอาแล้ว"
เสียงสะอื้นดังสะท้อนก้องในความมืดมิด หัวใจที่แหลกสลายไม่อาจเยียวยาได้ ความหวังเดียวของนาง คือการปลดปล่อยตนเองจากวงจรอันโหดร้ายนี้ให้ได้ แต่นางจะทำเช่นไรในเมื่อทุกความพยายามล้วนไร้ผล..
หนึ่งเดือนต่อมา
เรือนหลังเล็กทางทิศประจิมของจวนสกุลอวี้อันเป็นที่พำนักของอวี้หลิงหรง มีต้นหลิวลู่ลมขนาดใหญ่ถูกปลูกไว้ที่ริมสระบัว ใต้ต้นหลิวนั้นมีโต๊ะหินอ่อนเหมาะสำหรับนั่งดื่มชาและเล่นหมากล้อม
อวี้หลิงหรงยกถ้วยชาขึ้นจิบ ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยความสดใส บัดนี้กลับเฉยชาอย่างน่าใจหาย
นางพึ่งตระหนักได้ในช่วงหนึ่งเดือนที่ติดอยู่ในร่างนี้ว่าความตายนั้นไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถไขว่คว้าได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้ง สุดท้ายผลลัพธ์ก็คือการย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้นเดิมเสมอ
หากลองมองย้อนไปแล้วก็น่าขันสิ้นดี ในชาติก่อน ๆ แม้นางจะพยายามดิ้นรนมีชีวิตเพียงใด สุดท้ายกลับถูกกำหนดให้ตายอย่างน่าอนาถเสมอ ทว่าชาตินี้ที่นางไม่ต้องการมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว..
นางกลับตายไม่ได้เสียอย่างนั้น
เมื่อตระหนักว่าไม่มีทางหนี นางจึงเลือกที่จะเลิกดิ้นรน ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวัน ๆ อย่างเรื่อยเปื่อย นั่งจิบชา กิน นอน ปล่อยเวลาไหลไปเหมือนสายน้ำโดยไร้ความหวังและจุดหมาย นางไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ไม่แม้แต่ความโปรดปรานหรือความรักที่ตนเคยพยายามไขว่คว้า
"คุณหนูกลับเข้าเรือนไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ เย็นนี้นายท่านเรียกให้คุณหนูไปรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวด้วยนะเจ้าคะ" จื่อรั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ดวงตาของอวี้หลิงหรงหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความสงสัย ครอบครัวที่ไม่เคยแม้แต่จะมองหน้าหรือแยแสชีวิตของเจ้าของร่างนี้มานาน เหตุใดจึงต้องการพบกันในวันนี้? นางยังคงนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับอย่างเฉื่อยชา
"อืม ข้ารู้แล้ว" อวี้หลิงหรงลุกขึ้นก่อนจะเดินกลับเข้าไปในเรือนของตนอย่างว่าง่าย
อวี้หลิงหรง
คือชื่อของร่างที่นางเข้ามาสวมในชาตินี้ นางเป็นบุตรสาวคนที่สามของเสนาบดีอวี้เฉิง ขุนนางผู้ทรงอำนาจแห่งแคว้นหาน
ว่ากันว่าเมื่อครั้งที่คุณหนูอวี้ผู้นี้ได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก ก็เป็นวันเดียวกันที่มารดาของนางจากโลกนี้ไป เหตุการณ์ในวันนั้นสร้างความเศร้าโศกเสียใจให้แก่เสนาบดีอวี้เฉิง รวมถึงคุณชายทั้งสองเป็นอย่างมาก
เสนาบดีอวี้เฉิงรวมถึงบุตรชายทั้งสองของท่าน จงเกลียดจงชังคุณหนูอวี้หลิงหรงเป็นอย่างมาก และโทษว่าเป็นความผิดของนาง ที่เป็นต้นเหตุให้สตรีอันเป็นที่รักของพวกเขาจากไป ต่างจากคุณหนูรองอย่างอวี้ซูเม่ย บุตรสาวคนเล็กที่เกิดจากฮูหยินคนใหม่ผู้ซึ่งเป็นที่รักของทุกคน
ก่อนที่นางจะเข้ามาสวมร่างนี้ อวี้หลิงหรงถูกบิดาสั่งลงโทษด้วยความผิดฐานที่ขโมยปิ่นหยกของคุณหนูรอง ด้วยการใช้หวายเฆี่ยนตีนับสิบครั้ง อีกทั้งยังถูกขังให้อยู่แต่ในห้องนอนจนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงสามวัน
ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและความเสียใจที่สั่งสมมาตลอดหลายสิบปี ทำให้อวี้หลิงหรงตัดสินใจแขวนคอตายภายในห้องนอนของตนอย่างโดดเดี่ยว วินาทีที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเจ้าของร่างหมดลง.. นางก็ได้เข้ามาสวมร่างนี้แทน
ต่อมาสาวใช้ที่ชื่อว่าจื่อรั่ว เล่าให้นางฟังว่า..
วันนั้นก็เป็นอีกวันหนึ่งที่จื่อรัวนั้นยกสำรับเช้ามาที่เรือนหลังเล็กทางทิศประจิม แต่เมื่อบานประตูถูกเปิดออก ภาพที่นางเห็นกลับทำเอาสำรับที่ถือมานั้นหล่นแตกกระจายไปทั่วพื้นห้อง
คุณหนูอวี้หลิงหรงกำลังขาดอากาศหายใจและดิ้นทุรนทุรายอยู่บนผ้าสีขาวที่ถูกใช้เป็นเชือกสำหรับแขวนคอ
แม้จะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่จื่อรั่วก็รีบวิ่งผ่าเศษถ้วยชามเข้าไปเพื่อยกร่างของคุณหนูขึ้น เพื่อให้ท่านไม่ขาดอากาศหายใจ จากนั้นก็ทำได้เพียงแค่กรีดร้องขอความช่วยเหลือจากทหารยามแถวนั้น สุดท้ายก็ช่วยชีวิตของท่านได้ทันท่วงที
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางต้องใช้ชีวิตอยู่ในร่างของคุณหนูอวี้หลิงหรงผู้นี้ แทนเจ้าของร่างเดิมที่ฆ่าตัวตายไป บอกตามตรงว่านางไม่เคยรู้เลยว่าโลกที่ตนอาศัยอยู่นั้นแท้จริงคือที่ใดกันแน่
ไม่รู้เลยว่ามันคือโลกในนิยาย เหมือนในนิยายแนวทะลุมิติที่ตนเคยอ่านในชาติเดิมหรือเปล่า ทว่าสิ่งเดียวที่นางรับรู้.. ก็คือนางไม่เคยอ่านนิยายเหล่านี้มาก่อน
ไม่เคยอ่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หลังเหตุการณ์กบฏสิ้นสุดลง ชะตาชีวิตของหลายคนก็พลิกผัน แต่ชื่อของเว่ยลี่หลินกลับไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีโทษของผู้ใด ด้วยเพราะนางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวทั้งสิ้น นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานหมากใหญ่แห่งราชสำนัก โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเลือกหนทางให้ตนเองราชโองการให้หย่าขาดจากอดีตองค์รัชทายาทฉินจื่อหยวนผู้ล่วงลับ ถูกประกาศออกมาในวันที่ฟ้าครึ้มฝน แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้คงถูกนำไปนินทาอย่างสนุกปากจากบรรดาบุตรสาวขุนนาง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยอมรับมันโดยสงบ แม้จะต้องทิ้งนามพระชายาที่เคยเป็นทั้งเกียรติและพันธนาการ แต่ก็แลกมาด้วยอิสรภาพที่นางโหยหามานานเว่ยลี่หลินกลับไปใช้สกุลเดิม “เว่ย” ตามเดิม บรรดาผู้คนในวังต่างนินทาว่านางคงตกต่ำลงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้สึกเบาใจขึ้นเพียงใด เมื่อไม่ต้องฝืนยิ้ม ไม่ต้องสวมหน้ากากให้ใครมองอีกต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองหลวงและออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้น โดยไม่มีรถม้าหรูหรา มีเพียงบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและหีบเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้เท่าที่จำเป็นผู้คนถามว่าสตรีผู้เคยเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะไปที่ใด
หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียผ่านพ้นไป ฤดูร้อนก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสายลมอบอุ่นและแสงแดดอ่อนที่ราวกับช่วยลบล้างความขมขื่นในหัวใจอวี้หลิงหรงในวัยครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีมือของฉินเฉินอวี้คอยประคอง ดวงตานางทอดมองวังหลวงที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนบางให้พระสวามีของตนวันนี้เป็นวันมงคลของแผ่นดิน..วันแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็คือพระสนมสวี่ซิงเหยียน พระมารดาขององค์ชายหกภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างร่วมงานด้วยสีหน้าปีติยินดี เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบาประกอบท่วงท่าแห่งพิธีอันสง่างามเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง องค์ฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนและฮองเฮาสวี่ซิงเหยียนจึงทรงเรียกองค์ชายหกและพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว“อวี้เอ๋อร์... ข้ากับมารดาของเจ้าต่างเห็นพ้องกัน ว่าเจ้าคือผู้เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท” เสียงของฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นฉินเฉินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้อมกายลงด้วยความเคารพ แล
เมื่อฉินจื่อหยวนตระหนักได้ว่าการดวลกับนางต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ เขาจึงหันสายตาไปยัง ฉินเฉินอวี้ที่ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่กระบี่ของอวี้หลิงหรงฟาดสวนมาทางเขาอีกครั้ง ฉินจื่อหยวนก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนทิศทางของดาบในมือ พุ่งออกไปทางฉินเฉินอวี้ แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะเข้าถึงตัวของชายผู้ที่บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว สตรีในชุดดำก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างไม่ลังเล"ไม่!!!" อวี้หลิงหรงกรีดร้องสุดเสียง นางพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดชีวิต เพื่อที่จะสกัดกั้นคมดาบนั้นให้ได้ นางรู้ดีว่าตนไม่มีทางปัดป้องได้ทันเวลา และในครรภ์ของนางก็ยังมีชีวิตน้อย ๆ อยู่อีกหนึ่งคน ในชั่วพริบตาแห่งการตัดสินใจ นางปล่อยกระบี่ในมือลงกับพื้น ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับคมดาบด้วยตัวเอง!เสียงฉีกขาดของเนื้อดัง ฉัวะ! โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นท่วมสองฝ่ามือ“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของอวี้หลิงหรงดังก้องสะท้อนทั่วลาน ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังบาง ๆ ของนางที่ยืนขวางเขาเอาไว้ชั่วขณะนั้น..เวลาราวกับหยุดหมุนดวงตาคู่งามสั่นไหวด้วยความปวดร้าว มือทั้งสองที่เปื้
ค่ำคืนมืดครึ้มในวังหลวง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆทมิฬ เสียงสายลมหวีดหวิวกรีดผ่านยอดหลังคาตำหนักฟังแล้วชวนขนหัวลุก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงโคมไฟในวังริบหรี่ลงทุกขณะณ ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่พำนักขององค์ฮ่องเต้ประตูไม้สลักลายมังกรปิดสนิท แผ่นหิมะเกาะขอบหลังคาเงียบงัน ใต้ผ้าห่มแพรแดงลายมังกรบนเตียงไม้แกะสลัก มีสองร่างนอนแนบชิดกันอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงภัยเงาร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านเสียงลม เงาร่างชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตามเงาเสา เงียบเชียบราวกับเป็นเพียงเงาจันทร์สาดทาบพื้น พวกมันลอบเข้ามาจากทางระเบียงด้านข้าง ดาบในมือแต่ละเล่มยังเปื้อนเลือดสดจากทหารยามเฝ้าเวรหนึ่งในนั้นยกดาบขึ้นสูงเหนือร่างบนเตียง ก่อนจะแทงลงกลางอกด้วยแรงทั้งหมดโดยไร้ซึ่งความลังเลทว่าร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกับนิ่งเงียบไม่ไหวติง มือสังหารรีบกระชากผ้าห่มผืนใหญ่ออกอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม ไม่ใช่ร่างของฮ่องเต้หรือพระสนมสวี่ แต่เป็นเพียงหมอนข้างที่ซ้อนกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเท่านั้น“กับดัก..?” เสียงพร่าของมือสังหารเพิ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะได้หันไป
หลังจากการประชุมวานนี้ องค์ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอวี้ฮวา ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์นาง ในขณะเดียวกัน นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮากลับถูกลากตัวไปยังคุกหลวง ถูกทรมานเพื่อหาความจริง นางกรีดร้องปานวิญญาณหลุดจากร่าง เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในห้องขังแคบ ๆ ส่วนทางด้านพระสนมสวี่ แม้นางจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้รักยิ่ง แต่ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิกลับเย็นชาดุจน้ำแข็งหลายวันมาแล้วที่พระสนมสวี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจของนางเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ยามคิดถึงบิดาที่กำลังถูกจองจำในคุกหลวง ด้วยใจระทมทุกข์ นางจึงรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมบิดาแต่องค์จักรพรรดิก็หาได้เหลียวแลไม่ “ขอฝ่าบาทเมตตา..” พระนางคุกเข่าท่ามกลางลมหนาว หยดน้ำตาของพระสนมคล้ายหยาดพิรุณตกต้องใจใครบางคน แต่ก็ไม่อาจทะลุม่านเย็นชาของผู้เป็นกษัตริย์ได้หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความเงียบงันของลานหน้าพระตำหนักเฉียนชิง สตรีผู้สูงศักดิ์ในชุดแพรบางสีครามยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หยดน้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีดเซียว“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาทูลว่า
ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า บรรยากาศตึงเครียดจนแทบสัมผัสได้ เสนาบดีเจียงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความมั่นใจ เขากำลังกล่าวถ้อยคำฟังดูหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย“กระหม่อมเห็นว่า...การมีโรงกษาปณ์เถื่อนตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลินซึ่งอยู่ในเขตปกครองของสกุลสวี่ ย่อมบ่งชี้ถึงความพยายามในการสะสมกำลังและท้าทายราชอำนาจ เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม หากไม่สอบสวนให้ถึงที่สุด เกรงว่าความมั่นคงของแผ่นดินจะสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางหลายคนพากันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่บางส่วนก็เหลือบมองกันไปมา ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจของตระกูลสวี่และความแข็งแกร่งของกลุ่มเจียงระหว่างที่คำกล่าวหายังไม่สิ้นสุด เสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฝ่าฝืนความเงียบที่กดดันเขาเข้าไปกระซิบอย่างเร่งร้อนกับกงกงคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากระซิบรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นตัว“ฝ่าบาท..พระชายาขององค์ชายหก เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับหมู่บ้านชิงหลิน ที่ต้องทูลต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย”องค์ฮ่องเต้ชะงักเพียงเล็กน้อ







