Masukอวี้หลิงหรงเดินทางไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนเสนาบดี เมื่อก้าวเข้าไป ภาพของชายวัยกลางคนผู้เปี่ยมด้วยอำนาจและบารมีอย่างเสนาบดีกลมคลังอวี้เฉิง ผู้เป็นบิดาของร่างนี้นั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะอาหาร
รอบข้างเหล่าสมาชิกสกุลอวี้นั่งเรียงราย แต่งกายด้วยชุดที่ถูกตัดเย็บจากผ้าไหมผ้าแพรชั้นดี ประดับด้วยลวดลายปักมืออย่างวิจิตรบรรจง บรรยากาศภายในห้องอาหารนั้นดูอบอุ่น จนกระทั่งอวี้หลิงหรงเดินมาถึง
ทันทีที่นางก้าวเข้าไป เสียงตวาดก็ดังขึ้นโดยไม่ให้โอกาสแม้แต่จะกล่าวคำทักทาย
"โผล่หัวออกมาได้แล้วหรือ เลิกบ้าแล้วหรือไร!"
เสียงของอวี้เฉินก้องกังวานในห้องโถง ดวงตาคมกริบของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก เพราะหลังจากวันที่เขาลงโทษอวี้หลิงหรงโทษฐานขโมยปิ่นของอวี้ซูเม่ย นางก็ได้ประชดประชันเขาด้วยการแขวนคอตนเองภายในห้อง สร้างความอับอายให้แก่สกุลอวี้เป็นอย่างมาก
อีกทั้งตลอดหนึ่งเดือนมานี้ นางเอาแต่ขังตนเองไว้ในห้องและเอาแต่กรีดร้องราวกับคนเสียสติ จนข่าวลือแพร่ไปทั่วว่าบุตรสาวคนโตของสกุลอวี้เป็นคนบ้า
อวี้หลิงหรงยืนนิ่ง ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก ราวกับคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่าน นางไม่ตอบโต้ ไม่แก้ตัว ใครจะพูดเช่นไรก็ปล่อยให้เขาพูดไป
"เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าและบิดาของเจ้ามีเรื่องจะคุยด้วย" อวี้ลี่อิน ฮูหยินคนปัจจุบันของเสนาบดีอวี้เฉิง ผู้มีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงของอวี้หลิงหรงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา ดูเหมือนว่าเรื่องที่พวกเขาจะคุยวันนี้คงมิใช่เรื่องดีสำหรับนางเป็นแน่
"เม่ยเม่ยคารวะพี่สามเจ้าค่ะ" เสียงหวานของอวี้ซูเม่ย น้องสาวต่างแม่ของอวี้หลิงหรงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเป็นมิตร ในความทรงจำของเจ้าของร่างเก่านั้นอวี้ซูเม่ยคือน้องสาวที่น่ารักและบอบบาง
ทว่ากับนางที่เคยถูกน้องสาวและสามีหักหลังมาก่อน ชาตินี้นางมองปราดเดียวก็รู้ว่าอวี้ซูเม่ยผู้นี้กับอิซาเบลล่าเป็นผู้หญิงแบบเดียวกัน ดูจากปิ่นที่อวี้ซูเม่ยตั้งใจปักมาในวันนี้ มันก็คือปิ่นอันเดียวกันกับที่เคยกล่าวหาว่าอวี้หลิงหรงโมยไป จนเป็นเหตุให้นางต้องถูกลงโทษ
ไม่ว่าที่ไหนก็มีแต่พวกงูพิษ
"ท่านพ่อมีธุระอันใดกับลูกหรือเจ้าคะ?" อวี้หลิงหรงเมินคำทักทายของอวี้ซูเม่ยโดยไม่เหลียวมอง ก่อนจะหันไปพูดกับบิดาด้วยสีหน้าราบเรียบ อวี้ซูเม่ยที่ถูกเมินย่อมรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย ทว่าก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
เพราะรู้ว่าอย่างไร พี่ชายทั้งสองก็ต้องออกโรงปกป้องตน
"หรงหรง! เจ้าช่างไร้มารยาทนัก! นอกจากมาช้าแล้วยังไม่คารวะผู้ใหญ่ แถมยังเมินการทักทายของน้องสี่อีกหรือ หากข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนาง คงนึกว่านี่เป็นพฤติกรรมของบ่าวไพร่!"
เสียงตำหนิของ อวี้หยุน ผู้เป็นบุตรชายคนโตดังขึ้นด้วยความไม่พอใจ ดวงตาสะท้อนความเกลียดชังอย่างชัดเจน อวี้หลิงหรงปรายตามองพี่ชาย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ท่านนั่นแหละที่ไร้มารยาท ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของท่านพ่อ หาใช่เสนอหน้ามาเอง และที่สำคัญ ข้ากำลังสนทนากับท่านพ่ออยู่ มันใช่เวลาที่ท่านจะมาสอดปากสั่งสอนข้าหรือ?"
"หรงหรงเจ้าพูดแรงเกินไปแล้ว" อวี้เหวิน พี่ชายคนรองเอ่ยปรามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเป็นคนสุขุมและใจเย็นต่างจากพี่ชายคนโตที่หุนหันพลันแล่น แต่ถึงอวี้เหวินจะเป็นบุรุษที่ฉลาดหลักแหลมหรือใจเย็นเพียงใด แต่กับน้องสาวแท้ ๆ ของตนนั้นเขากลับใจแคบและเย็นชา
อวี้หลิงหรงปรายตามองอวี้เหวิน ก่อนแค่นหัวเราะเย้ยหยัน "ทีตอนเขาว่าข้า ท่านกลับมิคิดเอ่ยปรามสักคำ แต่พอถึงคราวข้าตอบกลับบ้าง กลับกลายเป็นข้าพูดแรงเกินไปเสียแล้ว" นางกล่าวจบก็เบือนหน้าหนี ราวกับไม่คิดเปลืองน้ำลายสนทนากับพวกเขาต่อ
ขณะบรรยากาศเคร่งเครียด อวี้ซูเม่ยกลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"พี่ใหญ่พี่รองอย่าอารมณ์เสียไปเลยเจ้าค่ะ พี่สามท่านอาจแค่น้อยใจพวกเราเพราะเรื่องคราวก่อน"
อวี้ซูเม่ยหันกลับมาสบตากับนางพร้อมกับน้ำตาที่คลอหน่วยก่อนจะพูดต่อ
"พี่สาม..เรื่องที่ท่านขโมยปิ่นของข้าไป ข้ามิได้ถือสาเอาความ เพราะอย่างไรเราทั้งสองเป็นพี่น้องกัน สิ่งใดที่ท่านอยากได้ข้าล้วนยินดีมอบให้ แต่ข้าขอร้องท่านพี่..ท่านอย่าโกรธพี่ใหญ่แล้วก็พี่รองเลยนะเจ้าคะ"
อวี้หลิงหรงยืนมองละครฉากใหญ่ด้วยใบหน้าราบเรียบ พลางขมวดคิ้วคิดในใจว่าคนบ้านนี้เป็นอะไรกันไปหมด จะไม่มีคนปกติให้นางคุยบ้างเลยหรือ แล้วนังผู้หญิงนี่มัวแต่พล่ามอะไรอยู่ได้ตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว?
"พี่สามหากท่านยังไม่พอใจท่านจะทุบตีข้าก็ได้" อวี้ซูเม่ยเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลรินลงมาราวกับสั่งได้
อวี้หลิงหรงปัดมือไปมาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ข้าไม่ดูละครลิง เลิกแสดงเถอะมันน่ารำคาญ"
อวี้ซูเม่ยชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น นางกะพริบตาปริบ ๆ ให้หยาดน้ำตาหยดลงมาอีกสองสามหยด หวังให้คนรอบข้างเกิดความสงสาร "พี่สาม..ข้าไม่เข้าใจ ท่านเคยรักและเอ็นดูข้ามาก่อน เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้"
นางกัดริมฝีปากแดงระเรื่อ ทำท่าทีราวกับเด็กสาวผู้ถูกทอดทิ้ง
อวี้หลิงหรงกลอกตา ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ เห็นสายตาของเหล่าข้ารับใช้และญาติพี่น้องบางคนที่เริ่มซุบซิบกัน นางถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย สายตาแบบนี้นางเห็นมาทั้งชีวิตแล้ว ไม่คิดว่าชาตินี้นางก็ยังหนีไม่พ้นสายตารังเกียจดูแคลน
"อวี้ซูเม่ย ข้าไม่เคยรักหรือเอ็นดูเจ้า" นางเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ "เจ้าสมองเพี้ยนไปแล้วหรือ?"
ใบหน้าของอวี้ซูเม่ยซีดเผือดไปทันที "ท่าน..!" นางกำมือแน่น กัดริมฝีปากแน่นจนเกือบห้อเลือด
ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและสายตาของผู้คนที่จับจ้อง เสียงร้องไห้สะอื้นของอวี้ซูเม่ยยังคงดังก้องอยู่ภายในห้องโถง อวี้หลิงหรงเพียงปรายตามองด้วยความเหนื่อยหน่าย นางจึงคิดจะลุกออกจากโต๊ะอาหาร
"พอได้แล้ว!" เสียงทุ้มต่ำที่แฝงด้วยอำนาจของเสนาบดีอวี้เฉิงดังขึ้น ขัดจังหวะความวุ่นวายทั้งหมด ทุกคนเงียบกริบโดยอัตโนมัติ
อวี้หลิงหรงค่อย ๆ หันไปสบตากับบิดาของตน ใบหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ของนางทำให้บรรยากาศในห้องอาหารเย็นเยียบลงกว่าเดิม
"เจ้าคงพอใจกับการกลั่นแกล้งน้องสาวของเจ้าแล้วกระมัง?" เสียงของเสนาบดีอวี้เฉิงราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความกดดัน เขาจับจ้องบุตรสาวคนโตของตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและไม่แยแส
"เจ้าช่างหยาบคายและอวดดีขึ้นทุกวัน ข้าชักจะสงสัยแล้วว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลอวี้อย่างเจ้าถูกเลี้ยงดูมาเช่นไรกันแน่"
อวี้หลิงหรงไม่ได้แสดงท่าทีสะทกสะท้านต่อคำพูดนั้น นางเพียงแค่นั่งเงียบ ปล่อยให้บิดาของตนได้พูดไปตามที่เขาต้องการ
เสนาบดีอวี้เฉิงจ้องหน้านางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไป
"แต่ช่างเถิด ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้มิใช่เพราะเรื่องไร้สาระของพวกเจ้า" เขาวางตะเกียบลงบนโต๊ะเสียงดัง พลางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้"
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง มองอวี้หลิงหรงด้วยสายตาที่ไม่ต่างอะไรจากการมองเครื่องมือชิ้นหนึ่ง แล้วจึงกล่าวต่ออย่างไร้เยื่อใย
"เดือนหน้าเจ้าจงเตรียมตัวเดินทางไปแคว้นฉินพร้อมกับขบวนเสบียงเสีย"
ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา บรรยากาศภายในห้องอาหารเงียบลงอย่างน่าประหลาด ทุกคนต่างมีสีหน้าตกตะลึง อวี้ซูเม่ยที่ร้องไห้อยู่เมื่อครู่ก็พลันหยุดสะอื้น นางเบิกตากว้าง ริมฝีปากแสยะเล็กน้อยด้วยความสะใจ
ในบรรดาเจ็ดแคว้น แคว้นหาน คือแคว้นที่เล็กที่สุดและถูกขนานนามว่าเป็นกวางน้อยในดงเสือ เพราะดินแดนแห่งนี้ถูกกระหนาบด้วยแคว้นใหญ่จากทุกทิศ และมักถูกคุกคามโดยแคว้นอื่น ๆ เสมอโดยเฉพาะ 'แคว้นฉิน'
เมื่อหลายปีก่อน แคว้นหานได้ถูกกองกำลังทหารจากแคว้นฉินยกทัพมาลุกลามดินแดนทางตอนใต้ โดยทางฝั่งแคว้นหานเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ยกกำลังทหารไปป้องกันชายแดนอย่างกล้าหาญ
ทั้งสองเปิดฉากสู้รบกันกินเวลานับเดือน แต่ด้วยจำนวนที่น้อยกว่าและป้องกันก่อนที่ความสูญเสียจะมากกว่านี้ แคว้นหานจึงยอมยกธงขาวยอมแพ้แต่โดยดี
ทางแคว้นหานได้ส่งราชทูตไปเจรจากับแคว้นฉินเพื่อขอสงบศึก โดยที่ทางนั้นเองได้ยื่นข้อเสนอมาว่า ในทุก ๆ ปีให้แคว้นหานค่อยส่งเสบียงหนึ่งในห้าส่วนให้กับทางแคว้นฉินและต้องส่งสาวงามไปแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับแคว้นฉินปีละคน
โดยที่ต้องเป็นสตรีที่มีสายเลือดของราชวงศ์เท่านั้น ต่อมาก็ได้มีการเจรจาต่อรองให้เพิ่มเติมจากราชวงศ์เป็นบุตรสาวจากตระกูลขุนนาง แลกกับการให้ยืมกองกำลังมาปกป้องแคว้นหานจากการรุกลามของแคว้นอื่น ๆ
ทว่าลูกใคร ใครก็รัก มิมีขุนนางตระกูลใดเต็มใจอยากจะส่งบุตรสาวอันเป็นที่รักของตนไปเป็นเชลยที่แคว้นอื่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฮ่องเต้จำต้องใช้วิธีเสี่ยงดวงในการเลือกเจ้าสาวไปแต่งงานที่แคว้นฉิน
รายชื่อของบุตรสาวตระกูลขุนนาง รวมถึงองค์หญิงที่อายุสมควรแก่การออกเรือนจะถูกเขียนและหย่อนลงในโถทองคำ และผู้ใดที่ถูกองค์ฮ่องเต้จับได้ชื่อ จะต้องถูกส่งไปแต่งงานพร้อมกับขบวนเสบียงอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
ทว่าปีนี้เสนาบดีกลมคลังอย่างอวี้เฉิง ได้เสนอชื่อบุตรสาวคนโตของตนอย่างอวี้หลิงหรงให้ไปแต่งงานที่แคว้นฉินด้วยความเต็มใจ และเขาก็ได้รับสินน้ำใจใต้โต๊ะจากขุนนางคนอื่น ๆ เป็นกอบเป็นกำ
อวี้หลิงหรงนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเบา ๆ นางยกถ้วยชาในมือขึ้นมาจิบอย่างไม่ทุกข์ร้อน
"องค์ฮ่องเต้จับได้ชื่อของข้าหรือเจ้าคะ" อวี้หลิงหรงสบตากับบิดาของตนเพียงชั่วครู่ ทันใดนั้นเองนางก็เข้าใจแล้วว่า การส่งตัวเจ้าสาวไปยังแคว้นฉินคราวนี้ มิได้เป็นเพราะองค์ฮ่องเต้จับได้ชื่อนาง แต่เป็นเพราะเสนาบดีอวี้เฉิงผู้นี้ เต็มใจที่จะขายนางไปเป็นเชลยแทนบุตรสาวตระกูลอื่น
เสนาบดีอวี้เฉิงไม่ได้ตอบในทันที แต่เพียงแค่ความเงียบและสีหน้าเรียบเฉยของเขาก็มากพอจะเป็นคำตอบ
นางไม่ได้แสดงท่าทีแตกตื่นหรือต่อต้านอย่างที่ใครต่อใครคาดหวัง แต่กลับยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอีกครั้ง ท่ามกลางบรรยากาศที่หนักอึ้ง เสียงกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะดังขึ้นเบาๆ นางเหลือบมองบิดาของตนด้วยสายตาเรียบนิ่ง
"ข้าเข้าใจแล้ว" นางกล่าวสั้น ๆ
ทว่าคำตอบของนางนั้นกลับทำให้ทุกคนแปลกใจ เป็นไปไม่ได้ที่อวี้หลิงหรงจะยอมไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ หากเป็นปกตินางก็คงจะกอดขาร้องไห้ ขอร้องให้ท่านพ่อช่วยนางอย่างแน่นอน
ดวงตาของเสนาบดีอวี้เฉิงวูบไหวเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาเย็นชาเช่นเดิม ถึงเขาจะแปลกใจที่นางยอมไปง่ายกว่าที่คิดแต่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว ทั้งสำหรับนางเองรวมถึงสกุลอวี้
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ "เจ้าไม่มีอย่างอื่นที่อยากพูดแล้วหรือ?"
อวี้หลิงหรงคลี่ยิ้มจาง รอยยิ้มของนางดูเย็นชาและแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน
"ท่านพ่อต้องการให้ข้าร้องขอความเมตตาจากท่านหรือเจ้าคะ?" นางแค่นหัวเราะก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ข้าไม่ทำเรื่องที่เปล่าประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ"
หลังเหตุการณ์กบฏสิ้นสุดลง ชะตาชีวิตของหลายคนก็พลิกผัน แต่ชื่อของเว่ยลี่หลินกลับไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีโทษของผู้ใด ด้วยเพราะนางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวทั้งสิ้น นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานหมากใหญ่แห่งราชสำนัก โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเลือกหนทางให้ตนเองราชโองการให้หย่าขาดจากอดีตองค์รัชทายาทฉินจื่อหยวนผู้ล่วงลับ ถูกประกาศออกมาในวันที่ฟ้าครึ้มฝน แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้คงถูกนำไปนินทาอย่างสนุกปากจากบรรดาบุตรสาวขุนนาง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยอมรับมันโดยสงบ แม้จะต้องทิ้งนามพระชายาที่เคยเป็นทั้งเกียรติและพันธนาการ แต่ก็แลกมาด้วยอิสรภาพที่นางโหยหามานานเว่ยลี่หลินกลับไปใช้สกุลเดิม “เว่ย” ตามเดิม บรรดาผู้คนในวังต่างนินทาว่านางคงตกต่ำลงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้สึกเบาใจขึ้นเพียงใด เมื่อไม่ต้องฝืนยิ้ม ไม่ต้องสวมหน้ากากให้ใครมองอีกต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองหลวงและออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้น โดยไม่มีรถม้าหรูหรา มีเพียงบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและหีบเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้เท่าที่จำเป็นผู้คนถามว่าสตรีผู้เคยเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะไปที่ใด
หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียผ่านพ้นไป ฤดูร้อนก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสายลมอบอุ่นและแสงแดดอ่อนที่ราวกับช่วยลบล้างความขมขื่นในหัวใจอวี้หลิงหรงในวัยครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีมือของฉินเฉินอวี้คอยประคอง ดวงตานางทอดมองวังหลวงที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนบางให้พระสวามีของตนวันนี้เป็นวันมงคลของแผ่นดิน..วันแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็คือพระสนมสวี่ซิงเหยียน พระมารดาขององค์ชายหกภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างร่วมงานด้วยสีหน้าปีติยินดี เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบาประกอบท่วงท่าแห่งพิธีอันสง่างามเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง องค์ฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนและฮองเฮาสวี่ซิงเหยียนจึงทรงเรียกองค์ชายหกและพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว“อวี้เอ๋อร์... ข้ากับมารดาของเจ้าต่างเห็นพ้องกัน ว่าเจ้าคือผู้เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท” เสียงของฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นฉินเฉินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้อมกายลงด้วยความเคารพ แล
เมื่อฉินจื่อหยวนตระหนักได้ว่าการดวลกับนางต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ เขาจึงหันสายตาไปยัง ฉินเฉินอวี้ที่ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่กระบี่ของอวี้หลิงหรงฟาดสวนมาทางเขาอีกครั้ง ฉินจื่อหยวนก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนทิศทางของดาบในมือ พุ่งออกไปทางฉินเฉินอวี้ แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะเข้าถึงตัวของชายผู้ที่บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว สตรีในชุดดำก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างไม่ลังเล"ไม่!!!" อวี้หลิงหรงกรีดร้องสุดเสียง นางพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดชีวิต เพื่อที่จะสกัดกั้นคมดาบนั้นให้ได้ นางรู้ดีว่าตนไม่มีทางปัดป้องได้ทันเวลา และในครรภ์ของนางก็ยังมีชีวิตน้อย ๆ อยู่อีกหนึ่งคน ในชั่วพริบตาแห่งการตัดสินใจ นางปล่อยกระบี่ในมือลงกับพื้น ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับคมดาบด้วยตัวเอง!เสียงฉีกขาดของเนื้อดัง ฉัวะ! โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นท่วมสองฝ่ามือ“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของอวี้หลิงหรงดังก้องสะท้อนทั่วลาน ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังบาง ๆ ของนางที่ยืนขวางเขาเอาไว้ชั่วขณะนั้น..เวลาราวกับหยุดหมุนดวงตาคู่งามสั่นไหวด้วยความปวดร้าว มือทั้งสองที่เปื้
ค่ำคืนมืดครึ้มในวังหลวง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆทมิฬ เสียงสายลมหวีดหวิวกรีดผ่านยอดหลังคาตำหนักฟังแล้วชวนขนหัวลุก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงโคมไฟในวังริบหรี่ลงทุกขณะณ ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่พำนักขององค์ฮ่องเต้ประตูไม้สลักลายมังกรปิดสนิท แผ่นหิมะเกาะขอบหลังคาเงียบงัน ใต้ผ้าห่มแพรแดงลายมังกรบนเตียงไม้แกะสลัก มีสองร่างนอนแนบชิดกันอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงภัยเงาร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านเสียงลม เงาร่างชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตามเงาเสา เงียบเชียบราวกับเป็นเพียงเงาจันทร์สาดทาบพื้น พวกมันลอบเข้ามาจากทางระเบียงด้านข้าง ดาบในมือแต่ละเล่มยังเปื้อนเลือดสดจากทหารยามเฝ้าเวรหนึ่งในนั้นยกดาบขึ้นสูงเหนือร่างบนเตียง ก่อนจะแทงลงกลางอกด้วยแรงทั้งหมดโดยไร้ซึ่งความลังเลทว่าร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกับนิ่งเงียบไม่ไหวติง มือสังหารรีบกระชากผ้าห่มผืนใหญ่ออกอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม ไม่ใช่ร่างของฮ่องเต้หรือพระสนมสวี่ แต่เป็นเพียงหมอนข้างที่ซ้อนกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเท่านั้น“กับดัก..?” เสียงพร่าของมือสังหารเพิ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะได้หันไป
หลังจากการประชุมวานนี้ องค์ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอวี้ฮวา ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์นาง ในขณะเดียวกัน นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮากลับถูกลากตัวไปยังคุกหลวง ถูกทรมานเพื่อหาความจริง นางกรีดร้องปานวิญญาณหลุดจากร่าง เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในห้องขังแคบ ๆ ส่วนทางด้านพระสนมสวี่ แม้นางจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้รักยิ่ง แต่ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิกลับเย็นชาดุจน้ำแข็งหลายวันมาแล้วที่พระสนมสวี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจของนางเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ยามคิดถึงบิดาที่กำลังถูกจองจำในคุกหลวง ด้วยใจระทมทุกข์ นางจึงรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมบิดาแต่องค์จักรพรรดิก็หาได้เหลียวแลไม่ “ขอฝ่าบาทเมตตา..” พระนางคุกเข่าท่ามกลางลมหนาว หยดน้ำตาของพระสนมคล้ายหยาดพิรุณตกต้องใจใครบางคน แต่ก็ไม่อาจทะลุม่านเย็นชาของผู้เป็นกษัตริย์ได้หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความเงียบงันของลานหน้าพระตำหนักเฉียนชิง สตรีผู้สูงศักดิ์ในชุดแพรบางสีครามยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หยดน้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีดเซียว“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาทูลว่า
ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า บรรยากาศตึงเครียดจนแทบสัมผัสได้ เสนาบดีเจียงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความมั่นใจ เขากำลังกล่าวถ้อยคำฟังดูหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย“กระหม่อมเห็นว่า...การมีโรงกษาปณ์เถื่อนตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลินซึ่งอยู่ในเขตปกครองของสกุลสวี่ ย่อมบ่งชี้ถึงความพยายามในการสะสมกำลังและท้าทายราชอำนาจ เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม หากไม่สอบสวนให้ถึงที่สุด เกรงว่าความมั่นคงของแผ่นดินจะสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางหลายคนพากันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่บางส่วนก็เหลือบมองกันไปมา ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจของตระกูลสวี่และความแข็งแกร่งของกลุ่มเจียงระหว่างที่คำกล่าวหายังไม่สิ้นสุด เสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฝ่าฝืนความเงียบที่กดดันเขาเข้าไปกระซิบอย่างเร่งร้อนกับกงกงคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากระซิบรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นตัว“ฝ่าบาท..พระชายาขององค์ชายหก เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับหมู่บ้านชิงหลิน ที่ต้องทูลต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย”องค์ฮ่องเต้ชะงักเพียงเล็กน้อ







