ตอนที่4 ท่านยังคงเหมือนเดิม
จวนเจิ้งอันอ๋อง ภายในเรือนพระชายาอันหรูหรา ม่านแพรสีอ่อนพลิ้วไหวตามแรงลมยามเย็น แสงอัสดงสาดลอดหน้าต่างไม้แกะสลักทอดยาวบนพื้นห้อง ซ่งเหยียนเอ๋อร์ นั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลือง ในมือนางมีหยกรูปดอกโบตั๋นบาน ปลายนิ้วเรียวลูบผ่านผิวหยกที่สลักเป็นกลีบดอกโบตั๋นอย่างแผ่วเบา ดวงตากลมทอดมองหยกในมือ ภาพในอดีตผุดขึ้นในใจ ตั้งแต่งานเลี้ยงชมดอกโบตั๋นที่วังหลัง เมื่อหลายปีก่อน ที่เจิ้งอันอ๋องช่วยนางจากการพลันตกจากสะพานกลางสระบัว ใบหน้าของเขาในยามนั้นกลับตราตรึงในใจของนางอย่างไม่อาจลืม เพื่อจะได้ครอบครองเขา นางยอมทำทุกอย่าง แม้กระทั่งบีบคั้นน้องสาวของตนเองเพื่อสวมรอยแทนนาง เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยเจิ้งอันอ๋องเอาไว้ และได้เป็นพระชายาของเขาในที่สุด แต่ตลอดหลายปีสิ่งที่นางได้รับกลับมาคือความเย็นชาจากเขา และทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน ความสุขเพียงน้อยนิดก็ยิ่งไกลออกไป ซ่งเหยียนเอ๋อร์ถอนหายใจเบา ๆ “เป็นข้าเอง… ที่ผิด ไม่ควรแย่งท่านมา… ” เสียงของนางเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบา มือเรียวกำหยกแน่น พลางพึมพำด้วยแววตาแน่วแน่ “ครั้งนี้… ข้าจะคืนท่านให้นาง… ” ม่านแพรยังคงพลิ้วไหวในยามเย็น แสงสุดท้ายของวันคล้ายจะส่องสว่างบนใบหน้าที่สงบนิ่งของนาง รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นแฝงไปด้วยความปล่อยวาง ในเมื่อเขาไม่รัก นางก็จะไม่ร้องขอมันอีก… ณ ห้องหนังสือภายในจวนเจิ้งอันอ๋อง ภายในห้องที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงพลิกฎีกาดังสม่ำเสมอ เจิ้งอันอ๋องนั่งหลังตรงหลังโต๊ะไม้ แสงแดดยามโพล้เพล้ส่องผ่านหน้าต่างกระดาษ ต้องใบหน้าคมสงบนิ่งของเขาให้ดูคมชัดขึ้น แววตานิ่ง แต่ลึก ๆ ในใจกลับสั่นไหวเล็กน้อย “พระชายา” เสียงของหวังอู่ดังขึ้นหน้าห้อง มือใหญ่ของเจิ้งอันอ๋องหยุดพลิกฎีกา มุมปากกระตุกขึ้นเพียงน้อย ก่อนพลิกอ่านต่ออย่างสงบนิ่ง เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังก้องในห้อง ซ่งเหยียนเอ๋อร์เข้าก้าวมาในห้อง ก่อนตะมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา แล้วค่อย ๆ ย่อตัวคำนับ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเรื่องจะคุยด้วยเพคะ” เจิ้งอันอ๋องเหลือบตามองนางเพียงครู่ ก่อนจะเก็บฎีกาในมือ วางลงบนโต๊ะไม้แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ “มีเรื่องอะไร” ซ่งเหยียนเอ๋อร์ไม่ตอบ เพียงก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว วางกระดาษใบหนึ่งลงตรงหน้าชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา “ใบหย่าเพคะ” เสียงของนางเงียบสงบ แต่ดวงตากลับแน่วแน่ เจิ้งอันอ๋องปรายตามองกระดาษบนโต๊ะ สีหน้าไม่แสงอารมณ์ มือใหญ่พลิกกระดาษขึ้นดูอย่างไม่เร่งร้อน ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงลมยามเย็นพัดม่านแพรบางพลิ้วไหว เขาเงยหน้ามองนางอีกครั้ง ดวงตาคมสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ “นี่เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือ ซ่งเหยียนเอ๋อร์” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นช้า ๆ ซ่งเหยียนเอ๋อร์สูดลมหายใจลึก มือบางกำชายเสื้อแน่น นางสบตาเขาโดยตรง เอ่ยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “ท่านอ๋อง… สองเดือนก่อนคนที่ช่วยท่านไว้… ไม่ใช่หม่อมฉัน… แต่เป็นซ่งหว่านอวี้น้องสาวหม่อมฉันเพคะ” ยังไม่ทันสิ้นเสียงของซ่งเหยียนเอ๋อร์ เสียงฝีเท้าด่วนดังขึ้น องค์รักษ์ในชุดดำก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าเจิ้งอันอ๋อง คุกเข่าลงพบางประสานมือ “ฝ่าบาท เชิญท่านเข้าวัง พ่ะย่ะค่ะ มีเรื่องด่วน” เจิ้งอันอ๋องปรายตามองเพียงครู่เดียว ก่อนจะพยักหน้า “อืม” เขาลุกขึ้นอย่างสงบนิ่งแล้วก้าวออกไปทันที เสื้อคลุมสีเข้มสะบัดตามแรงก้าวเดิน ซ่งเหยียนเอ๋อร์ที่ยังคุกเข่าอยู่กับพื้นเงยหน้ามองตามแผ่นหลังสูงนั้น แววตาสั่นระริก แต่เขาเพียงเดินผ่านนางไปโดยไม่ได้เหลียวมอง เสียงฝีเท้าหนักแน่นค่อย ๆ เลือนหายไปพร้อมกับความเย็นชาที่ทิ้งไว้ในห้อง ซ่งเหยียนเอ๋อร์กำมือแน่นจนสั่น “ท่านก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่เคยใส่ใจข้าเลยสักนิด” นางพึมพำเสียงแผ่ว ก่อนจะถอยหายใจออกมาแผ่วเบา … ยามไฮ่ (ประมาณ 21.00-23.00น.) สายลมเย็นยะเยือกยามค่ำพัดเอื่อย ม่านรถม้าสั่นไหวเบา ๆ เจิ้งอันอ๋องก้าวลงจากรถม้าอย่างเงียบสงบ ร่างสูงในชุดคลุมสีเข้มก้าวตรงเข้ามาในลานจวนที่กว้างขวางของตนเอง สายตาคมเหลือบไปมองที่เรือนของภรรยาของคนที่เงียบสนิทเพียงครู่เดียว ก็ก้าวตรงไปยังห้องหนังสือทันที เมื่อเข้ามาด้านใน เขานั่งลงเบื้องหลังโต๊ะไม้ที่เต็มไปด้วยกองฎีกามากมาย มือใหญ่หยิบฎีกาขึ้นมาพลิกดูต่อ ริมฝีปากเม้มแน่น แววตาคมทอดผ่านตัวอักษรในกระดาษ ไม่นานนัก เสียงเปิดประตูแผ่วเบาดังขึ้น หวังอู่ องค์รักษ์ประจำกายก้าวเข้ามาพร้อมถาดในมือ เขาวางกาน้ำชาแบะถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ ก่อนรินน้ำชาอุ่นใส่ถ้วยแล้วยื่นให้ เจิ้งอันอ๋องยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างแผ่วเบา ก่อนจะวางถ้วยลงอย่างไร้เสียง พลันสายตาคมเหลือบไปเห็น ใบหย่าของซ่งเหยียนเอ๋อร์ที่วางทิ้งไว้ เขาหยิบมันขึ้นมา ริมฝีปากหยักยิ้มมุมปากอย่างยากจะอ่านใจได้ “ลายมือสวยเสียจริง… ” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา ดวงตาคมมองอักษรแต่ไม่ได้ใส่ใจความหมาย เขาวางใบหย่าลงตำแหน่งเดิม ก่อนกลับไปหยิบฎีกามาอ่านต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย ครู่หนึ่ง จึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงเรียบทั้งที่สายตายังจับจ้องฎีกา “หวังอู่ เจ้าไปพักได้” “พ่ะย่ะค่ะ” หวังอู่ตอบรับพลางคำนับ ก่อนจะถอยหลังออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อเสียงฝีเท้าค่อย ๆ เลือนหายไปในความเงียบ เจิ้งอันอ๋องวางฎีกาลง สายตาคมทอดมองออกไปยังความมืดยามราตรีอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนร่างสูงสะบัดชายอาภรณ์ยามหมุนตัว แล้วก้าวออกจากห้องหนังสือด้วยเสียงฝีเท้าหนักแน่นตอนที่ 24 ซ่งหว่านอี้แสงอาทิตย์ยามสนธยาสาดลอดหน้าต่างไม้เก่าจนเกิดแสงสีทองตกกระทบลงบนใบหน้าของ ซ่งเหยียนเอ๋อร์ นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกับหานอี้ถูกมัดแน่นไว้กับเสาไม้ ร่างกายอ่อนแรงไร้เรี่ยวแรงหานอี้ที่เพิ่งได้สติก็ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ สูดลมหายใจแผ่วเบา ก่อนเปล่งเสียงเรียกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“พี่เหยียนเอ๋อร์… ”ซ่งเหยียนเอ๋อร์หันมองเด็กชายข้างกายแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน หากน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว“ไม่ต้องกลัว… ท่านอ๋องต้องมาช่วยเราแน่”หานอี้พยักหน้าเบา ๆ ในขณะนั้น ซ่งหว่านอี้ที่ยืนอยู่ข้างหลัง หัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างดูแคลนไม่ใยดีซ่งเหยียนเอ๋อร์หันมาทางนาง ดวงตาเต็มไปด้วยความชิงชัง“ซ่งหว่านอี้… เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันแน่!”ซ่งหว่านอี้มิได้ตอบในทันที หากยกมีดเล่มเล็กขึ้น ปลายนิ้วเรียวลูบคมมีดช้า ๆ ใบหน้าราบเรียบ แววตาแฝงไปด้วยความอำมหิต นางก้าวอ้อมมายืนตรงหน้าของทั้งสองหานอี้จ้องมองนาง เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย“แล้วพี่ชายข้าล่ะ… หานมู่ เขาอยู่ที่ใด!”ซ่งหว่านอี้คลี่ยิ้มจาง สีหน้าเย็นชาจนน่าสะพรึง“หานมู่หรือ”นางพึมพำชื่อออกมา ก่อนจะหัวเราะราวคนเสียสติ ก่อนจ
ตอนที่23 กลับเมืองหลวง จวนเจิ้งอันอ๋องณ สวนหลังจวน ดอกโบตั๋นผลิบานละลานตา สีชมพูแดงอร่ามราวเนรมิตขึ้นจากภาพวาด ซ่งเหยียนเอ๋อร์ก้าวเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม โดยมีชิงอีสาวใช้คนสนิทติดตามไม่ห่าง นางเดินตรงไปยังศาลาไม้กลางสวน ภายในศาลานั้นมีเด็กชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ เขาก้มหน้าก้มตา วาดภาพอยู่บนแผ่นกระดาษอย่างตั้งอกตั้งใจซ่งเหยียนเอ๋อร์ก้าวไปหยุดยืนอยู่ข้างตัวเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะนั่งลงเบื้องหน้า มองภาพที่ค่อย ๆ ปรากฏเป็นเค้าโครงใบหน้าใครบางคน นางจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ“เจ้ากำลังวาดรูปผู้ใดอยู่หรือ”ชิงอีที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก้าวเข้ามายกกาน้ำชาขึ้นรินน้ำชาลงใส่ถ้วยชาใบเล็ก แล้ววางถ้วยชานั้นอย่างนุ่มนวลลงเบื้องหน้าซ่งเหยียนเอ๋อร์หานอี้เงยหน้า ตอบอย่างตั้งใจ“ข้ากำลังวาดรูปพี่ชายข้า… ข้ามาอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว แต่ยังหาเขาไม่พบ ข้าคิดว่าถ้าวาดรูปเขาออกมาชัด ๆ เวลาออกตามหาอาจง่ายขึ้นกว่าเดิม”ซ่งเหยียนเอ๋อร์พยักหน้าเบา ๆ พลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ“อืม”หานอี้วางพู่กันลง ก่อนจะหยิบภาพขึ้นยื่นให้ ซ่งเหยียนเอ๋อร์ พร้อมเอ่ยเสียงแผ่ว“พี่เหยียนเอ๋อร์ ท่านลองดูหน่อย… คุ้นหรือไม่”ซ่งเหยียนเอ
ตอนที่ 22 ทำลายโรคระบาดเจิ้งอันอ๋องก้าวเข้าสู่โรงหมอ โดยมีเจ้าเมืองต้าเฉิง หมอหลวงหยางซุน และทหารองค์รักษ์อีกสามนายติดตามมาด้วยเมื่อก้าวล่วงถึงประตูด้านใน กลิ่นอสมุนไพรขมปร่าก็ลอยมาแตะจมูก ผู้ป่วยต่างต่อแถวยาวเพื่อรอลงอ่างน้ำยาสมุนไพรต้ม ชาวบ้านต่างช่วยกันยกถังยาสมุนไพรและตัดแจกจ่ายแก่ผู้ป่วยอย่างขะมักเขม้นซ่งเหยียนเอ๋อร์ซึ่งกำลังนั่งเขียนใบสั่งยาอยู่ที่โต๊ะไม้ เงยหน้ามาเห็นพระสวามีของตนก็ยกมือเล็กขึ้นโบกเบา ๆ ดวงหน้ายิ้มระเรื่อ“ท่านอ๋อง”เจิ้งอันอ๋องได้ยินเสียงนั้นจึงหันไป ดวงตาจับจ้องไปยังใบหน้างามที่กำลังยิ้มแย้มของชายาตน แล้วก้าวตรงไปหานาง เพียงไม่นานร่างสูงของเขาก็ก้าวมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้านางซ่งเหยียนเอ๋อร์ส่งยิ้มบางให้พลางยื่นใบสั่งยาที่เขียนมาใหม่ให้แก่เขา“ท่านดูสิ… ตำรับยาใหม่นี้ ใช้ได้ผลดีทีเดียว”กล่าวจบ นางหันไปมองเด็กชายด้านข้างที่กำลังแยกสมุนไพร เจิ้งอันอ๋องเหลือบสายตามองตามสายตาของนางก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ“เขาเป็นใคร?”“หานอี้”นางตอบพร้อมยิ้มแย้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ“ท่านนั่งลงก่อนเถิด”เจิ้งอันอ๋องจึงนั่งลงเบื้องหน้านาง ซ่งเหยียนเอ๋อร์หันไปสบสาย
ตอนที่ 21 ยาแก้รถม้าค่อย ๆ ชะลอล้อ ก่อนจะหยุดนิ่งตรงหน้าป้ายไม้เก่า ที่เขียนตัวอักษรด้วยหมึกสีดำ โรงหมอเมืองต้าเฉิงซ่งเหยียนเอ๋อร์แหวกผ้าม่านก้าวลงจากรถม้า ชิงอีรีบก้าวมารับประคองร่างบางของคุณหนูของตนหานอี้ก้าวตามมาชิดด้านหลัง ดวงตากลมโตของเด็กชายกวาดมองรอบ ๆ อย่างสนใจทันทีที่ก้าวล่วงเข้าประตูไม้เก่า กลิ่นสมุนไพรต้มปนกลิ่นเหงื่อชื้นก็โถมเข้าโสตประสาท เหล่าชาวบ้านนอนเรียงรายบนฟูกฟาง บ้างตัวร้อนจัดจนใบหน้าแดงก่ำ บ้างไอหอบจนหน้าเขียวคล้ำหมอหลวงในชุดผ้าฝ้ายสีหม่นและหมอชาวบ้านในเสื้อผ้าซีดสีเก่า ต่างถือถ้วยยาสมุนไพรเดินส่งให้ผู้ป่วยทีละคน เสียงกระซิบปลอบโยนและเสียงช้อนกระทบถ้วยดังแทรกอยู่ในความวุ่นวายหานอี้กวาดตามองภาพเบื้องหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะหยุดก้าว มือเล็กดึงชายแขนเสื้อซ่งเหยียนเอ๋อร์เอาไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า“พี่เหยียนเอ๋อร์… นี่คือโรคไข้พิษจากแมลง”ซ่งเหยียนเอ๋อร์ชะงักฝีเท้าลง หันมามองด้วยแววตาสงสัยเด็กชายพยักหน้าช้า ๆ เพื่อย้ำความแน่ใจ“เจ้ารู้จักหรือ”นางเอ่ยถาม“อืม รู้จักสิ ข้าเคยเห็นในตำราของท่านแม่”“แม่!”ซ่งเหยียนเอ๋อร์ย้ำด้วยใบหน้าแปลกใจ ก่อนจะเ
ตอนที่ 20 โรคระบาดยามซวีจวนเจ้าเมืองต้าเฉิงบานประตูไม้ถูกผลักออกอย่างแผ่วเบา เจิ้งอันอ๋องก้าวเข้ามาในห้องของชายาตน กลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยมาตามสายลมเย็น ภาพเบื้องหน้าคือ ร่างบางของซ่งเหยียนเอ๋อร์ กำลังฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ ข้างตัวมีตระกร้าไม้เล็กบรรจุผ้าผืนเล็กจำนวนหนึ่งไว้อย่างเป็นระเบียบเขาขยับปิดประตู ก่อนจะก้าวตรงไปหาร่างของนาง เขาหยุดยืนเคียงข้าง ยื่นมือใหญ่หยิบผืนผ้าที่ค้างอยู่ในมือเล็กของนางออกอย่างแผ่วเบา ไออุ่นจากฝ่ามือใหญ่ทำให้ร่างบางค่อย ๆ ขยับ ลืมตาขึ้นอย่างงุนงงซ่งเหยียนเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองเงาร่างสูงใหญ่ข้างกายตน แสงตะเกียงสะท้อนให้เห็นใบหน้าคมชัดของเขา นางเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความอุ่นใจ“ท่านอ๋อง… ”นางค่อย ๆ นั่งตัวตรง เก็บผ้าผืนเล็กที่ยังวางอยู่บนโต๊ะใส่ในตระกร้าอย่างเรียบร้อยเจิ้งอันอ๋องยกผ้าในมือขึ้น ทอดมองก่อนจะเอ่ยถาม“นี่คืออะไร”ซ่งเหยียนเอ๋อร์มองเขา แววตาครุ่นคิดว่าจะอธิบายอย่างไร เพราะในชาติก่อน ที่นางติดโรคระบาดและได้หมอเทวดาหานซิ่วอิงช่วยไว้ หมอเทวดาผู้นั้นส่วมผ้าปิดครึ่งหน้านี้ไว้เพื่อป้องกันเชื้อโรคนางหยิบผ้าผืนหนึ่งขึ้นมาผูกที่ใบหน้าตนเอง แล้
ตอนที่19 เมืองต้าเฉิง สายลมอ่อนพัดแผ่ว กระทบผิวกายบอบบางของซ่งเหยียนเอ๋อร์ ผู้ยังหลับอยู่บนรถม้า เสียงล้อบดกับพื้นและแรงสั่นสะเทือนเบา ๆ ทำให้นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น สายตาแลรอบด้วยความฉงนทันใดนั้น ม่านประตูรถม้าก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”น้ำเสียงใสของชิงอีสาวใช้คนสนิทดังขึ้นซ่งเหยียนเอ๋อร์เพียงมองนาง ก่อนจะยกมือเล็กขึ้นปัดม่านหน้าต่างรถม้าออก แล้วทอดสายตาออกไปสำรวจทิวทัศน์ด้านนอก เห็นเรือนชาวบ้านเรียงรายเงียบสงบ มีเพียงไม่กี่คนที่ยังเดินผ่านไปมา ร้านค้าต่างก็ปิดประตูแน่นนางหันกลับมาถามสาวใช้ของตน“ท่านอ๋องเล่า?”ชิงอีขยับเข้ามานั่งเคียงข้าง แล้วยื่นห่อผ้าในมือซึ่งอุ่นด้วยกลิ่นซาลาเปาให้คุณหนูของตน ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้น“บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ ท่านอ๋องเพียงแต่ให้บ่าวพาท่านกลับมาพักผ่อนก่อนเจ้าค่ะ”นางพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยถามอีก“ที่นี่… คือเมืองต้าเฉิงหรือ?”“ใช่เจ้าค่ะ… เมืองนี้มีผู้ติดโรคระบาดเยอะมากเลยเจ้าค่ะ”ชิงอีตอบเสียงแผ่วซ่งเหยียนเอ๋อร์พยักหน้าตอบ แล้วหยิบซาลาเปาขึ้นมากัดคำหนึ่ง ก่อนจะหยิบอีกลูกขึ้นแล้วยื่นให้ชิ