ลั่วหนิงฮวาหันกลับไปมองลั่วจินหยางที่กำลังก้าวเดินเข้ามาในเรือนใหญ่พร้อมบ่าวอีกสองคน ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลามีแววตาที่เย็นชาอย่างเห็นได้ชัดยามที่จ้องมองชุยอี้เหนียง ชุยอี้เหนียงลอบกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ก่อนจะก่นด่าลูกเลี้ยงทั้งสองด้วยความโมโห "คารวะท่านพ่อ"ลั่วจินหยางทำความเคารพบิดาตนแต่กลับไม่สนใจชุยอี้เหนียงที่ยืนอยู่เลยแม้แต่น้อย แม่ทัพลั่วที่เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น "เหลวไหลใหญ่แล้ว มารดาเจ้ายืนอยู่ทั้งคน เหตุใดจึงไม่เคารพนาง" "ข้ามีมารดาเพียงคนเดียวขอรับ" "อาหยาง!!!""แม่นมหยาง เพิ่มชาให้ท่านพ่ออีกสักหลายห่อ ตะโกนอีกแล้ว" แม่ทัพลั่วที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันขวับไปมองลั่วหนิงฮวาทันที เห็นเพียงสายตาท้าทายที่บุตรสาวส่งมาให้ก็ยิ่งโมโหโทโส "ท่านพี่ช่างเถิดเจ้าค่ะ ลูก ๆ เพิ่งกลับมาคงจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ข้าจะสั่งให้คนจัดเตรียมที่พักให้เอง" "ท่านแม่จะรีบไปไหนเล่า เรายังมีเรื่องต้องสะสางกันอีก หลงจิง เจ้ารู้เห็นสิ่งใดก็รีบพูดไป" ลั่วจินหยางหันไปเอ่ยกับบ่าวรับใช้คนสนิทอย่างไม่รอช้า หลงจิงที่ได้ยินเช่นนั้น จึงก้าวขึ้นมายืนที่ด้านหน้าแม่ทัพลั่ว ก่อนจะเอ่ยเล่าเรื่องราวออกมาอย่างไม่ขา
แม่ทัพลั่วไม่รู้จะหาเหตุผลใดมาทัดทานลั่วหนิงฮวาบุตรสาวของตนได้อีก จึงทำได้เพียงยอมปิดตาข้างหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรมาเขารักและตามใจบุตรสาวผู้นี้ไม่น้อย แต่ไม่คิดว่านางจะเอาแต่ใจตนเองถึงเพียงนี้ แต่ก่อนนางมิใช่คนเช่นนี้เลยด้วยซ้ำแต่เมื่อคิดถึงคำสั่งเสียก่อนตายของอดีตฮูหยิน เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างนึกปลงเพียงเท่านั้น ตั้งแต่นางตายจากไป เขาก็ฝากฝังลั่วหนิงฮวาและลั่วจินหยางให้ชุยอี้เหนียงเป็นผู้ดูแล เพราะเขาต้องออกรบอยู่ที่ชายแดนทางทิศใต้ไม่มีเวลาได้กลับมาที่จวนมากนัก จนกระทั่งวันที่เขารบชนะและกลับจวนก็พบว่าชุยอี้เหนียงได้ส่งลั่วหนิงฮวาไปที่หมู่บ้านชนบท ด้วยเหตุผลที่ว่าดวงของนางไม่ใคร่จะดีนัก หากรั้งอยู่ที่จวนจะยิ่งล้มป่วยหนักและเป็นอัปมงคลต่อตระกูลลั่ว จึงต้องส่งนางไปที่นอกเมืองหลวงเพื่อเป็นการแก้เคล็ดเดิมทีเขาไม่เห็นด้วยและขุ่นเคืองชุยอี้เหนียงที่ทำสิ่งใดไม่ปรึกษากับเขาเสียก่อน เหตุใดจึงไม่รอให้เขากลับมาจากชายแดนแล้วค่อยคิดหาทางออก แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ลั่วหนิงฮวาได้เดินทางไปยังบ้านสวนชนบทก่อนหน้าที่เขาจะกลับเพียงสามวัน เดิมทีเขาคิดจะติดตามไปดูบุตรสาว แต่กลับมีราชโองการจากฝ่
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางจึงพาแม่นมหยางและซือลี่มุ่งหน้าไปที่เรือนใหญ่เพื่อพบกับบิดาทันที แม่ทัพลั่วที่ได้ยินว่านางมาขอพบก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยอมพบนางแต่โดยดี เขามองบุตรสาวที่เยื้องย่างเดินเข้ามาหาเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก็เสียวสันหลังวาบ ยิ้มนี้ไม่ปลอดภัย! "ได้ยินว่าเจ้าล้อมกำแพงเรือนหรือ" "ข่าวมาถึงท่านพ่อรวดเร็วยิ่งนัก" "หึ! จวนตระกูลลั่วอยู่ในความดูแลของข้า ข้าย่อมรู้ทุกเรื่อง เจ้าทำเช่นนี้ถือเป็นการสิ้นเปลือง อีกทั้งจะสร้างกำแพงกั้นเรือนด้วยเหตุอันใดกัน" "ลูกไม่ชอบความวุ่นวายเจ้าค่ะ" "เหลวไหล!!!" "พูดดีดีก็ได้เจ้าค่ะ จะตะโกนไปไย เฮ้อ" "มาหาข้ามีเรื่องอันใด?!" เขาคร้านจะโต้เถียงกับบุตรสาวนางนี้แล้ว จึงรีบเอ่ยถามทันที "ลูกมาขอเบิกเงินห้าร้อยตำลึงเจ้าค่ะ" แม่ทัพลั่วที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก "เอาไปทำสิ่งใดตั้งห้าร้อยตำลึง!!!" "ลูกจ่ายค่าอิฐ ค่าบำรุงเรือน ค่าหลาย ๆ อย่างเจ้าค่ะ ลูกไม่มีเงินแล้ว ท่านพ่อโปรดเมตตาด้วย" "หนิงเอ๋อร์นี่เจ้า!!!" "ยืมก็ได้เจ้าค่ะ ไว้ลูกมีเงินจะรีบหามาคืนท่านพ่อ" "เจ้าจะเอาจากที่ใดมาคืนข้า" "ท่านพ่อ ห้าร้อยตำลึงเองนะเจ้า
ลั่วหนิงฮวาจ้องมองบรรดาผีตรงหน้า ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปหาพวกเขาอย่างไม่เกรงกลัว ความรู้สึกของนางบอกว่า แม้พวกเขาจะเป็นวิญญาณที่มีแรงอาฆาตสูง แต่กลับมองนางด้วยแววตาที่อ่อนโยน"หนิงเอ๋อร์ พวกข้าคือบรรพบุรุษของเจ้า"ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ "คารวะเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย" นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม ก่อนจะทำความเคารพพวกเขา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้สินะ ลั่วหนิงฮวาเงยหน้าไปสบตากับผีตนหนึ่งที่มองนางด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะร่ำไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด "หนิงเอ๋อร์ของข้าตายไปแล้วใช่หรือไม่ แล้วเจ้าก็เข้ามาแทนที่นาง " "ท่านคือ?""ข้าคือมารดาของนาง" เมื่อได้ยินเช่นนั้นลั่วหนิงฮวาก็พยักหน้าเล็กน้อย นางนึกถึงใบหน้าที่ทรมานของลั่วหนิงฮวาคนเดิมก็รู้สึกเวทนายิ่งนักเมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงเล่าเรื่องจริงตั้งแต่ต้นให้มารดาของนางฟัง วิญญาณฮูหยินเช็ดน้ำตาตนเอง ก่อนจะส่งยิ้มให้นาง "ข้าเข้าใจแล้ว อย่างไรร่างนี้คงต้องฝากเอาไว้กับเจ้า นับแต่นี้เจ้าคือบุตรสาวของข้า ข้าและท่านปู่ท่านย่า รวมถึงผู้อาวุโสทั้งหลายจะคอยช่วยเหลือเจ้า จัดการกับนังแพศยาชุยอี้เหนียงผู้นั้น มันวางยาข้า!!!" ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้
ลั่วหนิงฮวาตรงเข้าไปหาโจวอี้เฉิน ก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบเขาจนร่างตกลงไปจากเตียงทันที โจวอี้เฉินถึงกับเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด นางเคยเห็นเขาเป็นองค์ชายบ้างหรือไม่!!! "หนิงเอ๋อร์ เจ้าถีบข้าด้วยเหตุอันใดกัน" "หุบปาก!!! ท่านห้ามส่งเสียงดัง เหตุใดจึงเข้ามาในห้องนอนของข้าได้!!!" "อาหยางบอกว่าเจ้าอยู่ที่นี่" "พี่ใหญ่น่ะหรือ?" "อืม" เมื่อได้ยินเช่นนั้นลั่วหนิงฮวาก็พยักหน้าเล็กน้อย นางลอบสบถด่าทอลั่วจินหยางในใจเป็นพันครั้ง"หนิงเอ๋อร์ ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาท ในใต้หล้าไม่มีสิ่งใดที่ต้องการรู้แล้วจะรู้ไม่ได้" เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น ลั่วหนิงฮวาจึงเบ้ปากเล็กน้อย ก่อนจะทำความเคารพเขาอย่างประชดประชัน "ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันล่วงเกินเบื้องสูงแล้ว" โจวอี้เฉินแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจ เขาชอบนางยิ่งนัก ไม่สิ!!! รักแรกพบต่างหาก "ว่าที่ไท่จื่อเฟยไม่ต้องมากพิธี อันที่จริงข้าอยากให้เจ้าล่วงเกินข้ามากเหลือเกิน" "หึ! ใครเป็นไท่จื่อเฟยของพระองค์กัน!" "ไม่ต้องเรียกข้าเช่นนี้ เรียกเช่นเดิมเถิด ข้าไม่ชินเอาเสียเลย" "ท่านพูดเองนะ" "อืม" ลั่วหนิงฮวายักไหล่ทั้งสองข้างอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเหลือบไปเห
เวลาผ่านล่วงเลยมาราวครึ่งเดือน ลั่วหนิงฮวาก็ได้รับจดหมายจากหลัวเฟิง เนื้อหาในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า เขาเดินทางมายังเมืองหลวงด้วยตนเอง และอยากนัดพบกับนางเพื่อรับสุราในงวดแรก ลั่วหนิงฮวาเขียนจดหมายตอบกลับโดยเร็ว ก่อนจะให้จางสงนำไปส่งมอบให้แก่หลัวเฟิงยังโรงเตี๊ยมที่ระบุไว้ในจดหมายก่อนหน้า เมื่อได้รับจดหมายจากลั่วหนิงฮวาแล้ว เขาก็ดีใจไม่น้อย นางนัดเขาไปพบที่ภัตตาคารเป่าจิ้ง ซึ่งเป็นภัตตาคารใหญ่ในเมืองหลวงลั่วหนิงฮวาแต่งกายอย่างเรียบง่ายไม่ได้ประณีตเท่าใดนัก แต่นางเน้นไปที่สีเขียวที่นางชื่นชอบ แม่นมหยางมองลั่วหนิงฮวาด้วยสายตาชื่นชม คุณหนูของนางในยามนี้ ช่างงามสง่าและน่าเกรงขามไม่น้อย เมื่อเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางจึงออกมานั่งรถม้าที่จอดรถอยู่ก่อนหน้า โดยมีจางสงเป็นคนขับรถม้า มุ่งหน้าไปยังภัตตาคารเป่าจิ้งเมื่อมาถึงนางก็เดินขึ้นไปยังห้องเดี่ยวที่จองเอาไว้ แล้วก็พบกับหลัวเฟิงที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว ข้างกายของเขายังมีบุรุษหน้าหยกอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย "หนิงเอ๋อร์" "หลัวเฟิง ไม่เจอกันเพียงไม่นาน ใบหน้าเจ้าดูอิ่มเอมความรักเสียจริง" หลัวเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็เบ้ปากใส่ลั่วหนิงฮวาค
เมื่อกลับมาถึงจวน ลั่วหนิงฮวาก็มุ่งหน้าไปที่เรือนใหญ่ของผู้เป็นบิดาทันที แม่ทัพลั่วที่เพิ่งกลับจากประชุมเช้าในวังหลวง เมื่อได้เห็นบุตรสาวของตนเดินเข้ามาพร้อมกับของกินมากมายจึงเอ่ยถามขึ้นมา "ออกไปข้างนอกมาหรือ?" "เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกซื้อของกินมาฝากท่านพ่อไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ ท่านพ่อทำงานหนักต้องบำรุงจึงจะดี" แม่ทัพลั่วหรี่ตามองบุตรสาวคราหนึ่งอย่างหวาดระแวง แต่เมื่อไม่เห็นความผิดปกติใดในแววตาของนางเขาก็วางใจ "เอาวางไว้ตรงนั้น อีกเดี๋ยวข้าจะกินเอง" "เจ้าค่ะ" ลั่วหนิงฮวาวางของกินลงบนโต๊ะไม้ แต่ยังคงไม่ก้าวออกไปจากเรือนใหญ่ แม่ทัพลั่วที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย "เหตุใดจึงไม่ออกไปเล่า ข้ามีงานต้องสะสางต่อ มิชอบให้ผู้ใดรบกวน" "เอ่อ ของกินทั้งหมดนี้รวม ๆ แล้วหนึ่งร้อยตำลึงเจ้าค่ะ ลูกรอท่านพ่อมอบเงินค่าอาหารให้" แม่ทัพลั่วรู้สึกว่าอัมพาตกินไปทั้งตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาว่าแล้วลางสังหรณ์ของเขาไม่เคยผิด ลูกเวร!!! มันมาไถเงินอีกแล้ว!!! "ข้าต้องจ่าย?""ใช่เจ้าค่ะ ลูกเองมิได้มีเงินมากนัก ท่านพ่อก็รู้ อีกทั้งยังต้องเจียดเงินไปซื้อยาสมุนไพรมารักษาอาการชักอีกด้วย" แม่ทัพลั่วรู
"ลั่วหนิงฮวา เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!!!" โจวเหวินกวงเดินตามลั่วหนิงฮวาอย่างไม่ลดละก่อนจะยื่นมือไปคว้าดึงข้อมือของนางเอาไว้อย่างถือวิสาสะ ลั่วหนิงฮวาสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของเขาอย่างไม่ไยดี ดวงตาคู่สวยจ้องมองเขาอย่างเย็นชา "ท่านอ๋องโปรดสำรวมด้วยเพคะ" "กับเจ้า ข้าไม่มีสิ่งใดต้องสำรวม เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ที่เจ้าทำเช่นนี้ก็เพื่อดึงความสนใจจากข้า หนิงฮวา พวกเราหมั้นหมายกันมานานหลายปี อย่างน้อยข้าก็ยังพอมีเยื่อใยกับเจ้าอยู่บ้าง หากเจ้าเชื่อฟังข้าอีกสักหน่อย ตำแหน่งพระชายารองย่อมไม่หนีไปไหน" ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน โจวเหวินกวงไม่เข้าใจการกระทำของนางจึงขมวดคิ้วมุ่น "เจ้าขบขันสิ่งใด!" "เฮ้อ ไม่น่าเชื่อว่าท่านอ๋องจะมักมากในกามถึงเพียงนี้ ผู้ใดอยากจะเป็นพระชายารองของพระองค์กันเพคะ พวกเราถอนหมั้นกันไปนานแล้ว ย่อมไม่มีความเกี่ยวพันใดใดต่อกันอีก หากน้องเล็กมาได้ยินเข้าคงจะเสียใจไม่ใช่น้อย" "ช่างนางสิ หนิงฮวา ข้ารู้ว่าตั้งแต่เจ้ากลับมาเมืองหลวงก็เติบโตขึ้นไม่น้อย ชื่อเสียงเจ้าก็ไม่สู้ดี ถูกข้าถอนหมั้นเช่นนี้คงยากที่จะแต่งเข้าจวนอื่น มิสู้แต่งกับข้าไม่ดีกว่า
รัชศกอี้เฉินปีที่ 30 เข้าสู่ช่วงเหมันต์ฤดู อากาศค่อนข้างหนาวเย็นเป็นอย่างมาก ยามนี้ลั่วหนิงฮวากำลังนั่งสนทนาอยู่กับโจวอวี้หลันด้านในตำหนักเฟิ่งหวง พวกเขาทั้งสองอายุมากแล้ว แต่ทว่าความงดงามกลับไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ยามว่างโจวอวี้หลันมักจะเข้าวังมาเยี่ยมนางอยู่เสมอ"พี่หญิง ท่านลองดื่มชาหลงจิ่งถ้วยนี้ดูเถิด รสชาติดียิ่งนัก" "อืม" โจวอวี้หลันยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม รสชาติหวานล้ำและกลิ่นหอมของใบชาทำให้นางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ "ได้ยินว่าสองวันก่อน องค์รัชทายาท องค์ชายรองและองค์หญิง ออกไปเที่ยวเล่นนอกวังหลวงมาหรือ" โจวอวี้หลันเอ่ยถามขึ้นมา ลั่วหนิงฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย นางมีพระโอรสสององค์ และองค์หญิงอีกหนึ่งองค์ ลูกทั้งสามมีอายุไม่ห่างกันมากเท่าใดนัก โจวเทียนสิงเป็นองค์รัชทายาท ปีนี้อายุสิบแปดปีเต็มแล้ว โจวเซิงหยวน องค์ชายรองปีนี้อายุสิบหกปีเต็ม และโจวหงอี้อายุสิบสี่ปีเต็ม บุตรทั้งสามของนางนั้นสร้างแต่เรื่องปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน "พี่หญิง พูดถึงพวกเขาแล้วข้าเหนื่อยใจยิ่งนัก" "เอาเถิด เด็ก ๆ ก็เป็นเช่นนี้ ดูลั่วเฟิงบุตรชายคนเดียวของข้าสิ เขาก็เที่ยวเล่นเช่นนี้ประจำ
"อะ อื้อออ!!!" เสียงครวญครางแผ่วต่ำสลับกับเสียงฝนที่โปรยปรายในยามค่ำคืน สร้างความร้อนรุ่มให้แก่โจวอี้เฉินเป็นอย่างยิ่ง"เด็กดี นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น" "อาเฉินร่างกายท่าน!!! ""มิต้องกังวลท่านหมอเทวดาบอกว่าข้าหายดีแล้ว""อื้ออออ!!!" ลั่วหนิงฮวารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อถูกโจวอี้เฉินมอบรสจูบที่แสนเร่าร้อนให้แก่นางเช่นนี้ เขาสอดลิ้นอุ่นร้อนเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นชื้นแฉะของนางอย่างเอาแต่ใจ ยามนี้อาภรณ์ที่แสนประณีตงดงามกลับถูกเขาดึงทึ้งลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว ร่างกายของนางเปลือยเปล่าอ่อนระทวยอยู่ภายใต้ร่างแกร่งของเขา มือหนาใหญ่ลูบไล้ไปทั่วเรือนกายขาวผ่องอย่างซุกซน ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนใบหน้ามาจูบไซ้ที่ซอกคอขาวเนียนของนาง และค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าลงมาที่สองเต้าอวบสวย โจวอี้เฉินครอบริมฝีปากกลืนกินยอดปทุมถันสีหวานของนางอย่างหื่นกระหาย มือหยาบกร้านบีบขยำดอกบัวงามจนเกิดเป็นรอยแดงทั้งสิบนิ้ว "อื้ออออ ข้าเสียว!!!" ลั่วหนิงฮวาแอ่นอกสวยให้เขาเชยชมอย่างไม่ขัดขืน โจวอี้เฉินแลบลิ้นเลียจุกบัวสีหวานของนางอย่างหยอกเย้า ตั้งแต่คลอดพระโอรสองค์แรก เขากับนางก็ห่างเหินเรื่องสัมพันธ์สวาทเช่นนี้มานา
นอกจากจะสังหารโจวเหวินกวงแล้ว หนึ่งเดือนต่อมา โจวอี้เฉินก็พบกับเบาะแสที่จวิ้นอ๋องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อห้าปีก่อน จวิ้นอ๋องเป็นน้องชายของเสด็จพ่อและเป็นเสด็จอาอีกคนของเขา เมื่อสืบค้นตามคำบอกเล่าของวิญญาณจวิ้นอ๋อง จึงพบว่าเขาถูกโจวเหวินกวงสังหารและฝังร่างไว้ที่ท้ายจวนชินอ๋องอย่างเลือดเย็น เพียงเพราะเขาไปได้ยินว่าโจวเหวินกวงวางแผนจะลอบวางยาอดีตฮ่องเต้ แต่กลับทำไม่สำเร็จ เพราะเสด็จพ่อของเขาก็ทรงระวังพระองค์ไม่น้อยแท้จริงโจวเหวินกวงคิดเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว มิใช่เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ จวิ้นอ๋องก็ไม่ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตามคำบอกเล่าของคนอื่น ๆ ที่บอกว่าเขาถูกฆ่าเพราะมัวเมาสตรีผิดลูกผิดเมียผู้อื่น แต่แท้จริงแล้ว เพราะไปรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้มาก่อนเพียงเท่านั้น จึงถูกสังหารจนตกตายร่างของจวิ้นอ๋องถูกนำกลับมาฝังในสุสานราชวงศ์อย่างสมเกียรติ "อาเฉินขอบใจเจ้ามาก" "เสด็จอาจวิ้นอ๋องมิต้องเกรงใจ""อาเฉิน เดิมทีข้าจะต้องไปเกิดแล้ว แต่เพราะความงามของลั่วฮองเฮา ข้าจึงอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย" โจวอี้เฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับไปมองจวิ้นอ๋องทันที "เสด็จอา ท่านอยากตายรอบสองหรือไม่พ่ะ
เมื่อได้รับราชโองการฉบับจริงกลับมาแล้ว โจวอี้เฉินจึงขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้หยางโจวพระองค์ใหม่อย่างถูกต้องตามพระราชประเพณี โจวเหวินกวงถูกจับขังเอาไว้ที่คุกหลวง โจวอี้เฉินสั่งให้คนจับตาดูเขาทุกฝีก้าวเพื่อมิให้เขาลักลอบฆ่าตัวตายได้สำเร็จ เพราะมีความตายที่เขารอจะมอบให้โจวเหวินกวงอยู่แล้ว หยางโจวรัชศกอี้เฉิน ปีที่หนึ่ง วันนี้เป็นฤกษ์มงคลที่โหราจารย์คัดสรรมาอย่างดี ท้องฟ้าและแสงแดดค่อนข้างปลอดโปร่งเป็นใจยิ่งนัก บนถนนซึ่งทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด มีขบวนเกียรติยศขบวนหนึ่ง ค่อย ๆ เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลงเพลงขับขานชวนหลงใหล เกี้ยวมงคลสีเหลืองทอง ขนาดสิบหกคนหาม ม่านเกี้ยวปักดิ้นทองลายหงส์น่าเกรงขามโดดเด่นงดงามตระการตามิใช่น้อย เกี้ยวมงคลอันงดงามนี้เคลื่อนขบวนจากจวนตระกูลลั่วมุ่งหน้าสู่วังหลวง สตรีที่คู่ควรกับขบวนเกียรติยศงดงามโอ่อ่าหลังนี้มีเพียงฮองเฮาเท่านั้น ลั่วหนิงฮวาสวมชุดสีทองปักลายหงส์งามสง่า บนศีรษะประดับมงกุฎหงส์ ขับเน้นให้ใบหน้าสวยหวานดูงดงามน่าเกรงขามไม่น้อย ยามนี้นางกำลังนั่งอยู่ในเกี้ยวเพื่อมุ่งหน้าสู่พระราชวัง ขบวนเกียรติยศมาถึงวังหลวงอย่างสง่างาม ยามที่นาง
โจวเหวินกวงลนลานปล่อยมือออกจากร่างของลั่วหนิงฮวาก่อนจะทรุดกายลงไปกับพื้น แล้วจึงสั่งเหล่าทหารให้เตรียมต้านรับสุดกำลัง เมื่อหันมาอีกครากลับพบว่านางหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว วิญญาณจวิ้นอ๋องและอดีตฮองเฮาบดบังกายนางเอาไว้ อีกทั้งยังบอกนางว่าโจวเหวินกวงคนสารเลวได้สังหารท่านตาของโจวอี้เฉินไปก่อนหน้าแล้ว ลั่วหนิงฮวากำมือแน่น ความเกลียดชังที่มีต่อโจวเหวินกวงยิ่งทบทวีมากขึ้นไปอีกลั่วหนิงฮวามุ่งหน้ามายังตำหนักเย็นซึ่งเป็นที่ที่โจวอวี้หลันถูกจับกุมตัวเอาไว้ ระหว่างทางนางแอบหยิบดาบและธนูของทหารที่วางไว้ติดมือมาด้วย"พี่หญิง!!!" "หนิงเอ๋อร์ เจ้า!!!" "พี่หญิง ฮึก ท่านตาของท่านและท่านพ่อของข้า ถูกประหารสิ้นแล้ว!!!" โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ลั่วหนิงฮวาที่ไร้เรี่ยวแรงไม่น้อยไปกว่ากัน ต้องเข้ามาช่วยประคองโจวอวี้หลันเอาไว้ "พี่หญิง หนีก่อนเถิด!!!" "หนีเช่นไร ยามนี้ข้าไม่มีอาวุธเลย!!!" "ไม่ต้องกังวล ระหว่างทางข้าแอบหยิบดาบของทหารและธนูติดมาด้วย โจวอี้เฉินมาถึงแล้ว เราย่อมหนีออกไปได้ รีบไปเถิด ยามนี้กองทัพของอาเฉินและพี่ใหญ่กำลังรอเราอยู่!!!" โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่
ลานประหาร โจวเหวินกวงสั่งให้ทหารนำแม่ทัพลั่วไปมัดขึงเอาไว้ที่กลางลานประหาร ก่อนจะลากตัวลั่วหนิงฮวามายืนอยู่กับเขา และใช้แขนล็อกคอของนางเอาไว้มิให้ขยับหนีไปได้ "หนิงฮวา เจ้าจงดูให้เต็มตาเสียเถิด เพราะต้องการปกป้องเจ้าและคิดขัดคำสั่งข้า พ่อของเจ้าต้องพบกับจุดจบเช่นใด" "ปล่อยข้า!!!""ปล่อยแน่นอน แต่หลังจากที่ข้าฆ่าพ่อของเจ้าเรียบร้อยแล้ว!!!" "เหวินกวง ไอ้คนต่ำช้า!!!" "มานี่!!!" โจวเหวินกวงฉุดกระชากลากถูลั่วหนิงฮวามายืนอยู่ไม่ไกลจากแม่ทัพลั่วมากนัก ลั่วหนิงฮวาจ้องมองผู้เป็นบิดาด้วยความเจ็บปวด ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินไม่ขาดสาย แม่ทัพลั่วส่งยิ้มให้บุตรสาวอีกคราหนึ่งด้วยความเหนื่อยล้า เขาตรากตรำอยู่ในสนามรบ ต่อสู้เพื่อแคว้นเพื่อราษฎรมานานหลายปี ไม่ตกตายในสนามรบ แต่กลับถูกสังหารเพราะคนชั่ว ช่างเถิด ชีวิตคนเราก็มีเพียงเท่านี้ จะเกรงกลัวความตายไปไยกัน"อย่ารับปากคนชั่ว นี่เป็นคำขอสุดท้ายของพ่อ พ่อหวังเพียงให้พวกเจ้าจดจำเรื่องราวในวันนี้ให้ดี แล้วจงเข้มแข็ง อยู่ต่ออย่างภาคภูมิ" "ท่านพ่อออออ!!!" "ถึงตายข้าก็ไม่เสียใจ ข้าเป็นทหาร มีเลือดนักรบไหลเวียนอยู่ในกาย ข้
คุกหลวง ลั่วหนิงฮวาจ้องมองอาหารตรงหน้าก่อนจะก่นด่าโจวเหวินกวงในใจ นี่เท่ากับบีบคั้นนางชัด ๆ แม่ทัพลั่วมองข้าวเปล่าถ้วยเล็ก ๆ ตรงหน้าและผัดผักหนึ่งอย่าง ก่อนจะเลื่อนอาหารตรงหน้ามาให้ลั่วหนิงฮวา "เจ้ากินเถิด" "ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านหิว ท่านกินเถิด ข้าไม่หิวเจ้าค่ะ" บิดานางแก่ชรามากแล้ว ย่อมอยู่อย่างลำบากเช่นนี้ไม่ไหว อาหารเพียงเท่านี้ย่อมไม่เพียงพอที่จะกินกันถึงสองคน แม่ทัพลั่วสิ่งยิ้มให้ลั่วหนิงฮวาก่อนจะยื่นมือมาลูบศีรษะของนางด้วยความรักใคร่ "หนิงเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดที่ทำให้พ่อรู้สึกผิดมาโดยตลอด นั่นก็คือการละเลยเจ้า พ่อไม่ได้ปกป้องเจ้าให้ดี ทำให้เจ้าถูกคนชั่วรังแกมาโดยตลอด" "ท่านพ่อ ท่านอย่าพูดอีกเลยเจ้าค่ะ เรื่องราวมันผ่านไปนานแล้วนะเจ้าคะ ยามนั้นท่านเองก็ออกรบเพื่อบ้านเมือง ข้าเข้าใจท่านพ่อเจ้าค่ะ" "ฟังพ่อ เจ้ากินข้าวเสีย เจ้าจะต้องมีชีวิตรอดออกไป พวกเจ้าสองคนพี่น้องจะต้องมีชีวิตรอดต่อไป" "ท่านพ่อ ท่านหมายความเช่นไร!!!" "ต่อให้ฝ่าบาทจะบีบบังคับเจ้าด้วยวิธีใด จงอย่ายอมรับคำของเขาเด็ดขาด เจ้าสัญญากับพ่อสิ" "ไม่!!! ท่านพ่อ ท่านจะทำสิ่งใด!!!" "ลูกเอ๋ย พ่อแก่ชรามาก
ด้านโจวอี้เฉินและลั่วจินหยางนั้น พวกเขาเดินทางออกจากเมืองหลวงได้ไม่ถึงครึ่งทางเสียด้วยซ้ำ เพียงผ่านหมู่บ้านชนบทที่ลั่วหนิงฮวาเคยอยู่มาก่อน เบื้องหน้าก็ปรากฏภาพของเหล่าทหารราวแสนนายอยู่ตรงหน้า เมื่อมองให้ดีดีจึงได้พบว่า ผู้คุมกองทัพทหารเรือนแสนนั้นก็คือเยี่ยนอ๋อง ซึ่งโจวอี้เฉินเคยได้พบกับเยี่ยนอ๋องในสนามรบเมื่อคราก่อน โจวอี้เฉินละสายตาจากเยี่ยนอ๋องไปหยุดอยู่ที่คนผู้หนึ่งที่อยู่บนหลังม้าร่วมทัพกับเยี่ยนอ๋องก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น นั่นคือผู้ใด?"องค์รัชทายาท นั่นคือฉู่อ๋องพ่ะย่ะค่ะ" "ฉู่อ๋องหรือ?" "ท่านลุงรู้จักเขาหรือ?" "สมัยก่อน เมื่อครั้งที่อดีตฮองเฮายังมีพระชนม์ชีพ ยามที่ตระกูลกู้ยังเรืองอำนาจ กระหม่อมเคยตามท่านพ่อมาร่วมรบกับสองแคว้น กระหม่อมจำเขาได้พ่ะย่ะค่ะ" "เช่นนั้นพวกมัน?""เหตุใดพวกมันจึงล่วงล้ำเข้าสู่เขตดินแดนของหยางโจวได้!!!"กู้เฉวียน ผู้เป็นท่านลุงของโจวอี้เฉินรับรู้ได้ในทันทีว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ปกติเสียแล้ว "องค์รัชทายาท กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว เหตุใดคนของแคว้นเยี่ยนและแคว้นฉู่จึงกล้ารุกรานผ่านประตูชายแดนเข้ามาในเขตหยางโจวได้ง่ายดายเช่นนี้!!!" ลั่วจินห
"พระโพธิสัตว์โปรดคุ้มครองข้าด้วย ขอให้ข้าเดินทางโดยปลอดภัยด้วยเถิด ขอให้ข้าได้พบกับเสด็จพี่ด้วยเถิด!!!" ท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมทั่วท้องนภา ปรากฏร่างของโจวหลิงหวางที่ควบม้าอย่างรวดเร็วโดยมิหยุดพักท่ามกลางแสงจันทร์ที่ให้แสงสว่างเลือนราง เป้าหมายของเขาคือชายแดนทางทิศใต้ ป้ายทางการทหารนี้จะต้องถึงมือของโจวอี้เฉินให้ได้เขาร้องไห้ไม่หยุดระหว่างเดินทาง ภาพที่เสด็จแม่วางยาพิษเสด็จพ่อยังคงติดตาของเขา เขาเสียใจทุกข์ใจยิ่งนัก ที่มิอาจช่วยเสด็จพ่อได้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งภาพที่เสด็จแม่ถูกเสด็จอาสังหารก็สร้างรอยแผลลึกในใจให้แก่เขา เขาเกลียดเสด็จอายิ่งนัก!!!ยิ่งนึกถึงเสด็จพ่อที่ถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรม ใจของเขาก็บีบรัดจนแน่น"เสด็จพ่อได้โปรดคุ้มครองลูกด้วย" โจวหลิงหวางใช้แส้ฟาดตีไปที่ท้องม้าเพื่อเร่งให้มันวิ่งให้เร็วขึ้น โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่า ด้านหลังของตนนั้นมีร่างของชายชราสวมชุดมังกรสีทองกำลังติดตามเขาออกเดินทางไปด้วยเช่นกันโปรดวางใจเถิดลูกพ่อ ตลอดเส้นทางจะไร้ซึ่งภัยร้ายมากล้ำกรายเจ้า ด้านลั่วหนิงฮวาและแม่ทัพลั่วในยามนี้นั้น ถูกควบคุมตัวมายังคุกหลวงใต้ดินพร้อมกัน ส่วนโจวอวี้หลันเอง