เขาค่อยๆ ใช้ปลายมีดกรีดมันลงไปกลางฝ่ามือข้างซ้ายของตนอย่างช้าๆ กลิ่นโลหิตปะทะเข้ากับปลายจมูกของเขา ความเจ็บปวดและกลิ่นคาวเลือดตรงหน้ามันทำให้เขาราวกับได้ปลดปล่อยความทุกข์ทนในใจได้เป็นอย่างดี เขาปล่อยให้เลือดสีแดงสดไหลซึมลงมาตามปลายนิ้วอย่างช้าๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้ มันหลายต่อหลายครั้ง ทั้งมือและแขน รวมถึงลำตัวล้วนมีร่องรอยของบาดแผลหลงเหลือเอาไว้มากมาย ฉับพลันก็มีเสียงเปิดประตู ผู้ที่เดินเข้ามาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจจนหน้าถอดสี
“นายน้อย ท่านทำร้ายตนเองอีกแล้วหรือ!!!”
จางเหยียนเหว่ยไม่ตอบ บนใบหน้าของเขายามนี้เลื่อนลอย ต่างจากท่าทีก่อนหน้านี้ยิ่งนัก ไม่มีท่าทีขี้เล่นหยอกเย้าเช่นเดิมอีก มีเพียงใบหน้าที่เฉยชาเงียบขรึม เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าโลหิตจะไหลออกมามากเพียงใด มืออีกข้างกำมีดเอาไว้แน่น ไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าผู้ใดที่เข้ามาในห้องแห่งนี้
นี่คือช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุด
ผู้ที่เข้ามาคือพ่อบ้านกัว พ่อบ้านที่ดูแลเขามาตั้งแต่วัยเยาว์ ยามที่เขาเดินทางไปชายแดนเพื่อเข้าสนามรบ พ่อบ้านกัวก็ติดตามไปด้วย จวนจวิ้นอ๋องจึงถูกทิ้งร้างมานานหลายปี
พ่อบ้านกัวรีบวิ่งเข้ามาหาเขา ก่อนจะจัดการทำแผลให้เขาทันที
“นายน้อย ท่านก็รู้ว่าตนเองจิตใจเป็นกังวลไม่ได้ เหตุใดจึงยังมาอยู่ที่นี่เพียงลำพังอีก เฮ้อ ท่านไม่มีอาการเช่นนี้มานานมากแล้ว คงเพราะไปพบคนผู้นั้นมาใช่หรือไม่ขอรับ”
จางเหยียนเหว่ยปรายตามองพ่อบ้านกัวคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“ใช่ เขาเรียกข้าไปพบ ท่านลุงกัว การที่ข้าพบเขาอีกครา มันทำให้ข้านึกถึงเรื่องในปีนั้นขึ้นมาอีกแล้ว เมื่อนึกถึงทีไร ใจข้าก็เจ็บปวดทรมานจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“นายน้อย อย่าเอ่ยวาจาเช่นนี้!!!”
จางเหยียนเหว่ยไม่ตอบ เขาพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
โรงน้ำชาแห่งนี้เป็นกิจการเดิมที่อดีตจวิ้นอ๋องมอบให้เขา อดีตจวิ้นอ๋องผู้นั้นคือผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของเขา แต่ทว่าตั้งแต่เขาจำความได้ กลับไม่เคยได้รับความสนใจจากผู้เป็นพ่อเลย อีกทั้งยังไม่สนิทสนมเฉกเช่นบิดาควรกระทำต่อบุตร ส่วนมารดาของเขาก็ทำราวกับเขาไม่ใช่บุตรแท้ๆ และยังวางท่าทีห่างเหินยิ่งนัก เมื่อเขาอายุได้สิบสองปี ท่านพ่อก็ล้มป่วยและตายจากไป ไม่นานท่านแม่ก็ตรอมใจตายตามท่านพ่อไป เขายังจำสายตาที่ท่านแม่มองเขาได้ขึ้นใจ แววตาที่ทั้งเกลียดชังและรักใคร่นั้นมันคือสิ่งใดกัน อีกทั้งคำพูดก่อนตายที่ท่านแม่เอ่ยกับเขา
“ข้าไม่น่าเก็บเจ้าเอาไว้เลย เจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าทั้งรักทั้งชังในคราวเดียวกัน!!!”
เมื่อนึกถึงเรื่องราวในครั้งนั้นก็ทำให้เขากลายเป็นคนที่เก็บตัว ผู้คนภายนอกมักมองว่าเขาโหดเหี้ยม แข็งแกร่ง เก่งกาจ รูปงามสมฐานะของเชื้อพระวงศ์ แต่ไม่มีใครรู้ถึงด้านที่แสนทรมานของเขาเลย เขาเก็บกดมาตั้งแต่วัยเยาว์ ทุกคืนเขาจะฝันเห็นเหตุการณ์เดิมซ้ำๆ คำพูดก่อนตายของท่านแม่วนเวียนคอยหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านพ่อท่านแม่จึงปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้น จนวันหนึ่งเขาได้เข้าไปในห้องนอนของท่านแม่ และพบกับหีบใบหนึ่งที่เก็บเอาไว้ใต้เตียงเป็นอย่างดี ยามนั้นเขามีอายุได้สิบห้าปีแล้ว เขาพยายามเปิดมันออกจนกระทั่งได้พบว่ามีตำราหลายเล่มวางอยู่ในนั้น เขาขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะหยิบมันมาเปิดออกดู และทำให้เขาได้รับรู้เรื่องราวที่แสนจะโสมมผ่านตัวอักษรที่ผู้เป็นแม่เขียนบันทึกเอาไว้
ทุกตัวอักษรคล้ายเขียนออกมาจากความเคียดแค้นชิงชัง บางตัวอักษรก็คล้ายจะแสดงออกถึงความรักความห่วงใยที่มีต่อเขา
เขาเคยคิดจะทำดีให้ท่านแม่พอใจ เขาตั้งใจเรียนทั้งบุ๋นและบู๊ ทำทุกอย่างให้ผู้เป็นแม่มองเห็นการมีตัวตนของเขา แต่สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นเพียงความว่างเปล่า นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาป่วยหนัก หลังจากท่านแม่ตายจาก เขาก็เริ่มเข้าโรงสุรา โรงพนัน ยามที่อยู่คนเดียวอาการของเขาจะกำเริบ ควบคุมตนเองไม่ได้ เขาไม่อยากทรมานอีก จึงตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพเพื่ออยากหลีกหนีให้พ้นจากจวนอ๋องแห่งนี้
เขาจมอยู่กับความอัปยศมาเนิ่นนาน จึงเข้าร่วมกองทัพ เวลาเพียงไม่นานเขามีชื่อเสียงเรื่องความโหดเหี้ยม ฆ่าคนไม่กะพริบตา เขาเอาความเก็บกดภายในใจใส่ลงไปบนปลายดาบ กรีดเฉือนสังหารศัตรูอย่างเลือดเย็น หยดเลือดที่สาดกระเซ็นกระทบใบหน้าราวกับของหวานที่เขาโหยหาอยู่ทุกเมื่อ
จวบจนเขาอายุได้ยี่สิบปี มีความดีความชอบที่รบชนะศัตรู เสด็จลุงจึงมอบตำแหน่งจวิ้นอ๋องให้เขาต่อจากท่านพ่อ ส่วนตำแหน่งชินอ๋องนั้นเป็นของเสด็จลุงรองของเขา ที่ยามนี้หลีกหนีไปใช้ชีวิตที่ชายแดนเพราะเบื่อหน่ายความวุ่นวายในเมืองหลวง
เขายังจำได้ดี ราชโองการแต่งตั้งเขาเป็นจวิ้นอ๋องถูกส่งมาที่ชายแดน หวังจะให้เขากลับไปรับตำแหน่งอย่างสมเกียรติ แต่เขากลับไม่ยอมกลับไป
เมื่อเติบโตจนอายุยี่สิบห้าปี เรื่องราวหลายอย่างได้สอนสั่งว่าเขาจะหนีเรื่องราวไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาต้องเผชิญหน้าไม่ใช่เอาแต่หลบซ่อน หลายปีที่อยู่ชายแดนอาการของเขาเหมือนจะดีขึ้น จนเขาเผลอคิดว่าเขาคงหายดีแล้ว จวบจนกระทั่งได้พบหน้าคนผู้นั้นอีกครา ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เสด็จลุงของเขา!!
อาการของเขากำเริบขึ้นมาอีกครา เขามักทำร้ายตนเอง ต้องได้กลิ่นคาวเลือดจึงจะสงบใจลงได้
จางเหยียนเหว่ยแค่นหัวเราะออกมาคราหนึ่ง สมัยที่ยังวัยเยาว์เขาไม่เคยคิิดสิ่งใด คิดเพียงว่าเพราะเขาไม่น่ารักหรือ ท่านพ่อท่านแม่จึงไม่รักเขา แต่เมื่อเขาเติบโตขึ้นเขาจึงได้เข้าใจทุกอย่าง
เขาเข้าใจทุกอย่างแล้วจริงๆ
จางเหยียนเหว่ยส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง เรื่องราวเหล่านั้นตามหลอกหลอนเขามานานหลายปี มันทำให้เขารู้สึกเกลียดตนเอง เกลียดชังสิ่งรอบกาย เหตุใดสวรรค์จึงต้องทำให้เขาพานพบกับเรื่องราวเช่นนี้ด้วย เปลือกนอกที่ผู้อื่นได้เห็นเป็นเพียงด้านที่เขาปิดบังความอัปยศของตนเองที่ไม่อาจบอกผู้ใดเอาไว้
“นายน้อย”
เสียงเรียกของพ่อบ้านกัวทำให้จางเหยียนเหว่ยได้สติกลับคืนมา เขาถอนหายใจออกมาคราหนึ่งพลางมองมือของตนที่ยามนี้พ่อบ้านกัวทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้วคราหนึ่ง
“ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว ขอบใจท่านมาก ข้าจะกลับขึ้นไปที่โรงน้ำชาด้านบน”
“ขอรับ”
จางเหยียนเหว่ยเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินออกมาจากห้องใต้ดิน เขาเดินกลับขึ้นมายังด้านบนที่เปิดเป็นร้านโรงน้ำชาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ทำราวกับว่าเรื่องราวเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่นานนักเขากลับได้กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาแตะจมูก เมื่อเงยหน้าไปมองก็พบกับไป๋เหมยเหม่ยที่กำลังยืนส่งยิ้มให้เขาอยู่
จางเหยียนเหว่ยรู้สึกราวกับว่าเวลาหยุดหมุนไปชั่วขณะ รอยยิ้มของนางมันดูงดงามราวกับแสงอาทิตย์ในยามเช้า ช่วยเยียวยาจิตใจเขาได้ชั่วขณะหนึ่ง เขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเอ่ย
"ไป๋เหมยเหม่ย"
"ท่านอ๋อง วันนี้หม่อมฉันทำมันฝรั่งเส้นผัดพริกและหม้อไฟรสเผ็ดมาให้ท่าน หม่อมฉันเตรียมวัตถุดิบอย่างดีเอาไว้ให้ท่านอ๋องโดยเฉพาะเลยนะเพคะ"
จางเหยียนเหว่ยหันไปมองอาหารในมือของไป๋เหมยเหม่ย ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขารีบเดินเข้าไปรับอาหารมาจากมือนางด้วยตนเอง ก่อนจะเอ่ย
"ขอบใจมาก แต่เจ้าไม่ต้องลำบาก เพียงแค่ขายอาหารก็คงเหนื่อยมากแล้ว"
"ข้าไม่เหนื่อย"
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มตาหยี ก่อนจะชะงักไปคราหนึ่งเมื่อเห็นว่ามือข้างซ้ายของเขามีผ้าพันเอาไว้
“ท่านอ๋อง ได้รับบาดเจ็บหรือเพคะ”
จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองนางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงฝึกอาวุธแล้วได้รับบาดเจ็บอีกไม่นานก็หาย”
“ต้องดูแลร่างกายให้ดีนะเพคะ กินของดีๆ จะได้หายเร็วๆ เพคะ”
จางเหยียนเหว่ยชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยด้วยแววตาที่ล้ำลึก ไป๋เหมยเหม่ยคล้ายรู้ว่าตนเองเอ่ยสิ่งใดออกไป จึงมีท่าทีประหม่าไม่น้อย
เพราะเขาช่วยนางไว้ในครั้งที่แล้ว นางจึงอยากตอบแทนเขา เขาเองก็ดูเหมือนจะไม่ถือตน เข้ากับผู้คนได้ง่าย นางจึงไม่ประหม่ายามที่ได้สนทนากับเขา แต่ทว่ายามนี้นางคงคิดผิดเสียแล้ว
เขาเป็นถึงท่านอ๋องสูงศักดิ์ แต่นางเป็นเพียงหญิงหม้ายที่ถูกสามีหย่า การรักษาระยะห่างย่อมเป็นสิ่งที่ควรกระทำ
เมื่อคิดเช่นนั้นไป๋เหมยเหม่ยจึงเอ่ยกับจางเหยียนเหว่ยทันที
"หม่อมฉันล่วงเกินท่านอ๋องแล้ว เอ่อ ขออภัยด้วยนะเพคะ หม่อมฉันมีงานต้องทำอีก เชิญท่านอ๋องตามสบายเพคะ"
"ช้าก่อน"
ไป๋เหมยเหม่ยที่กำลังจะเดินกลับไปที่ร้านหม้อไฟพลันหยุดชะงัก ก่อนจะหันไปมองจางเหยียนเหว่ยด้วยแววตาที่สงสัย เขาบอกให้นางรอสักครู่ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง ไม่นานนักก็เดินออกมาพร้อมกับยื่นกล่องอาหารส่งให้นาง ไป๋เหมยเหม่ยจ้องมองกล่องอาหารตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยถาม
"นี่คือ?"
"ขนมกุ้ยฮวา นี่เป็นสูตรที่พ่อบ้านของข้าคิดขึ้นมาโดยเฉพาะ รสชาติจะไม่เหมือนที่อื่น"
ไป๋เหมยเหม่ยยื่นมือไปรับกล่องขนมมาถือเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย
"ขนมนี่..."
"ข้าทำเอง"
"ทำเองหรือเพคะ"
ไป๋เหมยเหม่ยค่อนข้างแปลกใจไม่น้อย ไม่น่าเชื่อว่าบุรุษเช่นเขาจะทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นการทำขนมแบบนี้ด้วย
จางเหยียนเหว่ยที่เห็นท่าทางแปลกใจของไป๋เหมยเหม่ยก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ทำไม แปลกใจมากหรือ นานๆ ทำสักครั้งน่ะบุรุษก็ต้องมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายบ้าง เจ้าลองเอากลับไปชิมดูว่ารสชาติดีหรือไม่"
"ขอบพระทัยเพคะ ลูกค้าเข้าร้านอีกแล้ว หม่อมฉันขอตัวก่อน"
"อืม"
ไป๋เหมยเหม่ยเดินจากไปพร้อมกล่องขนมในมือ จิตใจของนางเบิกบานเป็นอย่างมาก แม้กระะทั่งลืมความเหนื่อยล้าในการทำงานไปเสียสนิท จางเหยียนเหว่ยละสายตาจากไป๋เหมยเหม่ย ก่อนจะหันมามองอาหารตรงหน้าคราหนึ่ง พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย แต่ว่าคำพูดของฮ่องเต้ก็ทำให้จิตใจของเขาไม่สงบ อารมณ์ขุ่นเคืองเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาอีกครา
คิดว่าเขาไม่รู้หรือ ที่ผ่านมาเสด็จลุงดูเหมือนจะรักใคร่เขา แต่แท้จริงแล้วเกรงว่าเขาจะทานอำนาจกับจางจิ้งเฉวียนพระโอรสของตน เพียงแค่เขาคบหาเป็นสหายกับไป๋จินเซียงยามที่อยู่ชายแดนก็ถูกจับตามองมาโดยตลอด โชคดีที่เขาเป็นคนแยกแยะได้และไม่เคยหวังในอำนาจ หากเป็นเช่นนั้นรับรองได้ว่าวังหลวงย่อมต้องนองเลือดเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้นแววตาของจางเหยียนเหว่ยก็เย็นเยียบ ต้องมีสักวันที่เขาจะหลุดพ้นจากฐานันดรศักดิ์จอมปลอมเช่นนี้ ต้องมีสักวันที่เขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ โดยไม่ต้องถูกเรื่องราวแต่หนหลังทำร้ายจิตใจได้อีก
งานแต่งงานผ่านพ้นไปได้ร่วมเดือนแล้ว ยามนี้จางเหยียนเหว่ยเข้ามาอยู่ที่จวนของไป๋เหมยเหม่ยอย่างเต็มตัวในฐานะบุตรเขยแล้ว เขาไม่ได้กลับไปพักที่โรงน้ำชาอีกเมื่อแต่งงานกันกิจการต่างๆ ของเขาก็ยกให้ไป๋เหมยเหม่ยทั้งหมด ไม่เหลือสิ่งใดที่เป็นของตนเลยแม้แต่น้อย มีคราหนึ่งเขาออกเดินทางไปที่นอกเมืองหลวง พบสตรีน้อยนางหนึ่งมาบอกรักเขา บอกว่ายินดีจะเคียงคู่เป็นภรรยาของเขาไปชั่วชีวิต เขากลับตอบเพียงว่า“ขออภัยด้วย เงินข้าอยู่กับภรรยาหมดแล้ว ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเจ้าหรอก ลำพังตัวข้าเองยังต้องขอเงินนางเลย เจ้าไปหาสามีคนอื่นเถิด ข้าจนมากทุกวันนี้ยังอาศัยบ้านภรรยาอยู่เลย”สตรีน้อยนางนั้นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางมองเขาด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ไม่เสื่อมคลายจางเหยียนเหว่ยคร้านจะสนใจสิ่งใดอีก วันนี้เขาไปพบท่านแม่มาและนำยาบำรุงไปให้นาง หน้าตาท่านแม่ดูสดใสขึ้นมาก อีกทั้งยังบอกให้เขารีบมีหลานเร็วๆ จางเหยียนเหว่ยเพียงยิ้ม ก่อนจะรีบกลับจวนมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที ระหว่างนั้นเขาพบกับไป๋กู้ชวนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในครัว ได้ยินว่าระยะหลังมานี้เขามักสนใจการทำอาหารเป็นอย่างมากในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากทักไป๋กู้ชวนอยู
จางเหยียนเหว่ยเดินมาพร้อมกับไป๋เหมยเหม่ย ในขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้าก็พลันเห็นฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า ชายชราชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองคนทั้งสองด้วยแววตาที่วูบไหวจางเหยียนเหว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด อีกทั้งยังไม่คิดจะบอกเรื่องราวของท่านแม่ให้คนผู้นี้ได้รับรู้ คนเช่นเขานี่คือการลงโทษที่ดีที่สุดแล้ว ให้เขาคิดว่าท่านแม่ตายไปแล้ว จมอยู่กับความทุกข์ใจของตนไปเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยฮ่องเต้จางเหลียนไห่เพิ่งกลับมาจากที่ฝังศพของหลัวหลินฮวา คิดจะแวะมาไหว้พระที่วัดไป๋หวา แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอบุตรชายของตนเข้า ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม"อาเหยียน"ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เอ่ยเรียกบุตรชายตนอย่างอ่อนโยน จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ไม่คิดว่าคนเช่นท่านจะเข้าวัดด้วย คิดจะมาสนทนาธรรมหรือสารภาพบาปกันเล่า"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระตุกแขนเสื้อจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่งพลางส่งสายตาห้ามปรามเขา ฮ่องเต้จางเหลียนไห่คร้านจะใส่ใจคำพูดประชดประชันของลูกชายตน จึงเอ่ยตอบ"เจ้าจะแต่งงานแล้วนี่ ไม่คิดบอกข้าสักคำหรือ""ไม่จำเป็น ข้าจัดงานเองไ
เรือนหลังหนึ่งท้ายวัดไป๋หวายามนี้แม่นมหลัวกำลังพาจางเหยียนเหว่ยและไป๋เหมยเหม่ยมาที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังวัดไป๋หวา เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็ก เขามองไปโดยรอบก่อนจะครุ่นคิดเหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่ามีเรือนเช่นนี้อยู่ในวัดไป๋หวาด้วย"พระชายาอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็มือสั่นเทาไม่น้อย เขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง ยื่นมือไปเปิดประตูบานนั้นออก ความกลัวเริ่มปกคลุมในจิตใจ เขาเกรงว่าหากเขาเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับท่านแม่ นางจะรังเกียจเขาหรือไม่ นางจะด่าทอทุบตีเขาหรือไม่ระหว่างทางที่มาแม่นมหลัวเล่าว่าในวันที่ท่านแม่ป่วยตายนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ท่านแม่ให้แม่นมหลัวไปหายาชนิดหนึ่งมา ยานั้นหากกินเข้าไปแล้วจะหลับสนิท ไร้ลมหายใจราวกับตาย ต้องรีบใช้ยาแก้ภายในสองชั่วยาม มิเช่นนั้นจะตายจริงๆเขาเพิ่งเข้าใจในวันนี้ว่าเพราะเหตุใดแม่นมหลัวจึงเร่งให้นำศพของท่านแม่ไปฝัง จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดตามความเป็นไปของท่านแม่อีก ไม่ได้รับรู้ว่าคนของท่านแม่แยกย้ายไปอยู่ที่ใดกันบ้างหลังจากนำศพไปฝัง แม่นมหลัวก็นำคนที่ไว้ใจได้มาขุดหลุมศพและช่วยท่า
จางเหยียนเหว่ยที่กลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที เมื่อได้พบนางอีกคราเขาก็ปวดใจไม่น้อย คล้ายว่านางจะผอมลงไปมาก"เหมยเหม่ย""เหยียนเหยียน"เขารีบสั่งให้คนเปิดประตูคุกหลวงออก ก่อนจะรีบโผเข้าไปกอดนางทันที ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นว่าจางเหยียนเหว่ยกลับมาแล้วก็ดีใจจนร้องไห้โฮออกมาราวกับเด็กน้อย "ท่านกลับมาแล้ว ฮึก ข้ากลัวมากเลย มีแต่คนมารังแกข้า ฮือ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดเหลือเกิน เขาไม่ได้บอกแผนการนี้กับนาง ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เพราะว่าอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อความปลอดภัยของนาง หากนางยังอยู่สุขสบาย คนตระกูลฟ่านย่อมไม่มีทางตายใจจนโผล่หางตนออกมา อีกทั้งยังอาจส่งคนมาลอบสังหารและทำร้ายนางกับครอบครัวอีกด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง ก่อนจะเอ่ย"ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้านะ"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงผละออกจากเขาทันที จางเหยียนเหว่ยยิ้มให้นางก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งดีใจในคราเดียวกัน"ท่านไม่บอกข้า!!! ข้าจะตีท่าน""ตีเลย ตีเลย ขอเพียงเจ้าหายโกรธข้าก็พอ"ไป๋เหมยเหม่ยยิ้ม
วันคืนผ่านไปเช่นนี้คืนแล้วคืนเล่า ไป๋เหมยเหม่ยไม่อาจรับรู้ข่าวคราวจากภายนอกได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว จวบจนคืนหนึ่งที่ฟ่านเหลียนมาพบกับนาง เขาสั่งให้คนเปิดประตูห้องขังออก ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหานาง ฟ่านเหลียนจ้องมองนางด้วยแววตาที่เย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ย"เป็นเช่นไรบ้างเล่าน้องเหมยเหม่ย รู้สำนึกแล้วหรือยัง หากว่าเจ้าเลือกข้าตั้งแต่วันนั้น เจ้าก็ไม่ต้องพบจุดจบเช่นวันนี้ เมื่อใดที่หลักฐานว่าบิดาและพี่ชายเจ้ายอมมอบข้อมูลทางการทหารให้แคว้นเซียวชัดเจน เจ้าจะถูกประหารทั้งตระกูล เฮ้อ!!! น่าเสียดายความงามของเจ้ายิ่งนัก"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ทำราวกับไม่สนใจคำพูดของฟ่านเหลียน ฟ่านเหลียนที่เห็นว่านางยังคงเฉยชาก็เริ่มมีโทสะ เขายื่นมือไปบีบคอของนาง ก่อนจะเอ่ย"อย่าอวดเก่งให้มากนัก!! ข้าจะให้หนทางรอดแก่เจ้า หากเจ้ายอมเป็นของเล่นของข้าและจางหลิงหยาง ข้ารับรองว่าจะหาทางช่วยเจ้า เป็นเช่นไร ข้อเสนอดีหรือไม่ รีบตัดสินใจเสียสิ เจ้าจะได้บุรุษมาครอบครองทีเดียวสองคนเลยนะ ไม่ดีหรือ อ้อ หรือว่าเจ้าจะรอว่าที่สามีใหม่ที่เป็นถึงท่านอ๋องมาช่วย โอ้ว เขาจะมาทันหรือ ยามนี้จะตายอยู่ในสนามรบ
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด ด้านจางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบหันมามองไป๋เหมยเหม่ยในทันที"เรารีบไปดูกันเถิด"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบกลับไปที่จวนตระกูลไป๋พร้อมจางเหยียนเหว่ยในทันที เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้จวนตระกูลไป๋ถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว เหล่าทหารจากวังหลวงยามนี้กำลังบุกเข้าไปในจวน ก่อนจะจับตัวคนในจวนออกมาทั้งหมด"ท่านแม่ กู้ชวน!!!"ไป๋เหมยเหม่ยร้องเรียกไป๋ฮูหยินและไป๋กู้ชวนที่ยามนี้ถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนเหล่าบ่าวไพร่ในจวนล้วนถูกกักบริเวณไม่สามารถออกไปที่ใดได้ จางเหยียนเหว่ยจ้องมองทหารเหล่านั้นด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ย"ผู้ใดสั่งให้เจ้าบุกมาจับคนเช่นนี้ คำสั่งฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ""ท่านอ๋องโปรดวางใจ หากการตรวจสอบพบว่าคนตระกูลไป๋บริสุทธิ์ ย่อมถูกปล่อยตัวในเร็ววัน"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงปรายตามองไปที่ด้านหน้าตนคราหนึ่ง พบว่าเป็นเสนาบดีฟ่านฉีนั่นเอง เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม"เสด็จลุงส่งท่านมาหรือ"เสนาบดีฟ่านฉียิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เป็นรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าท่านอ๋องคิดจะขัด