LOGIN“เราอยู่ที่บริษัท…ของผม” คำว่า ‘ของผม’ เหมือนประตูทางหนีของเธอถูกเขาปิดไว้หมดแล้ว
ลมหายใจร้อนจัดเฉียดผ่านผิวแก้ม หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นทุกขณะ
ความเงียบค่อย ๆ คลืบคลานเข้ามา มันกำลังไล่ต้อนเธอทีละน้อย
บีบให้เธอถอยจนแทบไม่เหลือพื้นที่ให้หนี
“ไม่ว่าจะที่บ้าน…ที่นี่หรือที่ไหน…” เขาเอียงหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากยกยิ้มชั่วร้าย
“ถ้าผมต้องการ ก็ย่อมได้ทั้งนั้น” สัมผัสร้อนระอุที่แตะลงบนผิวแก้มนวลเนียน ส่งผลให้แผ่นหลังของกุลจิราร้อนวูบวาบ
เธอกัดฟันยืนหยัดพยายามเรียดสติทั้งหมดกลับมา
ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปที่เขา ความดื้อรั้นส่องประกายอยู่ในนั้น
อำนาทเงินของเขาสามารถควบคุมชีวิตทั้งชีวิตของคน ๆ หนึ่งเอาไว้ได้ก็จริง
แต่ศักดิ์ศรีของเธอยังมีเหลืออยู่ ต่อให้มันจะน้อยนิดก็ตาม
นับแต่วันที่เขาเข้าไปเหยียบบ้านเธอ เธอก็รู้ตั้งแต่วินาทีนั้น
ภวินท์ เศรษฐวินิจ คือคนดีในคราบคนเลวโดยแท้จริง
เพราะจะมีคนดีที่ไหน ใช้เงินบีบบังคับให้ผู้หญิงที่ไร้ซึ่งทางเลือกแต่งงานกับตัวเอง
ตำแหน่ง ‘สะใภ้เศรษฐวินิจ’ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
หนามจากกุหลาบพวกนั้นมีไว้สพหรับทิ่มแทงให้เธอค่อย ๆ ทุกข์ทรมาน
จนตอนนี้กุลจิราก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้
นอกจากร่างกายนี้ เขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่
ความรู้สึกต่ำต้อย ความเจ็บปวดของคนที่ไม่มีอำนาทต่อรองพวกนั้นหรือ
หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น
ลมหายใจเริ่มสะดุด
“จูบผม” น้ำเสียงทุ้มต่ำไม่คล้ายการขอร้องแต่มันคือคำสั่งจากเขา
“อะ…อะไรนะคะ” น้ำเสียงหวานสั่นคลอนเล็ก ๆ คำสั่งบ้าบออะไรเนี่ย
“ถ้าการได้ยินของคุณยังมีปัญหาอยู่แบบนี้” น้ำเสียงของเขาลดต่ำลงอีก ตั้งใจเว้นจังหวะ
“สงสัยผมคงต้องให้คุณเมธีหรือไม่ก็คุณจุฑามาศ ช่วยผมสั่งคุณอีกแรง” ความชั่วร้ายผุดขึ้นที่ดวงตาของซีอีโอหนุ่ม น้ำเสียงที่ชวนให้หวามไหวดังชิดที่ริมหูเธอ
ระยะห่างของทั้งคู่แทบไม่หลงเหลืออยู่
มวลอากาศภายในห้องก่อตัวหนาขึ้นทุกขณะ อัดแน่นจนหญิงสาวเริ่มหายใจลำบาก
“ไม่ต้องไปรบกวนคนอื่นหรอกค่ะ” เธอรวบรวมความกล้าทั้งหมดประคองให้น้ำเสียงของตัวเองมั่นคง
“ฉันจะทำตามคำสั่งของท่านประธานเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” กุลจิราสูดหายใจลึกเข้า ดวงตาคู่สวยฉายความประหม่าออกมาชัดเจน
รับรู้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำอยู่ในอก เธอหลับตาลงช้า ๆ สองมือชื้นไปด้วยเหงื่อกอบกำเข้าหากัน
เผลอกลั้นลมหายใจในตอนที่ริมฝีปากฉ่ำวาวค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้กับริมฝีปากของอีกฝ่าย
พลันหัวใจราวกับหยุดทำงานตอนที่ริมฝีปากของเธอสัมผัสกับปากของเขา ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมองเจ้าของริมฝีปากร้อนระอุ
เนื้อตัวกุลจิราชาวาบ รู้สึกวาบหวามขึ้นมาในใจ เกิดความสั่นน้อย ๆ ขึ้นที่สองมือแม้ว่าเธอไม่ได้สอดลิ้นเข้าไปข้างใน
ไม่ใช่จูบที่ดูดดื่ม ร้อนแรงเหมือนที่เธอได้รับจากเขา
เนิ่นนานหลายวินาที กุลจิราถึงพาตัวเองกลับลงมายืน ทว่าอาการประหม่าก็ไม่ได้ลดน้อยลง ตั้งใจจะผละออกห่างให้เร็วที่สุด
แต่ไม่ทันจะพ้นรัศมีอันตราย ท่อนแขนแข็งแรงก็คว้าร่างเล็กเข้ามาแนบชิดแสงแดดจากด้านนอกกระทบใบหน้าของทั้งคู่
กุลจิรานิ่งค้างราวกับถูกสะกด
หวนคิดย้อนกลับไป…
วันนั้นอากาศร้อนอบอ้าว หลังการสัมภาษณ์งานจบลง กุลจิราพาตัวเองออกมาจากที่แห่งนั้นเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก
เธอหลบมุมยืนอยู่ซอกหลืบหนึ่งของบริษัท สองมือกำแฟ้มประวัติส่วนตัวแนบอกมือสั่นเล็กน้อย
“ขอโทษนะคะ…คุณไม่ผ่านการสัมภาษณ์ค่ะ”
ประโยคสั้น ๆ แต่มากพอจะทำให้โลกทั้งใบของหญิงสาวพร่าเลือน
ทุกย่างก้าวที่ควรจะมั่นคงกลับไร้เรี่ยวแรงให้ยืนอยู่บนโลกใบนี้
เธอเคยวาดฝันว่าอยากเข้ามาทำงานที่บริษัทนี้ หนึ่งปีที่ผ่านมาเธอจึงเตรียมตัวมาอย่างดี เก็บเกี่ยวประสบการณ์ สั่งสมผลงานจนได้เอกสารปึกหนา มั่นใจ
ว่าศักยภาพของตัวเองกอปรกับความมุ่งมั่นที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ถึงขั้นเตรียมจะยื่นใบลาออกจากที่ทำงานเก่า
แต่แล้วความหวังก็พังทะลายลง
เธอไม่ใช่ผู้ที่ถูกเลือก
เสียงรอบกายค่อย ๆ เลือนหายไปทีละนิด
ภาพผู้คนเดินสวนไปมาค่อย ๆ พร่าเลือนขึ้นทุกขณะ
ราวกับโลกกำลังจะหยุดหมุน
ก่อนที่ร่างบางจะทรุดลงไปที่พื้น ท่อนแขนแข็งแรงของใครบางคนพุ่งเข้ามาประคองเธอได้ทัน
แรงนั้นมั่นคงพอจะฉุดดึงเธอขึ้นจากความมืดหม่น
“เป็นอะไรไหมครับ”
เสียงทุ้มต่ำดังชิดริมหู ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขาปะทะผิวเนื้อที่แก้มเธอแผ่วเบา
น้ำเสียงที่ควรจะห่างเหินกลับฟังดูอบอุ่น หัวใจที่กำลังจะแตกละเอียดสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย
กุลจิราเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาคู่สวยพร่าเลือนด้วยน้ำที่เอ่อคลอ ทว่าภาพใบหน้าคมคายของชายหนุ่มตรงหน้ากลับชัดเจนขึ้นทุกขณะ
แสงแดดอ่อนยามบ่ายทอดตัวลงบนสันกรามแข็งแรงของชายหนุ่ม กุลจิราอยู่ในอ้อมอกของเขา ใกล้เสียจนเธอได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่กำลังเต้นอยู่
กลิ่นโคโลญจ์อ่อน ๆ จากเขาให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
ผู้ชายคนนี้คือคนที่เธอเห็นที่หน้าห้องสัมภาษณ์เมื่อตอนเช้า
ตอนนั้นเธอคิดว่าภวินท์คงจะเป็นพนักงานระดับสูง ไม่ก็อาจเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่มาติดต่องานกระมัง
“ฉะ…ฉันไม่เป็นไรค่ะ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสั่นคลอน มือที่กำแฟ้มเริ่มผ่อนแรงลง พยายามจะยืนด้วยขาของตัวเอง
ชายหนุ่มค่อย ๆ ผละออกห่าง สายตาของเขามองมาที่เธออย่างคนที่ประเมินอาการเห็นได้ชัดว่าไหล่บางของเธอยังสั่นเทิ้มอยู่
ภวินท์เหมือนตั้งใจจะเดินไปตามทางของเขา
ทว่าเขาเดินจากไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมา เหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้
สายตาคมกริบที่จ้องมองมาทำให้ลมหายใจของกุลจิราสะดุด ใจเต้นแรงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะครับ ลุกขึ้นมาทำให้ตัวเองไปอยู่ในจุดนั้นให้ได้ดีกว่ามาเสียใจอยู่แบบนี้ ไปอยู่ในจุดที่สามารถยืนอยู่ได้อย่างภาคภูมิใจและเก่งพอให้คนอื่นยอมรับ”
หลังคำพูดนั้น เขาก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นโคโลญจ์จาง ๆ และคำพูดเหล่านั้น
กุลจิรามองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อย ๆ ไกลออกไปทีละนิด ลมหายใจที่กลั้นไว้ค่อย ๆ ถูกผ่อนออกมาอย่างช้า ๆ
หัวใจที่หนักอึ้งมาทั้งวันก็เบาราวกับปุยนุ่น
คำพูดของเขาเหมือนแสงสว่างเล็ก ๆ ในวันที่มืดหม่นมองไม่เห็นแสงสว่าง
บทสนทนาแสนสั้น กลับทำให้เธอปล่อยวางความผิดหวังลงได้
เธอจดจำรายละเอียดทุกอย่างบนใบหน้าของชายหนุ่มเอาไว้ ภาวนาทุกวันให้เธอบังเอิญเจอกับเขาอีกครั้ง
เหตุการณ์ในวันนั้นค่อย ๆ ก่อตัวกลายเป็นความรู้สึกดี ๆ ขึ้นภายในใจทุกครั้งที่หวนกลับไปคิดถึงอีกครั้ง
“ฉันกลับไปทำงานได้หรือยังคะ” กุลจิราเรียกสติของตัวเองคืนกลับมา ดวงตาเรียวรีไหวระริกราวกับกำลังกลัวอะไรบางอย่าง
ผู้ชายที่ทำให้เธอหวั่นไหวในวันนั้น คงไม่เคยมีอยู่จริง
เขาไม่ต่างอะไรจากซาตาน…
เลือดเย็น จิตใจคับแคบ ในหัวมีแต่ความคิดชั่วร้าย
“ลองประเมินความสามารถของตัวเองดูสิ” ชายหนุ่มจ้องมาที่เธอ มุมปากเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
เขามันซาตานขนานแท้…
อำนาทในมือ เขาคงถนัดใช้มันเหยียบย่ำผู้อื่นให้จมฝ่าเท้าสินะ
ความดื้อรั้นและเด็ดเดี่ยววาววับเป็นประกายเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของกุลจิราในเวลานี้ ยิ่งขลับให้ใบหน้าหวานหยดของเธอเย้ายวนใจเขายิ่งกว่าเดิม
“ความสามารถเรื่องการจูบของคุณ…ไม่ผ่าน”
“ถ้าขืนคุณยังพูดอะไรอีก คืนนี้ผมจะไม่ให้คุณได้นอน”ชายหนุ่มเคลื่อนมือต่ำลงไป ข้อนิ้วไล้ลงบนเนินอกอิ่ม เรื่อยลงไปยังกึ่งกลางระหว่างทรวงอกกลมกลึงทั้งสองข้าง แก่นกลางกายปวดหนึบอยู่ในเป้ากางเกงกุลจิราสูดลมหายใจเข้าลึก ปลายนิ้วของเขาลากลงมายังแผ่นท้องแบนราบ“อ้าขาออก ผมเลียไม่ถนัด” ชายหนุ่มช่างครางต่ำในลำคอ นวลเนื้อที่เห็นเพียงรำไรเกลี้ยงเกลาหมดจด นิ้วเรียวยาวแยกส่วนนั้นของหญิงสาวออก“อ๊ะ!” ร่างเล็กบางสะดุ้ง แผ่นหลังแอ่นโค้งเมื่อถูกท่อนเนื้อแข็งขืนเคล้าคลึงตวัดวนตรงส่วนนั้นของตัวเองเจ้าสิ่งนั้นค่อย ๆ ล่วงล้ำเข้าไปในปากทางคับแคบ พลันหยาดน้ำหวานซึมซาบออกมาหญิงสาวสั่นสะท้านไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้างตาพร่ามัว ภวินท์ยังใช้ส่วงหัวหยักบานมรีดเค้นน้ำหวานให้ซ่านซึมออกมาความกระหายใคร่ส่งให้ความหวิวหวามแล่นลิ่วไปทุกอณูร่างกายของทั้งคู่“อื้ออ” ในกายของหญิงสาวกระตุกวาบ ความซาบซ่านลุกลามไปทั่วทั้งตัว ข้างในท้องน้อยเสียวซ่าน กึ่งกลางกายสั่นระริก บีบรัดความเป็นชายของเขาแน่นเข้า“อ๊า!” คนที่ถูกตรึงมือทั้งสองเอาไว้ส่งเสียงครวญคราง ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วสัมผัสติ่งเนื้อที่บวมฉ่ำ ดวงตาเยิ้มฉ่ำของกุลจ
ความอยากกระหายของเขายังไม่สิ้นสุดหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะออกไปหาความสุขจากข้างนอก ใช้เงินซื้อผู้หญิงสักคนที่พร้อมจะปรนเปรอความใคร่ให้เขาพอใจทว่าค่ำคืนนี้จิตใจของเขากลับเอาแต่คิดถึงใบหน้าของคนที่อยู่ในห้องข้าง ๆภรรยาที่เขาใช้เงินซื้อมาเช่นกัน…เขาอยากผลักประตูเข้าไปในห้องนั้นให้ผู้หญิงคนนั้นทำหน้าที่ของตัวเองสายตาคมกริบตวัดไปทางประตูห้องที่ปิดอยู่ ชายหนุ่มวางแก้วเหล้าลงที่โต๊ะ ลูบปลายนิ้วกับขอบแก้วเสมือนว่าเขากำลังลูบไล้ผิวของเธออยู่ในขณะที่กุลจิราตกอยู่ในห้วงนิทรา ฝ่ามืออุ่นจัดของใครบางคนสอดเข้าไปใต้ผ่าห่มที่คลุมตัวเธออยู่ นิ้วนั้นค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหาขาเรียวเล็ก สอดเข้าไปใต้เสื้อผ้าที่เธอสวมปลายนิ้วลูบโลมต้นขานวลเนียนแล้วแทรกสอดเข้ามา เคล้าคลึงเกสรอันอ่อนโยนที่ซ่อนซุกอยู่ในกลีบเนื้อละมุนกุลจิราลืมตาขึ้น รู้สึกได้ถึงขนอ่อนบนตัวที่กำลังลุกเกรียว หลังข้อนิ้วของใครคนนั้นสัมผัสกึ่งกลางเรียวขาเธออยู่“คุณภวินท์…!!” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยความตกใจ ภายใต้แสงสลัวรางค่อย ๆ ปรากฎเป็นใบหน้าของเขา“แอร์ที่ห้องก็เย็นดีนี่แต่ทำไมตรงนี้ของคุณถึงร้อนขนาดนี้” น้ำเสียงของเขาแหบพร่า นิ้งเคล้าคลึงที่ส
กุลจิรานอนหลับไปแล้ว ทว่าภายในห้องที่อยู่เชื่อมติดกันมีเพียงประตูบานหนึ่งขวางกั้น ปรากฏร่างของชายหนุ่มนั่งอยู่บนโซฟาปลายเตียงหลังใหญ่สายตาคมกริบจดจ่ออยู่กับแก้วเหล้าสีอำพันในมือ แสงสีส้มจากโคมหัวเตียงสะท้อนประกายของสิ่งที่อยู่ในนั้นคล้ายเปลวไฟคุกรุ่นทว่าความร้อนแรงที่สุดกลับซ่อนลึกอยู่ในแววตาของชายหนุ่มเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่…แม้เป็นเพียงคำถามในความเงียบงัน แต่มันกลับดังก้องราวกับเสียงนั้นดังสะท้อนจากผนังทั้งสี่ด้านการทำให้ชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งพังลงในชั่วข้ามคืนเขาไม่รู้สึกผิดจริง ๆ น่ะหรือมีวิธีการมากมายที่จะให้ครอบครัววงษ์เศวตชดใช้เงินก้อนนั้นแต่เขากลับเลือกวิธีที่โหดร้ายกับเธอเขาเลือกจะล่ามโซ่กุลจิราไว้กับตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าผลที่จะตามมาคืออะไรแต่ก็ต้องยอมรับว่าร่างเปล่าเปลือยของกุลจิราน่าหลงไหลกว่าที่เขาคิดไว้มากเรือนร่างอรชรที่สั่นไหวใต้อาณัติของเขา ความนุ่มหยุ่นที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาตั้งแต่คืนแรกทุกอย่างของผู้หญิงคนนั้น ล้วนเป็นยาพิษที่เขาเต็มใจที่จะกลืนกินลงไป จนบางครั้งก็คิดว่าเงินห้าสิบล้านนั่น ‘น้อยไปเสียด้วยซ้ำ’ถ้าเทียบกับการได้ครอบครองกุลจิราใบหน้าหวา
สิ่งที่กุลจิรารับรู้มาจากป้าลำดวนผ่านทางโทรศัพท์ สมชายต้องไปจัดการธุระเร่งด่วนให้กับภวินท์ป้าลำดวนไม่ได้อยากโกหกเธอแต่จำต้องทำตามคำสั่งของชายหนุ่มเขาคิดว่าเมื่อกุลจิราผิดหวังที่ไม่มีรถให้นั่งกลับบ้านสบาย ๆ เธอจะยอมลดศักดิ์ศรี มาขอกลับด้วยแต่เขาคิดผิด…ทั้งที่มีมีสิทธิ์และสามารถใช้ตำแหน่งภรรยาเมื่ออยู่ที่บริษัทในการนั่งรถคันเดียวกับเขากลับด้วยกันกุลจิรากลับเลือกจะทิ้งโอกาสนั้นภายใต้แววตาคมกริบที่มองมานั้นคล้ายมีความผิดหวังปะปน ก่อนจะหายวับไปราวกับมันไม่เคยมีอยู่กุลจิราช่างเป็นผู้หญิงอวดดีเท่าที่เขาเคยพบเจอมาและความอวดดีนี้ของเธอกำลังท้าทายความอดทนของเขาอยู่กุลจิรามองเห็นเมอร์เซเดสสีดำสนิทแล่นผ่านหน้าตัวเองออกไป แน่นอนว่าเธอจำได้ว่ารถหรูคันนี้เป็นของภวินท์เสี้ยววิวินาทีที่รถแล่นผ่านเธอมองเห็นเสี้ยวใบหน้าของชายหนุ่มเขาไม่แม้จะมองมาที่เธอ เหมือนตั้งใจขับผ่านเธอไปฝนยังคงโปรยปรายลงมาไม่หยุดเนื้อตัวของหญิงสาวเปียกชุ่มแนบไปกับลำตัว รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกแต่กระนั้นก็ยังยิ้มออกมาขณะก้าวขาขึ้นไปบนรถประจำทางกุลจิราพาเนื้อตัวที่เปียกชุ่มเดินเดินไปตามตรอกซอกซอย โชคดีที่บ้านเศรษฐวินิจไม่ไ
หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมา ยกมือขึ้นทาบอกแต่เมื่อมองเห็นเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ความตั้งใจที่ต้องการได้รับคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายก่อนกลับไปทำงานต่อก็จบลงแค่นั้นกุลจิราผลักประตูออกมา สายตาสะดุดเข้ากับร่างสูงใหญ่ของซีอีโอหนุ่ม เขากำลังเดินตรงไปยังลิฟท์ที่สุดโถงทางเดินกุลจิราจำต้องก้าวตามหลังของอสูรร้ายไป เมื่อลิฟท์อีกตัวใช้งานไม่ได้ ยังอยู่ในระหว่างซ่อมแซมเธอกลับไปที่ห้องทำงานช้ามากแล้วแต่เท้าทั้งสองข้างยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน มองแค่ปลายรองเท้าของตัวเองแต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่พบเขาแล้วโล่งอกไปที…เธอยังกลัวว่าจะต้องใช้ลิฟท์ตัวเดียวกันกับเขาเมื่อกุลจิราก้าวเข้ามายืนในลิฟต์สายตากลับมองเห็นป้ายรองเท้าหนังมันปลาบ เธอเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมาที่เธออย่างเฉยชาเหมือนเช่นทุกครั้งร่างสูงใหญ่ล่ำสันยืนห่างออกไปเพียงก้าวเดียว กุลจิราถอยร่นไปด้านหลังหนึ่งก้าวพยายามควบคุมสติเมื่อกี้ตอนที่อยู่ในห้องประชุม เธอคงไม่ได้ทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรอกนะรัศมีกดดันแผ่ซ่านออกมาจากชายหนุ่มทั้งคุกคามและปั่นป่วนหัวใจของเธอ คละเคล้ากับกลิ่นโคโลญอ่อนจาง กลิ่นจากร่างกำยำที่มอมเมาเธอในช่วงเวล
กุลจิราเปิดแฟ้มที่ตระเตรียมมาเผื่อสถานการณ์ฉุกเฉินออกเธอลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสุขุม ปรายตามองไปที่สไลด์“ข้อมูลจากโครงการก่อนหน้านี้ งบประมาณลูกค้าต่างชาติสูงกว่าปีนี้สิบห้าเปอร์เซ็นต์ค่ะ ฝ่ายการตลาดสามารถสรุปช่องทางการทำโฆษณาและงบปนะมาณที่ต้องใช้ได้ทันทีค่ะ”สายตาของซีอีโอหนุ่มที่จ้องมองมามีประกายความพึงพอใจวูบหนึ่งปรากฏขึ้นกุลจิราเพียงก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนนั่งลงที่เก้าอี้พริษฐ์รีบเสริม“ข้อมูลของคุณกุลจิราเมื่อสักครู่มีประโยชน์มากครับ ผมจะเพิ่มส่วนนี้ลงในรายงานรอบสุดท้าย”ภวินท์ตอบน้ำเสียงราบเรียบ“งั้นก็เอาตามนี้”การประชุมดำเนินต่ออีกราว ๆ สิบห้านาทีภวินท์ก็ทำการปิดประชุม“ถ้าไม่มีอะไรเพิ่มเติมวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน” ทุกคนลุกขึ้นทยอยเก็บเอกสาร ทะยอยออกจากห้องประชุมรวมทั้งกุลริราด้วยในช่วงเวลาเร่งรีบไม่ทันมีใครสังเกตเห็นสายตาคมกริบคู่หนึ่งที่เหลือบมองไปที่ร่างบางระหงอย่างมีแผนการกลิ่นกาแฟที่กรุ่นค้างในห้องประชุมยังติดปลายลมหายใจของกุลจิราอยู่ หญิงสาวตั้งใจจะใช้เวลาเพียงไม่นานหากาแฟดื่มเพื่อคลายความง่วงก่อนกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง จึงเข้ามาในห้องพักเบรคของพนักงานก่อน เจ้าของร่างเ







