ログインโถงทางเดินผู้บริหารชั้นสูงสุดเงียบสงัดเสียจนกุลจิราได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง
เจ้าของร่างเล็กหยุดยืนที่หน้าห้องทำงานของภวินท์
เธอยืนอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งเมื่อต้องการเรียกความเชื่อมั่น
นับแต่วันที่ก้าวเท้าเข้ามาเหยียบ PSW Asset Group จวบจนตอนนี้ ยังไม่มีสักครั้งที่เธอจะคาดเดาความคิดของภวินท์ได้
“น้ำจ๊ะ ท่านประธานให้ไปพบที่ห้องทำงานตอนนี้เลย” เสียงของหัวหน้าแผนกที่เธอประจำอยู่ห้านาทีก่อนหน้านี้ยังดังก้องอยู่ในหัว
คุณเมธีจะทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดคำสั่งหรือการมอบหมายงานของภวินท์ผ่านหัวหน้าแผนกนั้น ๆ หรือตัวพนักงานโดยตรง
ดังนั้นสิ่งที่จุฑามาศ หัวหน้าฝ่ายวางแผนและการตลาดของบริษัทในวัยสี่สิบปลาย ๆ เดินมาบอกกุลจิราที่โต๊ะทำงาน ก็คงจะเป็นการติดต่อผ่านทางโทรศัพท์จากคุณเมธีอย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนนั้นหัวใจของกุลจิราเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย หญิงสาวจำใจต้องวางมือจากงานตรงหน้า สูดลมหายใจลึกเข้าเมื่อต้องมาหยุดยืนยังชั้นผู้บริหารแห่งนี้
วันนี้เธอไม่ใช่เพียงพนักงานที่ทำผลงานดีเด่นติดต่อกันสี่ปีอีกต่อไป
บนใบหน้าของเธอสลักคำว่า ‘ภรรยาท่านประธาน’ เอาไว้ด้วยเบิ่อเริ่ม
ไม่ว่ากุลจิราจะกระดิกตัวทำอะไร ย่อมถูกสายตาของเพื่อนร่วมงานจับจ้องมา
โดยอย่างยิ่งเมื่อเธอได้รับคำสั่งให้ไปพบเจ้าของบริษัทในห้องทำงานส่วนตัวแต่เช้าอย่างในตอนนี้
เสียงลมหายใจที่กุลจิราพ่นออกมาราวกับต้องการปลดปล่อยทุกพันธนาการของเขา
อยากย้อนเวลากลับไปเป็นคนที่แอบมองเขาอยู่ห่าง ๆ
ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน
ไม่มีพันธะใด ๆ
แสงแดดที่ลอดผ่านผนังกระจกทาบลงบนปลายเส้นผมสีน้ำตาลบรอนล์ของหญิงสาวเป็นเงาอ่อน ๆ นิ้วเรียวเล็กกำแฟ้มในมือแน่นเข้า
กุลจิราหลับตาลงตั้งสติ ก่อนจะค่อย ๆ ยกมือขึ้นเคาะประตู
เธอค่อย ๆ ผลักบานประตูกระจกที่มองไม่เห็นด้านใน พาตัวเองเข้าไปยทนในนั้น เสียงรองเท้าส้นสูงที่กระทบพื้นดังขึ้นเป็นจังหวะ
กลิ่นโคโลญจ์จาง ๆ บนตัวชายหนุ่มลอยมาแตะที่ปลายจมูก
สายตาเธอสะดุดเข้ากับแผ่นหลังของซีอีโอหนุ่มที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำงาน แสงแดดที่ทอดผ่านผนังกระจกกระทบลงบนไหล่กว้าง
แม้จะเห็นใบหน้าเพียงแค่เสี้ยวหนึ่ง ทว่าแผ่นหลังของเขากลับแผ่อำนาทกระจายไปทั่วทั้งห้องนี้
กุลจิราจะรู้ว่าตัวเองเผลอยืนมองเจ้าของร่างสูงนั้นก็ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวก้าวเข้าไปหยุดยืนที่หน้าโต๊ะทำงานของภวินท์ วางแฟ้มที่หยิบติดมือมาด้วยลงด้วยท่าทางสงบนิ่ง
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
เธอทำงานอยู่ที่นี่เจ็ดปี นอกจากเจอกันในห้องประชุม เดินผ่านกันอาจจะหลายครั้ง แต่แทบจะนับครั้งได้ที่เขาเรียกเธอเข้ามาพบในห้องส่วนตัว
กุลจิรารับรู้ได้ถึงความผิดปกติ
เขาคงไม่ได้เรียกเธอมาเพื่ออบรมเรื่องการแต่งตัวหรอกนะ
แต่ใครจะคาดเดาความคิดของคนชั่วร้ายเช่นเขาได้ล่ะ
บรรยากาศภายในห้องยังคงตกอยู่ในความเงียบกุลจิรารู้สึกหายใจลำบากขึ้นทุกขณะ แม้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขยับตัวเลยด้วยซ้ำ
“เรียกฉันเข้ามาพบไม่ทราบว่ามีอะไรจะสั่งหรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มหันมาเผชิญหน้ากับเธอ
ภวินท์ยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม ทว่ากุลจิรากลับรู้สึกราวกับว่าเขาขยับเข้ามาใกล้ตัวเองเสียอย่างนั้น
เหมือนกับว่าลมหายใจร้อนระอุแบบเดียวกับค่ำคืนที่ผ่านมา กำลังไล้เลียที่ผิวแก้มเธออยู่
“ต้องเป็นเรื่องงานเท่านั้นเหรอ ผมถึงจะเรียกคุณให้มาพบได้” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาไม่ดังมากนัก หากแต่เพียงพอจะเรียกสติของกุลจิราคืนกลับมา
เธอไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะถามเขาได้
“ก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ ฉันแค่ถามไปตามมาระ…” ไม่ทันได้พูดประโยคนั้นจบ ชายหนุ่มก็ก้าวเข้ามาอยู่ตรงหน้าของเธอ
กุลจิราถอยร่นไปด้านหลัง
ภวินท์ไม่ได้ขยับตามมา ทว่าระยะห่างที่เขาตั้งใจเว้นก็เป็นเพียงพื้นที่เล็ก ๆ พอให้เธอได้ใช้หายใจ
เมื่อทุกอณูภายในห้องถูกเขายึดครองเอาไว้ทุกตารางนิ้ว
“เป็นอะไรไป อย่าบอกนะว่าคุณ…กลัวผม” กุลจิราเม้มริมฝีปาก ขณะเตือนสติของตัวเอง
เธอจะไม่แสดงความหวาดหวั่นออกมาให้เขาเห็นอย่างเด็ดขาด
ไม่ยอมให้รู้ว่าการเข้าใกล้ของเขาทำใจเธอหล่นวูบ
เสี้ยววินาทีนั้นเอง ร่างสูงก็ขยับเข้ามาใกล้ เงาของเขากำลังกลืนพื้นที่รอบตัวเธอไปทีละน้อย
ภวินท์โน้มศีรษะลงต่ำ ปลายจมูกเฉียดผ่านผิวแก้มนวลเนียนไปเพียงนิด
ทว่าสัมผัสบางเบานั้นกลับแล่นวาบ รุนแรงจนกุลจิราเผลอกลั้นลมหายใจ
ความใกล้ชิดระหว่างทั้งคู่คล้ายประกายไฟเล็ก ๆ ที่พร้อมจะลุกลามได้ในทุกจังหวะหายใจของเขา
“ไม่ตอบ…” เสียงทุ้มต่ำแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยแรงกดดัน
“…แปลว่าใช่?” กุลจิรากัดฟันเพียงวูบหนึ่งก่อนแหงนเงยใบหน้าขึ้นไปมอง
ดวงตาเรียวรีวาววับด้วยความดื้อรั้น เธอจะไม่ยอมให้เขามองเห็นความหวั่นไหวภายในใจ
“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้กลัว” ถ้อยคำสั้น ๆ ของเธอกลับดังชัดในความเงียบงัน
เพียงพอให้ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มุมปากหยักลึกอย่างผู้ที่เหนือกว่า
คล้ายกับว่ากำลังกวาดสายตามอง ‘ทรัพย์สินราคาแพง’ ที่กล้าทำท่าอวดดีใส่เจ้าของ
“ไม่กลัวก็ดี” น้ำเสียงราบเรียบ แต่ทุ้มลึกจนหญิงสาวรู้สึกถึงความเย็นวาบทั่วทั้งแผ่นหลัง
“เพราะผมก็กังวลว่าคุณจะไม่ได้เตรียมตัว…หลังคืนแต่งงานของเรา”
ประโยคนั้นทำให้หัวใจของกุลจิราแผ่ความร้อนลามมาถึงสองแก้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปโดยไม่คิดจะหลบสายตาคมกริบคู่นั้น
“ตามที่คุณภวินท์ต้องการเลยค่ะ” เธอกดเสียงนุ่ม ไม่คล้ายคนประชดประชัน
แต่ก็ใช่…
เธอกำลังประชดเขานั่นแหละ
“ฉันเตรียมตัว…และเตรียมใจเอาไว้แล้วค่ะ” ริมฝีปากอวบอิ่มคลี่ยิ้มจาง ๆ
แต่คนที่จนตรอก สิ้นหนทางอย่างเธอ
นอกจากยอมจำนนให้กับอำนาทเงิน เธอยังจะมีทางเลือกอื่นด้วยหรือ
ชายหนุ่มฉวยตอนที่กุลจิราไม่ทันระวัง คว้าเอวคอดเล็กเข้ามาแนบชิดกับลำตัวแข็งแรงของตน
กุลจิราหลุดลมหายใจเบา ๆ เมื่อระยะห่างระหว่างทั้งสองถูกบีบให้เหลือเพียงลมหายใจอุ่นร้อนที่ปะทะแก้มเธออยู่
นัยน์ตาคมเข้มของภวินท์มืดดำลง
ลมหายใจของกุลจิราเริ่มสะดุด
“งั้นก็ต้องทำให้ผมเห็น…” เขาก้มลงชิดใบหน้าเนียนขาวจนแทบไม่เหลืออากาศให้เธอหายใจ
“…ว่าคุณเตรียมตัวมาอย่างดี ไม่ใช่แค่ดีแต่ปาก”ปลายนิ้วมือเรียวยาวแตะลงที่ข้อมือของหญิงสาว ไล้ลากขึ้นไปตามท่อนแขนเรียวเล็ก
สัมผัสที่ดูเหมือนแผ่วเบา กลับเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ซ่อนอยู่ลึกจนผิวเธอร้อนวูบวาบ
กุลจิราก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว
ไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เพราะเธอจำเป็นต้องตั้งหลักให้มั่น
ภวินท์มองการตอบสนองนั้นด้วยสายตาเรียบเย็น
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่ริมฝีปากของเขา
“หมายความว่ายังไงคะ ชายหนุ่มโน้มเข้ามาใกล้กว่าเดิม จนแผงอกกว้างของเขาแทบจะฝังเข้ากับส่วนโค้งนุ่มนวลภายใต้ชุดกระโปรงของเธอ
“ไม่เข้าใจจริง ๆ …หรือแกล้งไม่เข้าใจ?” น้ำเสียงเย็นเยียบของซีอีโหนุ่มกรีดลงกลางอกเธอ
กุลจิรากลืนน้ำลายฝืดลงคอ มือทั้งสองเริ่มชื้นเหงื่อ
เธอสูดหายใจลึกเข้า พยายามตั้งสติ
“ตอนนี้เราอยู่ที่บริษัทนะคะ” แม้ไม่พูดออกมาตรง ๆ แต่ความหมายก็ชัดเจน
กุลจิราเริ่มรู้ชะตากรรมของตัวเองแล้ว
“ใช่” ภวินท์ตอบช้า ๆ ริมฝีปากหนาเคลื่อนมาเกือบชิดแก้มเธอ
“เราอยู่ที่บริษัท…ของผม”
“ถ้าขืนคุณยังพูดอะไรอีก คืนนี้ผมจะไม่ให้คุณได้นอน”ชายหนุ่มเคลื่อนมือต่ำลงไป ข้อนิ้วไล้ลงบนเนินอกอิ่ม เรื่อยลงไปยังกึ่งกลางระหว่างทรวงอกกลมกลึงทั้งสองข้าง แก่นกลางกายปวดหนึบอยู่ในเป้ากางเกงกุลจิราสูดลมหายใจเข้าลึก ปลายนิ้วของเขาลากลงมายังแผ่นท้องแบนราบ“อ้าขาออก ผมเลียไม่ถนัด” ชายหนุ่มช่างครางต่ำในลำคอ นวลเนื้อที่เห็นเพียงรำไรเกลี้ยงเกลาหมดจด นิ้วเรียวยาวแยกส่วนนั้นของหญิงสาวออก“อ๊ะ!” ร่างเล็กบางสะดุ้ง แผ่นหลังแอ่นโค้งเมื่อถูกท่อนเนื้อแข็งขืนเคล้าคลึงตวัดวนตรงส่วนนั้นของตัวเองเจ้าสิ่งนั้นค่อย ๆ ล่วงล้ำเข้าไปในปากทางคับแคบ พลันหยาดน้ำหวานซึมซาบออกมาหญิงสาวสั่นสะท้านไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้างตาพร่ามัว ภวินท์ยังใช้ส่วงหัวหยักบานมรีดเค้นน้ำหวานให้ซ่านซึมออกมาความกระหายใคร่ส่งให้ความหวิวหวามแล่นลิ่วไปทุกอณูร่างกายของทั้งคู่“อื้ออ” ในกายของหญิงสาวกระตุกวาบ ความซาบซ่านลุกลามไปทั่วทั้งตัว ข้างในท้องน้อยเสียวซ่าน กึ่งกลางกายสั่นระริก บีบรัดความเป็นชายของเขาแน่นเข้า“อ๊า!” คนที่ถูกตรึงมือทั้งสองเอาไว้ส่งเสียงครวญคราง ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วสัมผัสติ่งเนื้อที่บวมฉ่ำ ดวงตาเยิ้มฉ่ำของกุลจ
ความอยากกระหายของเขายังไม่สิ้นสุดหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะออกไปหาความสุขจากข้างนอก ใช้เงินซื้อผู้หญิงสักคนที่พร้อมจะปรนเปรอความใคร่ให้เขาพอใจทว่าค่ำคืนนี้จิตใจของเขากลับเอาแต่คิดถึงใบหน้าของคนที่อยู่ในห้องข้าง ๆภรรยาที่เขาใช้เงินซื้อมาเช่นกัน…เขาอยากผลักประตูเข้าไปในห้องนั้นให้ผู้หญิงคนนั้นทำหน้าที่ของตัวเองสายตาคมกริบตวัดไปทางประตูห้องที่ปิดอยู่ ชายหนุ่มวางแก้วเหล้าลงที่โต๊ะ ลูบปลายนิ้วกับขอบแก้วเสมือนว่าเขากำลังลูบไล้ผิวของเธออยู่ในขณะที่กุลจิราตกอยู่ในห้วงนิทรา ฝ่ามืออุ่นจัดของใครบางคนสอดเข้าไปใต้ผ่าห่มที่คลุมตัวเธออยู่ นิ้วนั้นค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหาขาเรียวเล็ก สอดเข้าไปใต้เสื้อผ้าที่เธอสวมปลายนิ้วลูบโลมต้นขานวลเนียนแล้วแทรกสอดเข้ามา เคล้าคลึงเกสรอันอ่อนโยนที่ซ่อนซุกอยู่ในกลีบเนื้อละมุนกุลจิราลืมตาขึ้น รู้สึกได้ถึงขนอ่อนบนตัวที่กำลังลุกเกรียว หลังข้อนิ้วของใครคนนั้นสัมผัสกึ่งกลางเรียวขาเธออยู่“คุณภวินท์…!!” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยความตกใจ ภายใต้แสงสลัวรางค่อย ๆ ปรากฎเป็นใบหน้าของเขา“แอร์ที่ห้องก็เย็นดีนี่แต่ทำไมตรงนี้ของคุณถึงร้อนขนาดนี้” น้ำเสียงของเขาแหบพร่า นิ้งเคล้าคลึงที่ส
กุลจิรานอนหลับไปแล้ว ทว่าภายในห้องที่อยู่เชื่อมติดกันมีเพียงประตูบานหนึ่งขวางกั้น ปรากฏร่างของชายหนุ่มนั่งอยู่บนโซฟาปลายเตียงหลังใหญ่สายตาคมกริบจดจ่ออยู่กับแก้วเหล้าสีอำพันในมือ แสงสีส้มจากโคมหัวเตียงสะท้อนประกายของสิ่งที่อยู่ในนั้นคล้ายเปลวไฟคุกรุ่นทว่าความร้อนแรงที่สุดกลับซ่อนลึกอยู่ในแววตาของชายหนุ่มเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่…แม้เป็นเพียงคำถามในความเงียบงัน แต่มันกลับดังก้องราวกับเสียงนั้นดังสะท้อนจากผนังทั้งสี่ด้านการทำให้ชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งพังลงในชั่วข้ามคืนเขาไม่รู้สึกผิดจริง ๆ น่ะหรือมีวิธีการมากมายที่จะให้ครอบครัววงษ์เศวตชดใช้เงินก้อนนั้นแต่เขากลับเลือกวิธีที่โหดร้ายกับเธอเขาเลือกจะล่ามโซ่กุลจิราไว้กับตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าผลที่จะตามมาคืออะไรแต่ก็ต้องยอมรับว่าร่างเปล่าเปลือยของกุลจิราน่าหลงไหลกว่าที่เขาคิดไว้มากเรือนร่างอรชรที่สั่นไหวใต้อาณัติของเขา ความนุ่มหยุ่นที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาตั้งแต่คืนแรกทุกอย่างของผู้หญิงคนนั้น ล้วนเป็นยาพิษที่เขาเต็มใจที่จะกลืนกินลงไป จนบางครั้งก็คิดว่าเงินห้าสิบล้านนั่น ‘น้อยไปเสียด้วยซ้ำ’ถ้าเทียบกับการได้ครอบครองกุลจิราใบหน้าหวา
สิ่งที่กุลจิรารับรู้มาจากป้าลำดวนผ่านทางโทรศัพท์ สมชายต้องไปจัดการธุระเร่งด่วนให้กับภวินท์ป้าลำดวนไม่ได้อยากโกหกเธอแต่จำต้องทำตามคำสั่งของชายหนุ่มเขาคิดว่าเมื่อกุลจิราผิดหวังที่ไม่มีรถให้นั่งกลับบ้านสบาย ๆ เธอจะยอมลดศักดิ์ศรี มาขอกลับด้วยแต่เขาคิดผิด…ทั้งที่มีมีสิทธิ์และสามารถใช้ตำแหน่งภรรยาเมื่ออยู่ที่บริษัทในการนั่งรถคันเดียวกับเขากลับด้วยกันกุลจิรากลับเลือกจะทิ้งโอกาสนั้นภายใต้แววตาคมกริบที่มองมานั้นคล้ายมีความผิดหวังปะปน ก่อนจะหายวับไปราวกับมันไม่เคยมีอยู่กุลจิราช่างเป็นผู้หญิงอวดดีเท่าที่เขาเคยพบเจอมาและความอวดดีนี้ของเธอกำลังท้าทายความอดทนของเขาอยู่กุลจิรามองเห็นเมอร์เซเดสสีดำสนิทแล่นผ่านหน้าตัวเองออกไป แน่นอนว่าเธอจำได้ว่ารถหรูคันนี้เป็นของภวินท์เสี้ยววิวินาทีที่รถแล่นผ่านเธอมองเห็นเสี้ยวใบหน้าของชายหนุ่มเขาไม่แม้จะมองมาที่เธอ เหมือนตั้งใจขับผ่านเธอไปฝนยังคงโปรยปรายลงมาไม่หยุดเนื้อตัวของหญิงสาวเปียกชุ่มแนบไปกับลำตัว รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกแต่กระนั้นก็ยังยิ้มออกมาขณะก้าวขาขึ้นไปบนรถประจำทางกุลจิราพาเนื้อตัวที่เปียกชุ่มเดินเดินไปตามตรอกซอกซอย โชคดีที่บ้านเศรษฐวินิจไม่ไ
หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมา ยกมือขึ้นทาบอกแต่เมื่อมองเห็นเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ความตั้งใจที่ต้องการได้รับคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายก่อนกลับไปทำงานต่อก็จบลงแค่นั้นกุลจิราผลักประตูออกมา สายตาสะดุดเข้ากับร่างสูงใหญ่ของซีอีโอหนุ่ม เขากำลังเดินตรงไปยังลิฟท์ที่สุดโถงทางเดินกุลจิราจำต้องก้าวตามหลังของอสูรร้ายไป เมื่อลิฟท์อีกตัวใช้งานไม่ได้ ยังอยู่ในระหว่างซ่อมแซมเธอกลับไปที่ห้องทำงานช้ามากแล้วแต่เท้าทั้งสองข้างยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน มองแค่ปลายรองเท้าของตัวเองแต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่พบเขาแล้วโล่งอกไปที…เธอยังกลัวว่าจะต้องใช้ลิฟท์ตัวเดียวกันกับเขาเมื่อกุลจิราก้าวเข้ามายืนในลิฟต์สายตากลับมองเห็นป้ายรองเท้าหนังมันปลาบ เธอเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมาที่เธออย่างเฉยชาเหมือนเช่นทุกครั้งร่างสูงใหญ่ล่ำสันยืนห่างออกไปเพียงก้าวเดียว กุลจิราถอยร่นไปด้านหลังหนึ่งก้าวพยายามควบคุมสติเมื่อกี้ตอนที่อยู่ในห้องประชุม เธอคงไม่ได้ทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรอกนะรัศมีกดดันแผ่ซ่านออกมาจากชายหนุ่มทั้งคุกคามและปั่นป่วนหัวใจของเธอ คละเคล้ากับกลิ่นโคโลญอ่อนจาง กลิ่นจากร่างกำยำที่มอมเมาเธอในช่วงเวล
กุลจิราเปิดแฟ้มที่ตระเตรียมมาเผื่อสถานการณ์ฉุกเฉินออกเธอลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสุขุม ปรายตามองไปที่สไลด์“ข้อมูลจากโครงการก่อนหน้านี้ งบประมาณลูกค้าต่างชาติสูงกว่าปีนี้สิบห้าเปอร์เซ็นต์ค่ะ ฝ่ายการตลาดสามารถสรุปช่องทางการทำโฆษณาและงบปนะมาณที่ต้องใช้ได้ทันทีค่ะ”สายตาของซีอีโอหนุ่มที่จ้องมองมามีประกายความพึงพอใจวูบหนึ่งปรากฏขึ้นกุลจิราเพียงก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนนั่งลงที่เก้าอี้พริษฐ์รีบเสริม“ข้อมูลของคุณกุลจิราเมื่อสักครู่มีประโยชน์มากครับ ผมจะเพิ่มส่วนนี้ลงในรายงานรอบสุดท้าย”ภวินท์ตอบน้ำเสียงราบเรียบ“งั้นก็เอาตามนี้”การประชุมดำเนินต่ออีกราว ๆ สิบห้านาทีภวินท์ก็ทำการปิดประชุม“ถ้าไม่มีอะไรเพิ่มเติมวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน” ทุกคนลุกขึ้นทยอยเก็บเอกสาร ทะยอยออกจากห้องประชุมรวมทั้งกุลริราด้วยในช่วงเวลาเร่งรีบไม่ทันมีใครสังเกตเห็นสายตาคมกริบคู่หนึ่งที่เหลือบมองไปที่ร่างบางระหงอย่างมีแผนการกลิ่นกาแฟที่กรุ่นค้างในห้องประชุมยังติดปลายลมหายใจของกุลจิราอยู่ หญิงสาวตั้งใจจะใช้เวลาเพียงไม่นานหากาแฟดื่มเพื่อคลายความง่วงก่อนกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง จึงเข้ามาในห้องพักเบรคของพนักงานก่อน เจ้าของร่างเ







