LOGIN“เรื่องที่จะให้หนูน้ำย้ายมาเป็นเลขาให้ลุงจัดการให้เลยไหม จะได้แจ้งให้ฝ่ายบุคคลดำเนินการ” หากเป็นบริษัทอื่นหรือแม้แต่ PSW Asset Group แห่งนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่พนักงานฝ่ายวางแผนและการตลาดจะข้ามขั้นมาทำตำแหน่งเลขาหน้าห้อง
ยกเว้นกรณีที่พนักงานคนนั้นจะถูกใจเจ้าของบริษัทถึงขั้นได้ตบแต่งเป็นภรรยา “ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ เอาไว้ผมค่อยบอกคุณลุงอีกทีนะครับ” ประตูลิฟต์ปิดลงช้า ๆ ทิ้งความเงียบงันระหว่างภวินท์กับคุณเมธีไว้เพียงครู่ ก่อนเสียงถอนหายใจหนัก ๆ ของเลขาคนสนิทจะดังขึ้นบ่งบอกถึงความหนักใจบางอย่าง “ถ้าหนูน้ำย้ายมาทำตำแหน่งเลขา จะไม่ทำให้หนูน้ำยิ่งถูกคนอื่นมองไม่ดีเหรอ” “นั่นมันเป็นปัญหาของเขาไม่ใช่ปัญหาของผม” เป็นคำตอบสั้น ๆ แต่ฟังดูใจร้ายพอสมควรจนคุณเมธีต้องหลุบตาลงเล็กน้อย ภวินท์ไม่ใช่คนใจร้ายโดยกำเนิด แต่ชีวิตที่ผ่านมาทำให้เขากลายเป็นคนจิตใจหยาบกระด้างแบบนี้ ในวันที่โชคชะตาพลิกผัน วันที่คุณพิศาลและคุณกนกวรรณ ภรรยา เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างเดินทางกลับจากเจรจาธุรกิจ บ้านเศรษฐวินิจที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ กลายเป็นสถานที่ที่มีเพียงความเงียบงัน เมื่อสมาชิกในบ้านเหลือเพียงเขาคนเดียว หลังจากงานศพผ่านพ้นไป… เด็กหนุ่มวัยย่างยี่สิบต้องกลายมาเป็นผู้สืบทอดธุรกิจของครอบครัว ทั้งที่ยังเป็นเพียงนักศึกษาปีหนึ่ง ยังไม่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่น เขาต้องมานั่งเซ็นเอกสารที่ไม่เข้าใจ ต้องประชุมกับผู้บริหารที่มองเขาเป็นเพียง “เด็ก” ภวินท์ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากทุกฝ่าย ทั้งจากคู่ค้า หุ้นส่วน และคนในองค์กรที่ไม่มั่นใจว่าเด็กอายุไม่ถึงยี่สิบอย่างเขาจะประคองธุรกิจและนำพาบริษัทไปได้ไกลสักแค่ไหน ในวันที่หัวใจเขาอ่อนแรงที่สุด คนที่คอยยืนอยู่ข้างหลัง คอยสอนทุกอย่างให้กับเขา คือคุณเมธี เพื่อนสนิทของคุณพิศาล และเป็นเพียงคนเดียวที่ภวินท์ให้การยอมรับ เขาไม่มีโอกาสได้เลือกเส้นทางของตัวเอง ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไป และไม่เคยมีสิทธิ์อ่อนแอแม้เพียงครั้งเดียว ดังนั้น…ความเย็นชา หยาบกระด้างที่ทุกคนเห็น เปรียบเป็นเกราะแข็งแกร่งที่ทำให้เขาขึ้นมายืนอยู่จุดนี้ได้ จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเขาได้ผ่านความผิดหวัง สูญเสีย และความโดดเดี่ยวมามากมายเพียงใด ประตูบานเหล็กเปิดออกที่ชั้นสูงระฟ้าของตึก เผยให้เห็นโถงสำนักงานส่วนตัวที่เงียบสงบแต่แฝงไปด้วยอำนาจของผู้ครอบครอง เสียงรองเท้าหนังราคาแพงกระทบพื้นหินอ่อนไปตามโถงทางเดิน คุณเมธีเดินตามหลังชายหนุ่มอย่างรู้จังหวะ ประตูของห้องผู้บริหารถูกผลักออก ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกเต็มบาน เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งทุกชิ้นผ่านการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน จากตรงนี้สามารถมองเห็นวิวศิวิไลของเมืองกรุงทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แสงแดดยามสายส่องผ่านเข้ามากระทบขอบโต๊ะทำงานสีเข้มที่สั่งทำพิเศษ ชั้นหนังสือด้านหลังเรียงรายไปด้วยแฟ้มโครงการ อาคารจำลอง และแบบแปลนอสังหาริมทรัพย์ที่ชายหนุ่มเป็นคนลงนามอนุมัติมาแทบทั้งหมด PSW Asset Group วางรากฐานไว้โดยคุณพิศาล บิดาของเขา ทุกอย่างที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า คือภาระที่เขารับมาในฐานะทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเศรษฐวินิจ คุณเมธีเดินตามเข้า วางเอกสารลงบนโต๊ะข้างโซฟาที่ชายหนุ่มเพิ่งจะทิ้งตัวลงไป ราวกับต้องการปลดภาระบางส่วนออกจากบ่า เสียงถอนหายใจจของชายวัยกลางคนดังขึ้นเบา ๆ แต่ก็เพียงพอให้ดึงสายตาของภวินท์ขึ้นมามอง “มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ” “เปล่าหรอก ลุงแค่คิดว่าถ้าตอนนี้พ่อของหนูน้ำยังอยู่…หนูน้ำคงไม่ต้องลำบากแบบนี้” ความกังวลที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้น ภวินท์พอเข้าใจได้ กุลจิราไม่ใช่แค่ลูกสาวของคนรู้จัก แต่ยังเป็นคนที่คุณเมธีเห็นเธอเติบโตอยู่ในบริษัทมาตลอดหลลายปีนี้ จะมีความห่วงใยให้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่คำว่า ‘ลำบาก’ ที่หลุดออกมาทำให้คิ้วของเขากระตุกเล็กน้อย ความลำบากของกุลจิราที่ทำให้คนที่งานล้นมืออย่างคุณเมธีต้องมานั่งกลุ้มใจ คือการแต่งงานเป็นภรรยาเขาอย่างนั้นหรือ “ลุงไม่ได้ว่าอะไรเรานะ ลุงแค่อดเป็นห่วงหนูน้ำไม่ได้ ในฐานะที่ก็ถือลุงก็ว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ของหนูน้ำคนหนึ่ง” “ผมเข้าใจครับ ผู้หญิงคนนั้นเก่งเรื่องทำให้คนอื่นสงสารแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” เสียงถอนหายใจของชายวัยกลางคนแว่วดังขึ้นอีกครั้ง กับผู้หญิงคนอื่น ไม่เห็นภวินท์จะพูดจาค่อนขอดแบบนี้เลย “เอาเถอะ ไหนๆก็มาถึงวันนี้แล้ว ลุงหวังแค่ว่าเราจะปฏิบัติกับหนูน้ำอย่างดี อย่างที่เราเคยรับปากคุณเกียรติเขาเอาไว้” ถ้อยคำนั้นทำให้ชายหนุ่มชะงัก ราวกับถูกแตะต้องจุดที่เขาไม่ค่อยเปิดให้ใครเห็น ก้องเกียรติ ไม่ใช่แค่พ่อของผู้หญิงที่เขาเอาเรื่องแต่งงานเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเรื่องเงินทอง หากแต่เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่บิดาของเขาชื่นชม “คุณเกียรติสร้างโรงงานมาด้วยน้ำพักน้ำแรง เขาทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์จนคนในวงการพากันให้ความเคารพนับถือ เป็นคนที่รักลูกน้อง ไม่เคยคิดเอาเปรียบใคร…เหมือนกับพ่อของเราไม่มีผิดเลย” ภวินท์ไม่ได้ออกความเห็น แววตาที่ทอดมองออกไปนอกกระจกสูงนั้นสะท้อนความคิดบางอย่างโดยไม่คิดจะปิดบัง ตอนนั้นคุณพิศาลเห็นแววในตัวคุณก้องเกียรติ จึงให้คุณเมธีเข้าไปติดต่อทำธุรกิจด้วย จากคู่ค้า กลายเป็นเพื่อน ร่วมงานกันหลายโปรเจกต์ “วันที่พ่อกับแม่ของเราประสบอุบัติเหตุ…” น้ำเสียงของคุณเมธีแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด “จากวันนั้นผ่านมาไม่กี่ปี ใครจะนึกว่าคนที่ยังดูแข็งแรงดีอยู่อย่างคุณเกียรติจะมาจากไปเร็วแบบนี้” เมื่อปลายปีที่แล้ว โรงงานผลิตยานยนต์ของก้องเกียรติถูกหุ้นส่วนโกงจนประสบปัญหาการเงิน ต้องไปกูหนี้ยืมสิน หนี้สินโรงงานพอกพูนจนแตะหลักหลายล้าน จนไม่สามารถประคับประคองธุรกิจเอาไว้ได้ สุดท้ายก็ถูกธนาคารฟ้องล้มละลาย ก้องเกียรติรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ ล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล อาการทรุดลงเรื่อง ๆ จนแพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้และจากไปในที่สุด ความเงียบเข้าปกคลุมทุกพื้นที่ภายในห้อง เมื่อต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง “ไม่ว่าเหตุผลที่ทำให้เราดึงหนูน้ำเข้ามาในชีวิตคืออะไร ลุงก็ขอแค่เรารักษาคำพูดที่ให้ไว้กับคุณเกียรติเขาก็พอ” ภวินท์ยังคงเงียบ ไม่ว่าคนอื่นจะมองหรือเข้าใจเช่นไร เขาไม่แคร์เลยด้วยซ้ำ หนึ่งในเหตุผลที่เขาตัดสินใจใช้หนี้สินให้ครอบครัวของกุลจิรา เป็นเพราะมิตรภาพระหว่างคุณพิศาล บิดาของเขากับก้องเกียรติ ที่เป็นทั้งผู้ใหญ่และนักธุรกิจที่เขาให้ความนับถือ หากยังมีเหตุผลอื่นอยู่จริง ๆ เขาก็มองไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องมานั่งอธิบายให้ใครฟัง รู้เพียงว่าตอนนี้กุลจิราเป็นผู้หญิงของเขา เป็นสิ่งของที่เขาใช้เงินซื้อมาก็พอแล้ว“ถ้าขืนคุณยังพูดอะไรอีก คืนนี้ผมจะไม่ให้คุณได้นอน”ชายหนุ่มเคลื่อนมือต่ำลงไป ข้อนิ้วไล้ลงบนเนินอกอิ่ม เรื่อยลงไปยังกึ่งกลางระหว่างทรวงอกกลมกลึงทั้งสองข้าง แก่นกลางกายปวดหนึบอยู่ในเป้ากางเกงกุลจิราสูดลมหายใจเข้าลึก ปลายนิ้วของเขาลากลงมายังแผ่นท้องแบนราบ“อ้าขาออก ผมเลียไม่ถนัด” ชายหนุ่มช่างครางต่ำในลำคอ นวลเนื้อที่เห็นเพียงรำไรเกลี้ยงเกลาหมดจด นิ้วเรียวยาวแยกส่วนนั้นของหญิงสาวออก“อ๊ะ!” ร่างเล็กบางสะดุ้ง แผ่นหลังแอ่นโค้งเมื่อถูกท่อนเนื้อแข็งขืนเคล้าคลึงตวัดวนตรงส่วนนั้นของตัวเองเจ้าสิ่งนั้นค่อย ๆ ล่วงล้ำเข้าไปในปากทางคับแคบ พลันหยาดน้ำหวานซึมซาบออกมาหญิงสาวสั่นสะท้านไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้างตาพร่ามัว ภวินท์ยังใช้ส่วงหัวหยักบานมรีดเค้นน้ำหวานให้ซ่านซึมออกมาความกระหายใคร่ส่งให้ความหวิวหวามแล่นลิ่วไปทุกอณูร่างกายของทั้งคู่“อื้ออ” ในกายของหญิงสาวกระตุกวาบ ความซาบซ่านลุกลามไปทั่วทั้งตัว ข้างในท้องน้อยเสียวซ่าน กึ่งกลางกายสั่นระริก บีบรัดความเป็นชายของเขาแน่นเข้า“อ๊า!” คนที่ถูกตรึงมือทั้งสองเอาไว้ส่งเสียงครวญคราง ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วสัมผัสติ่งเนื้อที่บวมฉ่ำ ดวงตาเยิ้มฉ่ำของกุลจ
ความอยากกระหายของเขายังไม่สิ้นสุดหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะออกไปหาความสุขจากข้างนอก ใช้เงินซื้อผู้หญิงสักคนที่พร้อมจะปรนเปรอความใคร่ให้เขาพอใจทว่าค่ำคืนนี้จิตใจของเขากลับเอาแต่คิดถึงใบหน้าของคนที่อยู่ในห้องข้าง ๆภรรยาที่เขาใช้เงินซื้อมาเช่นกัน…เขาอยากผลักประตูเข้าไปในห้องนั้นให้ผู้หญิงคนนั้นทำหน้าที่ของตัวเองสายตาคมกริบตวัดไปทางประตูห้องที่ปิดอยู่ ชายหนุ่มวางแก้วเหล้าลงที่โต๊ะ ลูบปลายนิ้วกับขอบแก้วเสมือนว่าเขากำลังลูบไล้ผิวของเธออยู่ในขณะที่กุลจิราตกอยู่ในห้วงนิทรา ฝ่ามืออุ่นจัดของใครบางคนสอดเข้าไปใต้ผ่าห่มที่คลุมตัวเธออยู่ นิ้วนั้นค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหาขาเรียวเล็ก สอดเข้าไปใต้เสื้อผ้าที่เธอสวมปลายนิ้วลูบโลมต้นขานวลเนียนแล้วแทรกสอดเข้ามา เคล้าคลึงเกสรอันอ่อนโยนที่ซ่อนซุกอยู่ในกลีบเนื้อละมุนกุลจิราลืมตาขึ้น รู้สึกได้ถึงขนอ่อนบนตัวที่กำลังลุกเกรียว หลังข้อนิ้วของใครคนนั้นสัมผัสกึ่งกลางเรียวขาเธออยู่“คุณภวินท์…!!” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยความตกใจ ภายใต้แสงสลัวรางค่อย ๆ ปรากฎเป็นใบหน้าของเขา“แอร์ที่ห้องก็เย็นดีนี่แต่ทำไมตรงนี้ของคุณถึงร้อนขนาดนี้” น้ำเสียงของเขาแหบพร่า นิ้งเคล้าคลึงที่ส
กุลจิรานอนหลับไปแล้ว ทว่าภายในห้องที่อยู่เชื่อมติดกันมีเพียงประตูบานหนึ่งขวางกั้น ปรากฏร่างของชายหนุ่มนั่งอยู่บนโซฟาปลายเตียงหลังใหญ่สายตาคมกริบจดจ่ออยู่กับแก้วเหล้าสีอำพันในมือ แสงสีส้มจากโคมหัวเตียงสะท้อนประกายของสิ่งที่อยู่ในนั้นคล้ายเปลวไฟคุกรุ่นทว่าความร้อนแรงที่สุดกลับซ่อนลึกอยู่ในแววตาของชายหนุ่มเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่…แม้เป็นเพียงคำถามในความเงียบงัน แต่มันกลับดังก้องราวกับเสียงนั้นดังสะท้อนจากผนังทั้งสี่ด้านการทำให้ชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งพังลงในชั่วข้ามคืนเขาไม่รู้สึกผิดจริง ๆ น่ะหรือมีวิธีการมากมายที่จะให้ครอบครัววงษ์เศวตชดใช้เงินก้อนนั้นแต่เขากลับเลือกวิธีที่โหดร้ายกับเธอเขาเลือกจะล่ามโซ่กุลจิราไว้กับตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าผลที่จะตามมาคืออะไรแต่ก็ต้องยอมรับว่าร่างเปล่าเปลือยของกุลจิราน่าหลงไหลกว่าที่เขาคิดไว้มากเรือนร่างอรชรที่สั่นไหวใต้อาณัติของเขา ความนุ่มหยุ่นที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาตั้งแต่คืนแรกทุกอย่างของผู้หญิงคนนั้น ล้วนเป็นยาพิษที่เขาเต็มใจที่จะกลืนกินลงไป จนบางครั้งก็คิดว่าเงินห้าสิบล้านนั่น ‘น้อยไปเสียด้วยซ้ำ’ถ้าเทียบกับการได้ครอบครองกุลจิราใบหน้าหวา
สิ่งที่กุลจิรารับรู้มาจากป้าลำดวนผ่านทางโทรศัพท์ สมชายต้องไปจัดการธุระเร่งด่วนให้กับภวินท์ป้าลำดวนไม่ได้อยากโกหกเธอแต่จำต้องทำตามคำสั่งของชายหนุ่มเขาคิดว่าเมื่อกุลจิราผิดหวังที่ไม่มีรถให้นั่งกลับบ้านสบาย ๆ เธอจะยอมลดศักดิ์ศรี มาขอกลับด้วยแต่เขาคิดผิด…ทั้งที่มีมีสิทธิ์และสามารถใช้ตำแหน่งภรรยาเมื่ออยู่ที่บริษัทในการนั่งรถคันเดียวกับเขากลับด้วยกันกุลจิรากลับเลือกจะทิ้งโอกาสนั้นภายใต้แววตาคมกริบที่มองมานั้นคล้ายมีความผิดหวังปะปน ก่อนจะหายวับไปราวกับมันไม่เคยมีอยู่กุลจิราช่างเป็นผู้หญิงอวดดีเท่าที่เขาเคยพบเจอมาและความอวดดีนี้ของเธอกำลังท้าทายความอดทนของเขาอยู่กุลจิรามองเห็นเมอร์เซเดสสีดำสนิทแล่นผ่านหน้าตัวเองออกไป แน่นอนว่าเธอจำได้ว่ารถหรูคันนี้เป็นของภวินท์เสี้ยววิวินาทีที่รถแล่นผ่านเธอมองเห็นเสี้ยวใบหน้าของชายหนุ่มเขาไม่แม้จะมองมาที่เธอ เหมือนตั้งใจขับผ่านเธอไปฝนยังคงโปรยปรายลงมาไม่หยุดเนื้อตัวของหญิงสาวเปียกชุ่มแนบไปกับลำตัว รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกแต่กระนั้นก็ยังยิ้มออกมาขณะก้าวขาขึ้นไปบนรถประจำทางกุลจิราพาเนื้อตัวที่เปียกชุ่มเดินเดินไปตามตรอกซอกซอย โชคดีที่บ้านเศรษฐวินิจไม่ไ
หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมา ยกมือขึ้นทาบอกแต่เมื่อมองเห็นเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ความตั้งใจที่ต้องการได้รับคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายก่อนกลับไปทำงานต่อก็จบลงแค่นั้นกุลจิราผลักประตูออกมา สายตาสะดุดเข้ากับร่างสูงใหญ่ของซีอีโอหนุ่ม เขากำลังเดินตรงไปยังลิฟท์ที่สุดโถงทางเดินกุลจิราจำต้องก้าวตามหลังของอสูรร้ายไป เมื่อลิฟท์อีกตัวใช้งานไม่ได้ ยังอยู่ในระหว่างซ่อมแซมเธอกลับไปที่ห้องทำงานช้ามากแล้วแต่เท้าทั้งสองข้างยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน มองแค่ปลายรองเท้าของตัวเองแต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่พบเขาแล้วโล่งอกไปที…เธอยังกลัวว่าจะต้องใช้ลิฟท์ตัวเดียวกันกับเขาเมื่อกุลจิราก้าวเข้ามายืนในลิฟต์สายตากลับมองเห็นป้ายรองเท้าหนังมันปลาบ เธอเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมาที่เธออย่างเฉยชาเหมือนเช่นทุกครั้งร่างสูงใหญ่ล่ำสันยืนห่างออกไปเพียงก้าวเดียว กุลจิราถอยร่นไปด้านหลังหนึ่งก้าวพยายามควบคุมสติเมื่อกี้ตอนที่อยู่ในห้องประชุม เธอคงไม่ได้ทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรอกนะรัศมีกดดันแผ่ซ่านออกมาจากชายหนุ่มทั้งคุกคามและปั่นป่วนหัวใจของเธอ คละเคล้ากับกลิ่นโคโลญอ่อนจาง กลิ่นจากร่างกำยำที่มอมเมาเธอในช่วงเวล
กุลจิราเปิดแฟ้มที่ตระเตรียมมาเผื่อสถานการณ์ฉุกเฉินออกเธอลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสุขุม ปรายตามองไปที่สไลด์“ข้อมูลจากโครงการก่อนหน้านี้ งบประมาณลูกค้าต่างชาติสูงกว่าปีนี้สิบห้าเปอร์เซ็นต์ค่ะ ฝ่ายการตลาดสามารถสรุปช่องทางการทำโฆษณาและงบปนะมาณที่ต้องใช้ได้ทันทีค่ะ”สายตาของซีอีโอหนุ่มที่จ้องมองมามีประกายความพึงพอใจวูบหนึ่งปรากฏขึ้นกุลจิราเพียงก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนนั่งลงที่เก้าอี้พริษฐ์รีบเสริม“ข้อมูลของคุณกุลจิราเมื่อสักครู่มีประโยชน์มากครับ ผมจะเพิ่มส่วนนี้ลงในรายงานรอบสุดท้าย”ภวินท์ตอบน้ำเสียงราบเรียบ“งั้นก็เอาตามนี้”การประชุมดำเนินต่ออีกราว ๆ สิบห้านาทีภวินท์ก็ทำการปิดประชุม“ถ้าไม่มีอะไรเพิ่มเติมวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน” ทุกคนลุกขึ้นทยอยเก็บเอกสาร ทะยอยออกจากห้องประชุมรวมทั้งกุลริราด้วยในช่วงเวลาเร่งรีบไม่ทันมีใครสังเกตเห็นสายตาคมกริบคู่หนึ่งที่เหลือบมองไปที่ร่างบางระหงอย่างมีแผนการกลิ่นกาแฟที่กรุ่นค้างในห้องประชุมยังติดปลายลมหายใจของกุลจิราอยู่ หญิงสาวตั้งใจจะใช้เวลาเพียงไม่นานหากาแฟดื่มเพื่อคลายความง่วงก่อนกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง จึงเข้ามาในห้องพักเบรคของพนักงานก่อน เจ้าของร่างเ







