“อกหักได้ไง แกมีแฟนเหรอ” เป็นเสียงเอยที่เอ่ยถามอย่างสงสัย ฉันกับสารินพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเอย
“ไม่ใช่แฟน ฉันแอบชอบเขาไง”
“ใครที่แกแอบชอบ” เอยถามอย่างสงสัย ทั้งยังยื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิมอีกนิดเพราะกลัวโต๊ะข้าง ๆ จะได้ยิน
“พี่ยู ปู่รหัสกูไง” คำพูดของพรีนทำหัวใจฉันตกไปอยู่ตาตุ่ม เพิ่งได้รู้ว่าเพื่อนแอบชอบเขา พรีนเป็นคนสวย และแน่นอนว่าสวยกว่าฉันเยอะ ฐานะทางบ้านก็ดีไม่น้อย
“ทำไม แกไปบอกชอบเขางี้เหรอ” สารินถามอย่างสงสัย ฉันเองก็สงสัยไม่น้อยไปกว่าเพื่อนเช่นกัน แต่ที่ไม่ถามเพราะกลัวว่าเพื่อนจะจับสังเกตได้
“เปล่า ฉันได้ยินกลุ่มเพื่อนเขาเมาท์ว่าพี่ยูมีคนที่ชอบแล้ว” คำพูดของพรีนทำให้ฉันแอบยิ้ม เขาไม่เปิดตัวกับฉัน แต่อย่างน้อยก็ปิดโอกาสคนอื่นที่จะเข้าหา
ฉันคงไม่ได้เข้าข้างตนเองจนเกินไปใช่ไหม ถ้าจะคิดว่าคนที่เขาชอบคือฉัน
แต่แล้วความคิดของฉันก็ถูกสั่นคลอน
“นี่พวกแก รู้แล้วเงียบไว้เลยนะ” จู่ ๆ พรีนก็ลดเสียงเบาลง พวกเราจึงต้องขยับศีรษะเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม
“เขาว่าพี่ยูแอบชอบพี่รินณี[1]มาตั้งแต่มัธยมแล้ว”
‘รินณี’ รุ่นพี่ปีสี่เอกโยธาเช่นกัน เพื่อนของพี่ใบเฟิร์นย่ารหัสของฉันเอง ความเจ็บจนหายใจไม่ออกเป็นอย่างนี้เองสินะ
มีคนชอบเขาก็ว่าเจ็บแล้ว แต่เจ็บยิ่งกว่าเมื่อได้รู้ว่าเขามีคนที่ชอบ
คอนโดหรูใกล้มหาวิทยาลัย
ห้องหมายเลขสองสามศูนย์หนึ่ง ฉันยืนอยู่หน้าห้องสักพักก่อนจะกดรหัสเข้าไป บอกเขาไว้แล้วว่าจะมาหา เขาบอกว่าจะกลับช้า
ฉันมองรอบห้อง ตรงไปยังตะกร้าผ้าที่เขาใส่แล้ว แยกผ้าอย่างที่เคยทำ เสื้อผ้าถูกจัดการใส่เครื่องซักผ้าอย่างเรียบร้อย จากนั้นฉันก็นำผ้ามาเช็ดชั้นวางของต่าง ๆ อย่างที่เคยทำ
กว่าจะทั่วห้องก็ใช้เวลาไม่น้อย เพราะเคยทำเป็นประจำตั้งแต่เด็กเลยทำได้อย่างคล่องแคล่ว เช็ดชั้นต่าง ๆ จนครบทั้งสองห้อง ห้องหนึ่งเป็นห้องอ่านหนังสือและทำงาน ส่วนอีกห้องเป็นห้องนอน
เสียงเครื่องซักผ้าบอกว่าทำงานเสร็จเรียบร้อย ฉันนำเสื้อผ้าใส่เครื่องอบผ้าต่อและใส่เสื้อผ้าที่แยกไว้อีกกองลงเครื่องซักผ้า จากนั้นก็จัดการดูดฝุ่น
ฉันมองนาฬิกาบนข้อมือที่บอกเวลาสองทุ่มกว่า นำผ้าออกจากเครื่องอบ จัดการรีดผ้าให้เรียบร้อยและนำไปจัดเก็บยังห้องแต่งตัว
ไม่ลืมแวะส่องกระจก เสื้อยืดสีขาวของฉันชุ่มไปด้วยเหงื่อที่มาถึงก็ทำงานไม่ได้หยุด อีกนิดเดียวจะเสร็จแล้ว
เมื่อนำผ้าที่ซักเสร็จแล้วเข้าเตาอบ ฉันจึงตรงไปยังห้องน้ำ เดี๋ยวต้องทำห้องน้ำให้เสร็จก่อนแล้วค่อยอาบน้ำ ฉันใช้เวลาในการทำความสะอาดห้องน้ำค่อนข้างนาน เพราะต้องขัดอ่างอาบน้ำให้เงาอย่างที่เขาชอบ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ไม่ลืมที่จะอาบน้ำให้ตัวเองสะอาดไร้กลิ่นเหงื่อ ฉันสวมเสื้อคลุมออกมาจากห้องน้ำ มองตัวเองในกระจกอย่างพอใจ
จากนั้นฉันก็ก้มมุดเข้าในมุมตู้เสื้อผ้า ซึ่งจะมีเสื้อผ้าของตัวเองซ่อนอยู่ เป็นเพียงชุดนอนกางเกงเสื้อแขนยาวกางเกงขายาว ลายธรรมดาและขนาดใหญ่กว่าตัวฉันมาก
ดูไม่ออกเลยว่าเป็นชุดนอนผู้หญิง แต่ก็นั่นแหละ เพื่อความปลอดภัย ในห้องเขาต้องไม่มีร่องรอยของฉัน
ความรู้สึกตัวเล็กเป็นอย่างนี้เองสินะ ทุกวันนี้แม้แต่กับแม่ของตัวเอง ฉันยังไม่กล้าสู้หน้าท่านอย่างภาคภูมิ คุณผู้หญิง คุณผู้ชาย หรือแม้แต่คุณย่าของเขา ฉันเองก็ไม่กล้าแม้แต่สบตา
คนมีความผิดมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ถึงไม่มีใครรู้ แต่เราก็รู้อยู่เต็มอก เฝ้าบอกตัวเองหลายต่อหลายครั้งว่า ระหว่างฉันกับคุณยูเป็นเรื่องของหัวใจ ไม่มีใครทำอะไรผิดทั้งนั้น
ทั้ง ๆ ที่เฝ้าบอกตัวเอง แต่ในใจส่วนลึกก็รู้สึกว่าตัวเองผิดอยู่ดี ผิดที่ไม่หักห้ามใจ ผิดที่หวังไปไกลเกินว่าความเป็นจริง ผิดที่อยากครอบครอง...
ทั้งที่รู้ดีว่าไม่อาจครอบครองเขาได้ แต่ก็ยังหวังว่าเขาจะรัก หวังว่าเขาจะชอบ
ฉันควรรู้สึกผิดมากที่สุดกับตัวเอง เพราะสิ่งที่ฉันทำคือการไม่รักตัวเอง แต่ฉันพยายามแล้ว พยายามที่จะไม่ชอบ จะไม่มีความสัมพันธ์แบบนี้กับเขา
แต่ทุกครั้งที่ฉันพยายามตัดใจ กลับกลายเป็นว่าฉันเฝ้าแต่คิดถึงเขา และรู้ตัวเองว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา
“มะลิ!”
“คะ!” ฉันตกใจกับเสียงเรียกของเจ้าของห้อง คงเพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นจนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูของเขา
“ฉันเรียกตั้งนาน ไม่ได้ยินเหรอ”
“อ๋อค่ะ มะลิกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ” ฉันบอกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาและนั่งข้าง ๆ ฉัน
“คิดอะไรบอกได้ไหม” เขาถามกระเซ้าไปอย่างงั้นมากกว่าที่จะอยากได้ยินคำตอบ
“คิดว่าเมื่อไหร่คุณยูจะกลับมา” จะคิดถึงใครได้นอกจากเขา
[1] รินณี นางเอกจากเรื่อง เมียบังเอิญ
เหตุการณ์นั้นฝังลึกในใจของเด็กหญิงตัวน้อย เธอไม่ได้กลัวหมา แต่เธอฝังลึกความทรงจำที่เขาปกป้องเธอ จากความรักของเด็กหญิงคนหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองโตขึ้น มะลิน้อยก็ได้รับรู้ว่าเธอรักเขาอย่างที่ผู้หญิงคนหญิงจะรักผู้ชายคนหนึ่ง แต่เพราะรู้ฐานะของตัวเอง เธอจึงพยายามหักห้ามใจ แต่การกระทำของเธอกลับแสดงออกเหมือนว่าเธอพยายามตีตัวออกห่างจากเขา สรรพนามที่เรียกขานก็เปลี่ยนตามช่วงวัยและความห่างกันของฐานะและความสัมพันธ์ จาก ‘พี่ยู’ เขากลายเป็น ‘คุณยู’ ของเธอเมื่อใดกันนะ ภรัณยูเองก็ไม่ค่อยพอใจกับการเรียกขานที่ห่างเหินของเธอ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อมันเป็นความต้องการของเธอ แต่เมื่อภรัณยูเข้าเรียนชั้นมัธยมปลาย เขาก็เข้าเรียนที่โรงเรียนที่ติดอันดับท็อปของโรงเรียนที่ว่าเข้าเรียนยากที่สุด ส่วนเธอเองยังเรียนชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนใกล้บ้าน ความห่างยิ่งทำให้ทั้งสองห่างกันมากกว่าเดิม สาวน้อยตีตัวออกห่าง ไม่ค่อยพูดจากับเขาเหมือนอย่างเคย เธอหลบหน้าเขาเพราะความขัดเขิน แต่เขากลับคิดว่าเธอไม่อยากเจอหน้าเขาเพราะคงไม่พอใจที่เขาดูเธอเรื่องกา
“ไม่พี่จะใช้ความผิดครั้งนั้น ลงโทษและยำยีเธอ” ผมจับคนตัวเล็กให้นอนหงาย ตรึงสองแขนเธอไว้ด้วยสองมือของผม “คุณยูขา อย่าย่ำยีมะลิเลยนะคะ มะลิสำนึกผิดแล้ว อา...อย่าค่ะ” ผมกลั้นขำกับคนที่บอกผมไม่ให้ย่ำยีแต่กลับครางสยิวทั้งยังใช้สองขาเกี่ยวเอวผมไว้แน่น “เธอต้องได้สำนึกผิดทั้งคืนมะลิ ให้สมกับที่เธอทรมานฉัน” ผมเองก็เล่นใหญ่ไม่แพ้กัน ต้องทำเสียงแข็งและหน้าดุดัน ปล้นจูบคนใต้ร่างอย่างหิวโหย “อย่าค่ะ...อย่าทำมะลิเลย” ร้องห้ามแต่กลับแอ่นหน้าอกให้ผมได้ลงลิ้นกับสองเต้างาม “เธอไม่มีทางหนีฉันพ้นมะลิคืนนี้ เธอต้องได้ครางทั้งคืน” ผมว่าและละมือจากขอมือบางเพื่อจะถอดชุดนอนของเธอให้พ้นร่าง “มะลิกลัวแล้วอย่าทำอะไรมะลิเลย” โห เล่นเนียนมากเมียกู ทำเสียงสั่นด้วย ปากร้องห้ามแต่มือเมียผมกำลังดึงรูดกางเกงนอนผมลงให้สิ่งที่กำลังชูชันดีดผึง “ฟาดมือไหม” ผมแกล้งถามเมื่อเจ้ากร่างโตเต็มวัยและกระเด้งฟาดมือเมียรักเบา ๆ “ซ่าจริงนะเดี๋ยวได้ร้องไห้ไม่หยุด” เธอไม่ได้ขู่ผมแต่กำลังขู่เจ้ากร่างที่ตอนนี้เริ่มจะร้องไห้น้ำตาปริ่ม ๆ แล้ว อา...เมียโคตรเด็ดเป็นอย่าง
เจ้ามะระน้อยของพ่อที่พยายามจะเป็นน้องวิน แต่เพราะเจ้าตัวยังไม่คุ้นชินกับชื่อนี้ สุดท้ายผมและมะลิจึงต้องเรียนว่า ‘ภาวิน’ เจ้าตัวถึงจะยอมหัน สุดท้ายแล้วชื่อเล่นที่คนในครอบครัวหรือคนสนิทจะรู้ก็คือชื่อมะระ ส่วนอีกชื่อที่เป็นทั้งชื่อเล่นและชื่อจริงคือเด็กชายภาวิน ภาวินเติบโตมาอย่างดี เรียนเก่งตั้งแต่เล็ก ๆ และอย่างหนึ่งที่ลูกชายผมจะไม่ทำคือการเรียนพิเศษ แรก ๆ คุณปู่คุณย่าก็ไม่ยอมกลัวว่าหลานจะเรียนไม่ทันเพื่อน “ปู่กับย่าต้องการเกรดเฉลี่ยเท่าไหร่” นั่นคือคำถามของเด็กชายวัยสิบสามที่กำลังศึกษาชั้นมัธยมต้นปีที่หนึ่ง ผมกับมะลิต้องก้มขำ “สามจุดหกได้ไหมลูกมะระ ถ้าต่ำกว่านี้ย่ากลัวว่าหลานจะสอบที่อยากเรียนไม่ได้” แม่ผมหรือผู้เป็นย่าบอกอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะแม่ผมนั่นแหละที่สปอยด์หลานเกินไป พอโตขึ้นเด็กชายภาวินก็เลยทำให้ปู่ย่า วินเวียนศีรษะแบบนี้แหละ สำหรับผมกับมะลิเราตกลงกันไว้แล้วว่าไม่อยากให้ลูกเรียนพิเศษ เพราะมะระเองตอนเด็กก็เน้นเรียนพิเศษด้านกิจกรรม ไม่ค่อยได้เรียนพิเศษด้านวิชาการมากนัก แต่เมื่อขึ้นชั้นมัธยมคุณย่าหรือแม่ของ
“อ้าว! แค่จะชิมไง อยากรู้รสชาติ นะครับที่รัก” ผมใช้คำออดอ้อนที่รู้ว่าเธอต้องใจอ่อน ใบหน้างามงอง้ำนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้ายอม หน้าอกของเธอขยายใหญ่ขึ้นกว่าตอนท้องเสียอีก เส้นเลือกสีเขียวใต้ผิวเนื้อสีขาวเห็นชัดเจน ปลายยอดถันยังสีชมพูระเรื่อเหมือนอย่างเคย “พี่ยู อื้อ...อย่าเลีย” “โทษที ลืมตัว” พอเห็นนมเมีย แม่งก็อยากเลียทุกที สุดท้ายต้องห้ามใจ ผมลองดูดน้ำนมเธอเบา ๆ อย่างที่เจ้าลูกชายทำ หวานมาก...มิน่าละเจ้ามะระถึงได้ชอบสามเดือนต่อมา ผมมองเจ้าก้อนมะระยัดไส้ที่ตัวอวบอ้วน กำลังดูดนมแม่ไม่หยุด กินจุไม่มีใครเกิน แต่ก็ดีที่เจ้าก้อนไม่เจ็บไม่ป่วย น่ารักน่าหยิกเหลือเกิน แต่อย่าได้หยิกลูกเชียวนะ ไม่อย่างนั้นแม่มะลิใจดีจะกลายร่างเป็นแม่เสือสาวทันที คนอะไรดุจริง ๆ ถ้าเกี่ยวกับลูก “อย่าซน” “ก็ลูกกินข้างหนึ่ง อีกข้างก็แบ่งพี่หน่อย” เห็นเจ้าก้อนกินแล้วมันก็หิวตามลูก ไม่ได้กินนมเมียมาตั้งหลายเดือนแล้ว “พี่ยูดูดแรง” เธอว่าผม “ดูดนมเมียใครเขาดูดค่อยกันเล่า ก็ต้องดูดแรง ๆ ทั้งนั้นแหละ ไม่งั้นเธอจะเสียวเหรอ” ผ
“ได้สิ” ว่าแล้วเขาก็เบียดตัวเข้ามาในห้องนอนฉัน จัดการรูดชุดนอนฉันออกจากร่าง แล้วเป็นเขาเองที่ใส่ชุดนอนของฉัน ฉันหัวเราะชอบใจเสียงดังกับคนตัวเท่าหมีใส่ชุดนอนผ้าไหมบางเบา ทั้งส่วนกลางกายยังดุนดันกระโปรงชุดนอนจนผิดรูป “คับเป้าจัง” เขาว่าทั้งยังลูบตรงเป้าที่ว่า “คับแล้วจะใส่ทำไมคะ ถอดออกเลยสิ” คำพูดกับท่าทางแสนยั่วยวนของฉันนั้น ทำให้ผู้ชายแท่งร้อนอย่างเขาอยากจะฉีกชุดนอนเพื่อกระโดดขึ้นเตียงทันที “ถอดยากจัง ช่วยหน่อย” เพราะชุดนอนมันคับ ทำให้ตอนถอดนั้นยากจนฉันต้องลงมือช่วย ฉันคาชุดนอนไว้ปิดหน้าและล็อกแขนเขาไว้ด้วยชุดนอน กลายเป็นว่าเวลานี้ คุณยูเหมือนโดนมัดมือและปิดตาด้วยผ้าผืนบาง “หาอะไรเล่นกันไหมคะ” ฉันใช้ลิ้นแตะยอดอกเขา ถามเขาด้วยเสียงกระเส่า “เล่นครับ เล่นพี่แรง ๆ นะครับ” “ค่ะ มะลิจะเล่นแรง ๆ ถ้าทนไม่ไหว บอกให้หยุดได้นะคะ” “พี่ชอบแรง ๆ พี่อดทนเก่ง มะลิก็รู้” “เหรอคะ คงต้องพิสูจน์” ฉันหัวเราะคิก และเริ่มเล่นกับเขาอย่างที่เคยคิดอยากทำมานาน แต่เพราะความเขินอายในวันวานไม่กล้าที่จะแสดงออก “อา..
“คิดอะไรอยู่” “เปล่าค่ะ” ฉันก้มหน้าด้วยความอาย “ใกล้อิ่มแล้ว ไปเปิดน้ำให้หน่อย อยากแช่น้ำอุ่น” เขาสั่ง ฉันที่รู้ดีว่าหลังจากกินมาม่ารอบดึกแล้ว ส่วนมากเขาจะจบด้วยอะไร “ค่ะ” เพราะว่ารู้และก็รอคอยสิ่งที่จะเกิดขึ้นอยู่ในใจ เราสองคนเหมือนน้ำมันกับไฟ ขอให้มีโอกาส เฝ้ารอวันที่ผู้ใหญ่ไม่อยู่และแอบได้เสียกัน “มะลิ เดี๋ยวก่อน” “เธอต้องติวนะ เดี๋ยวเข้ามหา’ลัยไม่ได้” เขาว่า ฉันไม่ได้พูดอะไร เพราะรู้ว่าเขาคงมีเรื่องจะพูดต่อ “ต่อไปเสาร์อาทิตย์ไปติวหนังสือที่คอนโดฉัน” นี่เป็นการลักลอบเจอกันนอกสถานที่สินะ หัวใจฉันเต้นโครมคราม ทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจที่จะได้อยู่กันตามลำพังทั้งวัน “คิดอะไรอยู่ครับ” คำพูดเขาทำให้ฉันกลับมาอยู่กับปัจจุบัน “คิดถึงเมื่อก่อนค่ะ” ฉันบอกอย่างไม่ปิดบังความคิด “เวลาดึกที่พี่แกล้งหิวใช่ไหม”ฉันนิ่วหน้ากับคำว่า ‘แกล้งหิว’ “หมายความว่าไง ‘แกล้งหิว’” ฉันถามเสียงขุ่น “ก็หมายความว่า ที่บอกว่าหิว ไม่ได้หิวจริง แค่อยากอยู่กับเธอไง” เขาพูดหน้าตาย ไม่คิดจะปกปิดเลยสักนิด