เสิ่นลี่จูพยายามใช้ความคิดว่าเหตุใดตนเองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก จนกระทั่งเธอเริ่มรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง ภาพต่าง ๆ ของเจ้าของร่างเดิมพลันปรากฏชัดเจนภาพแล้วภาพเล่า
"ฮือ ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันกลัวแล้ว"
"กลัวหรือ เจ้าต้องมารับกรรมแทนพี่สาวเจ้า เป็นเช่นไร เจ้ารักข้ามากไม่ใช่หรือ เหตุใดไม่ยอมทำตามใจข้าเล่า หากเจ้าไม่ทำตามใจข้า ข้าจะโบยเจ้าจนตาย แล้วลากไปโยนทิ้งที่นอกวังหลวง"
"ฮือ ไม่นะเพคะ หม่อมฉันไม่ใช่เสิ่นอ้ายเยว่เสียหน่อย พระองค์จะเอาความแค้นมาลงที่หม่อมฉันเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ"
"เจ้ามีสายเลือดเดียวกับนาง อีกอย่าง เจ้าเองก็เคยกลั่นแกล้งนางสารพัด อ้อ ข้าเดาได้แล้ว เจ้าคงรู้เห็นเป็นใจกับนางสินะ เจ้ารู้เห็นเรื่องที่นางหักหลังข้าใช่หรือไม่ สารเลวทั้งพี่ทั้งน้อง!"
ภาพที่เจ้าของร่างเดิมถูกฮ่องเต้เจิ้งจิ่งเหอทารุณกรรมจิตใจฉายชัดเข้ามาในมโนสำนึกของเสิ่นลี่จูคนใหม่ไม่หยุดยั้ง จนนางถึงกับเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวดพลางยกมือทุบศีรษะของตนพร้อมกับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
"โอ๊ย ปวดหัวเหลือเกิน ปวดหัวมาก อ๊า"
อดทนอยู่นานในที่สุดอาการปวดหัวก็ทุเลาเบาบางลง เสิ่นลี่จูหายใจเหนื่อยหอบ ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าตนเองได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของเสิ่นลี่จู นางร้ายในเรื่องที่กลั่นแกล้งพี่สาวของตน เมื่อพี่สาวตายกลับไม่ยอมช่วยสืบหาความจริงทั้งยังสาแก่ใจ สุดท้ายแล้วอาจต้องพบจุดจบที่น่าอนาถ และอาจจะต้องตายอยู่ในตำหนักเย็นไร้ผู้คนเหลียวแล
เสิ่นลี่จูแทบกุมขมับ เธอด่าตัวละครแทบตาย สุดท้ายตนเองกลับต้องมาอยู่ในร่างของเสิ่นลี่จูนางร้ายใจบาปผู้นี้เสียเอง ที่สำคัญยังต้องมารองรับอารมณ์ของเจิ้งจิ่งเหออีกด้วย
บัดซบเกินจะบรรยาย เป็นคนอ่านนิยายอยู่ดี ๆ กลับกลายเป็นผู้ประสบภัยเสียอย่างนั้น
ด้านเจิ้งจิ่งเหอที่เห็นท่าทางเดีี๋ยวตกใจเดี๋ยวหมดอาลัยตายอยากของเสิ่นลี่จูเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น ในใจนึกดูแคลนนางเป็นอย่างมาก สตรีนางนี้ต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ ท่าทางของนางเหมือนกับคนไม่เต็มเต็งเสียอย่างนั้น
แต่ช่างเถิด นางจะมีสภาพเช่นไรเขาไม่สน หน้าที่ของนางคือต้องมารับกรรมแทนที่พี่สาว!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเดินเข้าไปกระชาก แขนของเสิ่นลี่จูให้ลุกขึ้นยืน เสิ่นลี่จูยังไม่ทันตั้งตัวจึงซวนเซล้มเข้าไปในอ้อมกอดของเขา แต่เจิ้งจิ่งเหอกลับเบี่ยงกายหลบ จนนางล้มลงไปที่พื้นสภาพน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
"อย่าคิดมาแตะต้องตัวข้า คนเช่นเจ้ามันไม่คู่ควร"
เสิ่นลี่จูถึงกับซู้ดปาก คนบัดซบนี่มันจะเกินไปแล้วนะ ไม่มีความเมตตาปรานีเลยแม้แต่น้อย
เสิ่นลี่จูพยายามลุกขึ้นยืน ก่อนจะมองหน้าของเจิ้งจิ่งเหอให้ชัด ๆ ตอนที่อ่านนิยายเธอยังจินตนาการใบหน้าของเขาไม่ออก เมื่อได้มาเห็นเต็มสองตาก็ถึงกับตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาหล่อเหลามากจริง ๆ รูปงามเสียจนนางไม่อาจละสายตาได้
จากตรงนี้สามารถมองเห็นคันฉ่องทองเหลืองที่อยู่ด้านหลังของเจิ้งจิ่งเหอได้ชัดเจน ทำให้เสิ่นลี่จูสามารถมองเห็นใบหน้าของตนเองในคันฉ่องได้อย่างชัดเจน เพราะว่าสตรีในคันฉ่องมีใบหน้าเหมือนนางราวกับฝาแฝด
นี่เรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย มันจะอะเมซิงเกินไปแล้ว
เสิ่นลี่จูเองก็รู้สึกเหนื่อยล้าเพราะก่อนหน้านี้เจ้าของเดิมล้มป่วยทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงมากเท่าไรนัก สิ่งแรกที่นางต้องทำคือนางจะต้องพักรักษาตัวให้หายดีและเตรียมรับมือกับเจิ้งจิ่งเหอ
เจิ้งจิ่งเหอส่งเสียงเหอะออกมา ก่อนจะเอ่ยกับเสิ่นลี่จูอย่างไม่พอใจ
"วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปสักวัน ดูจากสภาพเจ้าแล้วข้าคงเล่นไม่สนุก แต่เจ้าอย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบเลย"
เอ่ยจบเขาก็สะบัดชายเสื้อและเดินจากไปทันที
"ฮือ พระสนม น่ากลัวยิ่งนักเพคะ หากไม่หาทางหนี พระองค์จะต้องไม่รอดจากเงื้อมมือของฝ่าบาทแน่นอนเพคะ"
เมี่ยวเถียนสาวใช้ข้างกายเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น เสิ่นลี่จูหันไปมองสาวใช้ของตน นางรับรู้ได้จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมว่าเรื่องราวเป็นมาเช่นไรและใครเป็นใครบ้าง จึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรเมี่ยวเถียนให้มากความ
ยามนี้นางเข้าวังหลวงมาในฐานะกุ้ยเหริน แม้จะเป็นตำแหน่งนางสนม แต่กลับไม่ได้สูงส่งอันใดมากนัก เรื่องนี้เสิ่นลี่จูไม่สนใจ ตอนนี้สิ่งที่นางต้องทำคือหาทางรับมือกับเจิ้งจิ่งเหอและคิดหาวิธีออกไปจากนิยายเล่มนี้โดยเร็วที่สุด
ด้านเมี่ยวเถียนที่เห็นว่าเจ้านายฟื้นแล้ว จึงรีบไปที่ห้องครัวหลวงสั่งให้คนทำอาหารมาให้เสิ่นลี่จู เมื่ออาหารมาถึงเสิ่นลี่จูก็ถึงกับก่นด่าเจิ้งจิ่งเหอในใจอีกหนึ่งคำรบ
อาหารตรงหน้านางนอกจากโจ๊กที่ใสเหมือนตาแมวแล้ว ยังมีผัดผักกาดและกวางตุ้งผัดน้ำมันอย่างละจาน ไม่มีเนื้อสัตว์เลยแม้แต่น้อย
"เมี่ยวเถียน นี่อาหารพระสนมเหรอ ให้ตายเถอะ นางกำนัลในวังหลวงยังกินดีอยู่ดีกว่าข้าอีกกระมัง"
เมี่ยวเถียนเม้มริมฝีปากแน่น พลางเอ่ยตอบ
"ฝ่าบาทตรัสว่า ช่วงนี้ต้องปรับปรุงเรื่องงบประมาณการใช้จ่ายในวังหลวง ทำให้อาหารบางอย่างต้องลดลงโดยเฉพาะเนื้อสัตว์เพคะ"
"ลดงบประมาณกับผีน่ะสิ เห็นทีคงงดแค่ที่ตำหนักข้าเพียงที่เดียว บัดซบจริง ๆ"
"พระสนม อย่าได้เอ่ยวาจาเช่นนี้นะเพคะ"
เมี่ยวเถียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนแทบจะเป็นลม ตั้งแต่เจ้านายของนางฟื้นขึ้นมาก็เอ่ยวาจาไม่น่าฟัง อีกทั้งยังดูแปลกประหลาดกว่าแต่ก่อน ที่สำคัญยังไม่เกรงกลัวฮ่องเต้อีกด้วย
เสิ่นลี่จูพยายามระงับสติอารมณ์ นางรีบกินอาหารจนหมด อย่างไรย่อมต้องกินเพื่อให้มีเรี่ยวแรง
"เมี่ยวเถียน ก่อนหน้าที่ข้าจะเข้าวัง ทางบ้านคงมอบเงินทองมากมายติดตัวข้ามาด้วยกระมัง เขาเรียกอะไรนะ อ้อ สินเดิม"
"เพคะ แต่ว่าไม่นานมานี้หลังจากพระสนมล้มป่วย นางกำนัลก็มีใจเหิมเกริม เพราะพระสนมไม่เป็นที่โปรดปราน ซ้ำฝ่าบาทยังให้พวกนางกลั่นแกล้งพระองค์ได้ตามใจชอบ พวกนางจึงแอบยักยอกสินเดิมของพระองค์ไปจนหมด ตอนนี้เหลือของมีค่าอยู่ไม่มาก บ่าวเองก็ไม่กล้าปากมาก บ่าวกลัวเพคะ จะหาทางแจ้งจวนตระกูลเสิ่นก็ไม่ได้ ฮือ"
เสิ่นลี่จูที่ได้ฟังก็ขมวดคิ้วมุ่น ไม่คิดว่านางกำนัลพวกนั้นจะเหิมเกริมได้ถึงขนาดนี้ นางอ่านนิยายมาหลายเล่ม ล้วนเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ถึงเรื่องนี้ เมื่อใดที่นางไร้อำนาจย่อมถูกกลั่นแกล้งเป็นเรื่องธรรมดา
เสิ่นลี่จูส่งเสียงเหอะ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเมี่ยวเถียน
"เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่านางกำนัลคนใดเอาของของข้าไป"
"เพคะ บ่าวจำหน้าพวกนางได้"
"อีกเดี๋ยวเจ้าจงไปเรียกพวกนางมา!"
“เรียกมาทำไมกันเพคะ"
"เรียกพวกนางมารับทราบข้อกล่าวหาน่ะสิวันนี้ใครมันไม่คืนของของข้า ข้าจะให้มันอยู่ไม่สู้ตายเลยคอยดู!"
ยามนี้ทหารกบฏตายหมดสิ้นแล้ว อู๋อ๋องถูกตัดศีรษะ แต่ทว่าเจิ้งจิ่งเหอกลับหาตัวของเจิ้งมู่หยางไม่พบเวลาเดียวกันนั้น เสิ่นฮูหยินก็มาแจ้งว่า เสิ่นลี่จูหายตัวไปตั้งแต่กลางดึกแล้ว นางส่งคนออกตามหาแต่กลับไม่พบตัวคนเจิ้งจิ่งเหอและกู้อวิ๋นหานตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขาสั่งคนออกตามหาเสิ่นลี่จูแต่กลับไร้วี่แวว เจิ้งจิ่งเหอคิดว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวพันกับเจิ้งมู่หยางเป็นแน่เมื่อหาเสิ่นลี่จูไม่พบ เจิ้งจิ่งเหอก็ไม่เป็นอันทำสิ่งใด เขาเหมือนคนคลุ้มคลั่ง ในขณะที่กำลังสิ้นหวังเต็มที เขาก็เหลือบไปเห็นว่าบนโต๊ะมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ บนกระดาษมีข้อความเขียนเอาไว้คนรักของเจ้าอยู่ที่ป่าไผ่รกทึบ ห่างจากจวนตระกูลเฉิงไปไม่ไกล ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีร่องรอยของการขุดฝัง รีบไปก่อนจะไม่ทันการณ์เจิ้งจิ่งเหอกำจดหมายนั้นเอาไว้แน่น เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมา แต่ยามนี้ทางใดที่เหมือนแสงสว่างเขายินดีทำทั้งหมด กู้อวิ๋นหานเมื่อได้ทราบข่าวจากเจิ้งจิ่งเหอก็รีบไปช่วยตามหา แม่ทัพใหญ่เสิ่นนั้นก็เร่งตามไปเช่นเดียวกันชายหนุ่มทั้งสองมายังจุดที่จดหมายปริศนาบอกเอาไว้ เขาตรงไปที่ต้นไม้ใหญ่และพบร่องรอยการขุดดินจริง ๆเจิ้งจิ่งเหอรีบใช้
หลายสิบวันต่อมา ในที่สุดเจิ้งจิ่งเหอก็เดินทางมาถึงชายแดนเมืองหวายเยียนพร้อมกับกู้อวิ๋นหาน ครั้งนี้เขานำกำลังทหารมาไม่น้อยเลย แม่ทัพใหญ่โต้วรีบออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ครั้งนี้บิดาของเสิ่นลี่จูก็ออกมารับเสด็จเช่นเดียวกัน เจิ้งจิ่งเหอยังไม่ทันได้พบกับเสิ่นลี่จูก็รีบเร่งรุดไปที่ชายแดนเสียก่อน เขาจัดกำลังทหารใหม่ ได้พักเพียงวันเดียวก็ต้องออกรบทำศึกเสียแล้วเสิ่นลี่จูอยู่ที่จวนตระกูลเฉิง นางทำอาหารหลายอย่างและให้เจิ้งจิ่งเหอ กู้อวิ๋นหาน และคนอื่น ๆ ได้กินรองท้อง ตั้งแต่เขาเดินทางมาที่นี่ยังไม่ได้พบกับนางเลย แต่เสิ่นลี่จูกลับไม่ได้รู้สึกน้อยใจ นางรู้ดีว่าเขากำลังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการมากกว่าเรื่องของนางเจิ้งจิ่งเหอออกรบอยู่ที่นอกกำแพงเมือง เมื่อเขามาถึงก็ทำให้ได้ทราบว่า แท้จริงแล้วกุนซือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อสงครามครั้งนี้ก็คือเจิ้งมู่หยางเจิ้งมู่หยางยังไม่ตาย ศพที่พบก่อนหน้าคือคนทีี่ปลอมตัวเป็นเจิ้งมู่หยางโดยใช้หน้ากากหนังมนุษย์เพื่อหลอกให้เขาตายใจเจิ้งมู่หยางนำกำลังทหารของตนไปผนวกร่วมเข้ากับแคว้นอู๋ และร่วมมือกันก่อกบฏ โดยใช้อู๋อ๋องเป็นคนนำทัพ ส่วนตนเองนั้นคอยบงการอยู่เบื้องหลัง
หลายวันต่อมา เสิ่นฮูหยินก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งส่งมาจากเมืองหวายเยียน บอกว่าน้องชายของนางเกิดล้มป่วยกะทันหัน คาดว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน และอยากจะพบหน้านางซึ่งเป็นพี่สาวครั้งสุดท้าย เสิ่นฮูหยินจึงรีบสั่งให้คนเก็บข้าวของเพื่อเดินทางไปเมืองหวายเยียนทันทีเสิ่นฮูหยินมารดาของเสิ่นลี่จูเป็นสตรีที่มีถิ่นฐานเดิมมาจากเมืองหวายเยียน ยามนั้นแม่ทัพใหญ่เสิ่นไปออกรบ คนทั้งสองได้พบรักกัน มารดาของนางเป็นบุตรสาวของคหบดีที่ร่ำรวยผู้หนึ่งในเมืองหวายเยียน อีกทั้งยังมีกิจการอยู่ที่เมืองหลวงไม่น้อย เมื่อแต่งกับแม่ทัพใหญ่เสิ่นจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง ร้านรวงที่อยู่ในเมืองหลวง ทางครอบครัวได้มอบให้เป็นสินเดิมของนางทั้งหมดแม่ทัพใหญ่เสิ่นที่ได้ทราบข่าวก็ตั้งใจว่าจะเดินทางไปกับภรรยาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเขาไม่มีสิ่งใดต้องรับผิดชอบอีกแล้ว เสิ่นลี่จูก็ต้องร่วมเดินทางไปด้วยเช่นเดียวกัน เผื่อว่าทางใต้มีทำเลทิศทางทำการค้าได้ดี นางอาจจะเปิดภัตตาคารที่นั่นอีกสาขาหนึ่งเจิ้งจิ่งเหอที่ได้ทราบข่าวเดิมทีเขาไม่อยากให้นางไป ตอนนี้ทางทิศใต้สงครามยังไม่สงบ รองแม่ทัพโต้วซึ่งยามนี้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่โต้วคนใหม่ ได้ไปปราบ
เอ่ยจบเขาก็กึ่งเดินกึ่งลากตัวนางออกมาจากเรือน เสิ่นลี่จูรีบรั้งตนเองเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"ฝ่าบาท เหตุใดจึงทรงทำเช่นนี้เล่าเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอหันมาจ้องสตรีตรงหน้าเขม็ง"ทำไม หรือว่าเจ้าอยากแต่งกับเขา เสิ่นลี่จู ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ตรงนี้เลยนะ ข้าไม่มีวันให้เจ้าได้สมใจ""เพราะเหตุใด เราต่างไม่มีเรื่องติดค้างใจต่อกันแล้ว พระองค์ไม่มีสิทธิ์มาทำเช่นนี้ตามใจชอบ""เพราะว่าข้าชอบเจ้าได้ยินหรือไม่!""ฮะ!"เสิ่นลี่จูถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก นางรู้สึกว่าตนเองกำลังหูฝาดไป จึงเอ่ยถามเขาย้ำอีกหน"ฝ่าบาททรงเอ่ยว่าอย่างไรนะเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอถอนหายใจออกมา เขาเม้มริมฝีปากแน่น เสิ่นลี่จูนางหูหนวกหรือว่าหูตึงจึงไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาบอก เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตะโกนจนลั่นจวน"ข้าชอบเจ้า สตรีหน้าโง่ เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าข้าชอบเจ้า!"เสียงของเขาดังมาก ดังเสียจนทำให้บ่าวที่กวาดลานถึงกับทำไม้กวาดหล่นจากมือ สาวใช้ที่กำลังเช็ดจวนถึงกับทำผ้าหล่นลงพื้น แม่ทัพใหญ่เสิ่นหันไปมองฮูหยินของตนคราหนึ่งเมื่อได้ยินชัด ๆ แล้ว เสิ่นลี่จูก็ยิ้มออกมาในทันที นางไม่เคยคิดเลยว่ารักครั้งแรกของนางจะต้องมาเจ
เมื่อกลับมาอยู่ที่จวนแล้ว เสิ่นลี่จูก็เริ่มหมักสุราตามสูตรของนาง นางฝังสุราหลายไหเอาไว้ใต้ต้นไม้ สุราแต่ละชนิดล้วนมีเวลาการหมักบ่มของมัน เสิ่นลี่จูเองก็ไม่รีบร้อน อีกทั้งนางยังสั่งให้บ่าวไพร่ปลูกผักในจวนเอาไว้ขาย ไม่นานมานี้นางยังไปปรับปรุงภัตตาคารในเมืองหลวงซึ่งเป็นสินเดิมของมารดาเพื่อทำการค้าใหม่ ฝีมือการทำอาหารของเสิ่นลี่จูนับว่ายอดเยี่ยม ประจวบเหมาะกับนางนำความรู้จากยุคปัจจุบันมาประยุกต์ใช้ จึงทำให้อาหารที่ภัตตาคารของนางไม่เหมือนกับที่ใดที่ชวนให้ผู้คนสนใจมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นการสุ่มอาหาร ลูกค้าที่เข้ามาจะสามารถเลือกการจับฉลากสุ่มอาหารได้ เพียงจ่ายในราคาหนึ่งตำลึงสำหรับการสุ่มอาหารชุดใหญ่ ราคาสิบอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดกลาง และราคาสามอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดเล็ก พวกเขาจะไม่รู้เลยว่าอาหารชุดใหญ่นั้นจะมีอะไรบ้าง บางครายังได้สุราชั้นดีแถมกลับบ้านอีกด้วย เรื่องนี้สร้างความสนุกสนานแก่ผู้คนในเมืองหลวงไม่น้อยส่วนอาหารที่ขึ้นชื่ออีกอย่างก็คือ สลัดผัก เพราะในยุคโบราณมีวัตถุดิบไม่มาก นางจึงใช้น้ำมันงามาทำน้ำสลัดอย่างง่าย ๆ แต่รสชาติกลมกล่อมเป็นอย่างมาก สตรีในเมืองหลวงหลายคนที่ต้องการล
กว่าจะเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงก็เป็นเวลาเย็นย่ำมากแล้ว เมื่อกลับมาถึงตำหนักเสิ่นลี่จูก็รีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และมากินมื้อเย็น หลังจากกินอิ่มแล้ว นางจึงไปเยี่ยมกู้ไทเฮาและอยู่พูดคุยด้วยกันครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาที่ตำหนักของตนเสิ่นลี่จูก็เดินไปที่โต๊ะตำรา ก่อนจะเปิดตำราเล่มหนึ่ง ด้านในนั้นมีหนังสือสัญญาที่เขาและนางลงลายมือประทับเอาไว้ร่วมกัน ไม่รู้เพราะเหตุใดยามที่คิดว่าถึงเวลาจะต้องแยกทางกันแล้ว นางจึงรู้สึกเศร้าใจถึงเพียงนี้ไม่รู้ว่านางเกิดความรู้สึกผูกพันกับเจิ้งจิ่งเหอยามใด เดิมทีเขาและนางเปรียบเหมือนกับเส้นขนานที่ไม่อาจจะมาบรรจบกันได้ เขาไม่เคยรักนาง ส่วนนางก็ต้องกลับไปยังที่ที่ตนเองจากมา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการไม่สานความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกันนับว่าเป็นเรื่องดีเมื่อนึกเรื่องที่ต้องกลับไปยังโลกอนาคต เสิ่นลี่จูก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เรื่องของเสิ่นอ้ายเยว่ก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ว่าเหตุใดนางจึงกลับไปไม่ได้เล่าหญิงสาวมองไปโดยรอบ ก่อนจะพบเข้ากับเทพธิดาจิ้งจกที่เกาะอยู่ตรงประตู"เทพธิดาจิ้งจก ข้าไขคดีการตายของเสิ้นอ้ายเยว่ได้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่สามารถกลับไปได้อีกเล่า"เทพธิดาจิ้งจกปรา