เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงยามเย็น เพราะยามนี้เป็นช่วงที่สองของฤดูหนาวอากาศจึงเย็นลงเป็นอย่างมาก ในตำหนักของเสิ่นลี่จูแม้จะปิดหน้าต่างทุกบานจนสนิทแล้ว แต่ความหนาวเย็นกลับไม่ได้บรรเทาเบาบางลงเลยแม้แต่น้อย เมี่ยวเถียนเทชาร้อนใส่ถ้วยส่งให้เจ้านายของตน ชาป้านนี้เป็นเพียงชาธรรมดาที่ไม่ได้มีราคาค่างวดอันใด รสชาติจึงไม่ได้หวานละมุนเช่นชาดี ๆ ที่นางเคยดื่มก่อนหน้านี้ แต่เสิ่นลี่จูไม่ได้สนใจเท่าไรนัก ขอเพียงมีที่ให้นอน มีน้ำให้ดื่ม มีอาหารให้กินอิ่มท้อง นางก็พอใจแล้ว สถานการณ์ที่ไม่สู้ดีเช่นนี้ นางไม่อาจเรียกร้องอะไรได้มากนัก สิ่งที่นางจะต้องทำตอนนี้ก็คือคิดหาหนทางกลับไปยังโลกอนาคตที่นางจากมา
แต่เสิ่นลี่จูคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก นางจึงเลิกคิดเสียและเก็บแรงเอาไว้ก่อน รอให้สมองเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้แล้วค่อยคิดหาหนทาง
บรรยากาศยิ่งดึกก็ยิ่งหนาวเย็น เสิ่นลี่จูมองไปที่เทียนไขซึ่งถูกจุดให้ความสว่างคราหนึ่ง เมี่ยวเถียนสาวใช้ของนางยามนี้อยู่เฝ้าที่หน้าประตู เสิ่นลี่จูรู้สึกไม่คุ้นชินกับที่นี่จึงทำให้ไม่อาจข่มตานอนหลับได้อย่างสบายใจ
"เจ้านอนไม่หลับหรือแม่สาวน้อย"
อยู่ ๆ ก็มีเสียงของสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา เสิ่นลี่จูลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเตียงนอน ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาต้นตอของเสียง แต่กลับไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว นางเริ่มหวาดระแวงขึ้นมาเสียแล้ว
"ไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงของข้านอกจากเจ้าหรอก โฮะ ๆ"
"ผู้ใดกัน หรือว่าจะเป็นผี!"
เสิ่นลี่จูอุทานออกมาด้วยความหวาดหวั่น ใบหน้าสวยหวานยามนี้ซีดเผือดไร้สีเลือด เริ่มหายใจถี่กระชั้น
"แม่หนูคนงาม เจ้าเงยหน้าขึ้นมาสิ ข้าอยู่บนเพดานนี่ เงยหน้ามาสิจ๊ะเด็กดี"
เสียงของสตรีนางนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหูของนางไม่หยุด เสิ่นลี่จูหลับตาลง ก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปมองบนเพดาน ภาพที่เห็นทำเอานางถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
นั่นมันจิ้งจกนี่!
เสียงที่นางได้ยินเมื่อครู่มาจากเจ้าจิ้งจกตัวนี้หรือ
บ้าไปแล้วน่า!
เสิ่นลี่จูถึงกับขบขันตนเองในใจ ให้ตายเถอะ นางคงประสาทหลอนไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้คิดเรื่องบ้าบอเช่นนี้ออกมาได้ จิ้งจกประหลาดที่ไหนกันจะพูดได้
"บังอาจนัก เห็นข้าแล้วยังไม่ทำความเคารพ ข้าคือเทพธิดาจากแดนสวรรค์เชียวนะ แต่เพราะต้องมาชดใช้บาปจึงต้องมาคอยช่วยมนุษย์ตัวเล็ก ๆ เช่นเจ้า ข้าจึงต้องมาอยู่ในร่างจิ้งจกบัดซบตัวนี้!"
เสิ่นลี่จูถึงกับเงยหน้าขึ้นไปมองจิ้งจกตัวนั้นอีกหน ตอนนี้ในใจคลายความหวาดกลัวลงไปได้มากแล้ว แต่เมื่อได้ยินที่เทพธิดาจิ้งจกเอ่ยออกมานางก็ถึงกับย่นหัวคิ้ว
"เป็นถึงเทพธิดาแต่มาอาศัยในร่างของจิ้งจก น่าเวทนาดีนี่ แต่ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้มีเพื่อนคุยแก้เหงา ไหน ๆ ก็เจอแต่เรื่องแย่ ๆ เจอเรื่องประหลาดอีกมันจะสักเท่าไรกันเชียว"
"สามหาว ข้าแค่มาอยู่ในร่างนี้เพียงชั่วคราวเพื่อคอยช่วยเหลือเจ้าให้สมหวังกับเนื้อคู่ เมื่อเจ้าสมหวังแล้วข้าก็จะไป เหอะ"
เนื้อคู่หรือ นี่มันเรื่องอะไรกัน
เสิ่นลี่จูสับสนมึนงงไปหมดแล้ว
"ที่ท่านบอกว่ามาเพื่อช่วยให้ข้าสมหวังกับเนื้อคู่ เนื้อคู่ของข้าคือใครกัน"
"ก็ฮ่องเต้รูปงามผู้นั้นอย่างไรเล่าคือเนื้อคู่ของเจ้า"
เสิ่นลี่จูถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก นึกอยากจะเขวี้ยงหมอนใส่เทพธิดาจิ้งจกนั่นสักหนเพื่อระบายอารมณ์ เนื้อคู่มารดามันสิ นางไม่เอาด้วยคนหรอก
"ข้าจะออกจากนิยายเล่มนี้ได้อย่างไร"
เสิ่นลี่จูไม่สนใจเรื่องเนื้อคู่เนื้องอกอะไรนั่น นางกลับเปลี่ยนเรื่องมาถามว่าจะออกจากนิยายได้อย่างไรแทน เทพธิดาจิ้งจกกลอกตาไปมาพลางส่ายหางไปทางซ้ายทีขวาที ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ความจริงก็มีอยู่สองวิธี"
"วิธีใด"
"วิธีแรกเจ้าจะต้องมีลูกกับเนื้อคู่ของเจ้า จึงจะสามารถกลับไปได้"
เสิ่นลี่จูถึงกับสำลักน้ำชาที่กำลังดื่มอยู่ มีลูกกับเจิ้งจิ่งเหออย่างนั้นหรือ บัดซบสิ้นดี แม้แต่ทำดีกับนางเขายังไม่ทำ ตัดเรื่องมีลูกกับเขาทิ้งไปได้เลย ก่อนจะมีลูกช่วยหาทางเข้าใกล้เขาให้ได้ก่อนเถอะ
"เช่นนั้นก็ปล่อยข้าตามยถากรรมเถอะ ไม่ต้องมาช่วยข้า ข้าจะนอนแล้ว"
"นี่ ๆ แม่นางน้อย เจ้าอย่าเพิ่งท้อแท้สิ ข้าต้องช่วยให้เจ้าสมหวังสิ เช่นนั้นข้าก็จะออกจากร่างจิ้งจกนี่ไม่ได้ เพราะข้าและเจ้ามีเศษกรรมพันผูก แต่เอาเถอะ รอให้เจ้าอารมณ์เย็นลงข้าจะบอกอีกวิธีหนึ่งกับเจ้าก็แล้วกัน เจ้านอนก่อนเถอะ"
เสิ่นลี่จูไม่สนใจเทพธิดาจิ้งจกเส็งเคร็งนั่นอีก นางพยายามข่มตาหลับจนถึงรุ่งเช้า เมื่อตื่นมาก็ล้างหน้าล้างตายังไม่ทันจะได้กินมื้อเช้า ก็มีนางกำนัลมาแจ้งว่าเจิ้งจิ่งเหอกำลังจะเสด็จมาที่นี่
เสิ่นลี่จูถึงกับกลอกตาไปมา เพิ่งจะเช้าก็เสนอหน้ามาแล้ว เขาคิดจะหาเรื่องนางไม่เว้นวันเลยหรือไรกันนะ
แม้ปากจะก่นด่า แต่อย่างไรย่อมต้องออกไปทำการต้อนรับ เสิ่นลี่จูยิ้มแย้มให้เขาอย่างอ่อนโยน เจิ้งจิ่งเหอที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะอย่างดูแคลน
"รอยยิ้มของเจ้ามันช่างน่าเกลียดเสียจริง เหมือนผีที่เพิ่งผุดขึ้นมาจากหลุมอย่างไรอย่างนั้น"
เสิ่นลี่จูยังคงยิ้มต่อไป ทั้งที่ในใจก่นด่าเขาไม่หยุด
ปากคอเราะรายนัก!
เจิ้งจิ่งเหอยกมือขึ้น ก่อนจะสั่งให้กงกงนำอาหารเข้ามา เสิ่นลี่จูมองอาหารพวกนั้นก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น อาหารอันโอชะหน้าตาน่ากินวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะไปหมด นี่เขาคิดจะทำสิ่งใดกัน
เมื่ออาหารถูกนำมาวางจนครบแล้ว เจิ้งจิ่งเหอก็สั่งให้กงกงนำตะเกียบมาให้นางคู่หนึ่ง เสิ่นลี่จูรับตะเกียบมาอย่างงงงวยพลางเอ่ยถามด้วยความฉงนสนเท่ห์
"ฝ่าบาทจะให้หม่อมฉันทำสิ่งใดหรือเพคะ"
เจิ้งจิ่งเหอยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ยตอบนางอย่างเย็นชา
"นี่เป็นอาหารที่ข้ากินทุกวัน แต่ก่อนที่ข้าจะกิน จะต้องมีคนชิมมันเสียก่อน เผื่อว่ามันมีพิษจะได้ตายก่อนข้า วันนี้คนทำหน้าที่นี้ล้มป่วยกะทันหันไม่่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ข้าจึงให้เจ้าทำงานนี้แทนเขาหนึ่งวัน ที่ข้าลงทุนลงแรงมาที่นี่เพราะว่าเกิดเจ้าตายขึ้นมา ข้าไม่อยากให้เลือดของเจ้าเปรอะเปื้อนในตำหนักของข้า กินซะ!"
เสิ่นลี่จูมองเจิ้งจิ่งเหออย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ผู้ชายคนนี้มันจะเกินไปแล้ว ถึงกับจะให้นางตายแทนเขา ใช้ได้ที่ไหนกัน
เมื่อเห็นว่าเสิ่นลี่จูไม่ยอมกินอาหารซ้ำยังจ้องเขาเขม็ง ชายหนุ่มจึงหรี่ตามองนาง
"ทำไม ไหนเจ้าบอกว่ารักข้ามากมิใช่หรือ"
"ก่อนหน้านี้หม่อมฉันตาบอดตาถั่ว เห็นผิดเป็นชอบเพคะ"
"นี่เจ้า! ปากคอเราะรายใช้ได้เลยนี่ กินเสียหากเจ้าไม่กินวันนี้นางกำนัลในตำหนักเจ้าจะต้องถูกโบยจนตาย!"
เสิ่นลี่จูจ้องเจิ้งจิ่งเหอเขม็ง เขาทั้งบ้าอำนาจและจิตใจวิปริตบิดเบี้ยวจนเกินจะรักษาเยียวยาเสียแล้ว
ในขณะที่สถานการณ์ดูเหมือนจะไร้ทางออก เสิ่นลี่จูก็ได้ยินเสียงของเทพธิดาจิ้งจกเอ่ยขึ้นมา
"ในอาหารไม่มียาพิษ เขาแค่ต้องการกลั่นแกล้งให้เจ้าหวาดกลัว ยามที่เจ้าหวาดกลัวเขาจะมีความสุขมาก ตายแล้ว! กุ้งผัดใบชาหลงจิ่งน่ากินมาก จูจูน้อย เจ้ากินแทนข้าทีสิ เร็วเข้า!"
เสิ่นลี่จูเหลือบตามองไปยังเทพธิดาจิ้งจก ซึ่งตอนนี้เกาะอยู่ตรงขอบประตูคราหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
เหอะ ที่แท้ก็คิดจะกลั่นแกล้งนางนี่เอง
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงจัดการใช้ตะเกียบคีบอาหารตรงหน้าขึ้นมาชิมคำแล้วคำเล่า
รสชาติดี!
เจิ้งจิ่งเหอเห็นว่าเสิ่นลี่จูดูแปลกประหลาดไปจากทุกวัน นอกจากจะไม่เกรงกลัวเขาแล้ว นางยังกินอาหารอย่างไม่หวาดหวั่นจนเขาเริ่มหงุดหงิด จึงแย่งตะเกียบมาจากมือของนางก่อนจะปามันทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี
"บัดซบ ตะกละมูมมามเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ช่างน่ารังเกียจเสียจริง"
"ก็ฝ่าบาทบอกให้หม่อมฉันกิน หม่อมฉันก็กินสิเพคะ ตายแล้ว อร่อยมาก ขาหมูจานนั้นน่ะหม่อมฉันยังไม่ได้ชิมเลย ตะเกียบไม่มีแล้ว ขอใช้มือนะเพคะ"
เจิ้งจิ่งเหอ"..."
ยามนี้ทหารกบฏตายหมดสิ้นแล้ว อู๋อ๋องถูกตัดศีรษะ แต่ทว่าเจิ้งจิ่งเหอกลับหาตัวของเจิ้งมู่หยางไม่พบเวลาเดียวกันนั้น เสิ่นฮูหยินก็มาแจ้งว่า เสิ่นลี่จูหายตัวไปตั้งแต่กลางดึกแล้ว นางส่งคนออกตามหาแต่กลับไม่พบตัวคนเจิ้งจิ่งเหอและกู้อวิ๋นหานตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขาสั่งคนออกตามหาเสิ่นลี่จูแต่กลับไร้วี่แวว เจิ้งจิ่งเหอคิดว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวพันกับเจิ้งมู่หยางเป็นแน่เมื่อหาเสิ่นลี่จูไม่พบ เจิ้งจิ่งเหอก็ไม่เป็นอันทำสิ่งใด เขาเหมือนคนคลุ้มคลั่ง ในขณะที่กำลังสิ้นหวังเต็มที เขาก็เหลือบไปเห็นว่าบนโต๊ะมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ บนกระดาษมีข้อความเขียนเอาไว้คนรักของเจ้าอยู่ที่ป่าไผ่รกทึบ ห่างจากจวนตระกูลเฉิงไปไม่ไกล ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีร่องรอยของการขุดฝัง รีบไปก่อนจะไม่ทันการณ์เจิ้งจิ่งเหอกำจดหมายนั้นเอาไว้แน่น เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมา แต่ยามนี้ทางใดที่เหมือนแสงสว่างเขายินดีทำทั้งหมด กู้อวิ๋นหานเมื่อได้ทราบข่าวจากเจิ้งจิ่งเหอก็รีบไปช่วยตามหา แม่ทัพใหญ่เสิ่นนั้นก็เร่งตามไปเช่นเดียวกันชายหนุ่มทั้งสองมายังจุดที่จดหมายปริศนาบอกเอาไว้ เขาตรงไปที่ต้นไม้ใหญ่และพบร่องรอยการขุดดินจริง ๆเจิ้งจิ่งเหอรีบใช้
หลายสิบวันต่อมา ในที่สุดเจิ้งจิ่งเหอก็เดินทางมาถึงชายแดนเมืองหวายเยียนพร้อมกับกู้อวิ๋นหาน ครั้งนี้เขานำกำลังทหารมาไม่น้อยเลย แม่ทัพใหญ่โต้วรีบออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ครั้งนี้บิดาของเสิ่นลี่จูก็ออกมารับเสด็จเช่นเดียวกัน เจิ้งจิ่งเหอยังไม่ทันได้พบกับเสิ่นลี่จูก็รีบเร่งรุดไปที่ชายแดนเสียก่อน เขาจัดกำลังทหารใหม่ ได้พักเพียงวันเดียวก็ต้องออกรบทำศึกเสียแล้วเสิ่นลี่จูอยู่ที่จวนตระกูลเฉิง นางทำอาหารหลายอย่างและให้เจิ้งจิ่งเหอ กู้อวิ๋นหาน และคนอื่น ๆ ได้กินรองท้อง ตั้งแต่เขาเดินทางมาที่นี่ยังไม่ได้พบกับนางเลย แต่เสิ่นลี่จูกลับไม่ได้รู้สึกน้อยใจ นางรู้ดีว่าเขากำลังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการมากกว่าเรื่องของนางเจิ้งจิ่งเหอออกรบอยู่ที่นอกกำแพงเมือง เมื่อเขามาถึงก็ทำให้ได้ทราบว่า แท้จริงแล้วกุนซือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อสงครามครั้งนี้ก็คือเจิ้งมู่หยางเจิ้งมู่หยางยังไม่ตาย ศพที่พบก่อนหน้าคือคนทีี่ปลอมตัวเป็นเจิ้งมู่หยางโดยใช้หน้ากากหนังมนุษย์เพื่อหลอกให้เขาตายใจเจิ้งมู่หยางนำกำลังทหารของตนไปผนวกร่วมเข้ากับแคว้นอู๋ และร่วมมือกันก่อกบฏ โดยใช้อู๋อ๋องเป็นคนนำทัพ ส่วนตนเองนั้นคอยบงการอยู่เบื้องหลัง
หลายวันต่อมา เสิ่นฮูหยินก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งส่งมาจากเมืองหวายเยียน บอกว่าน้องชายของนางเกิดล้มป่วยกะทันหัน คาดว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน และอยากจะพบหน้านางซึ่งเป็นพี่สาวครั้งสุดท้าย เสิ่นฮูหยินจึงรีบสั่งให้คนเก็บข้าวของเพื่อเดินทางไปเมืองหวายเยียนทันทีเสิ่นฮูหยินมารดาของเสิ่นลี่จูเป็นสตรีที่มีถิ่นฐานเดิมมาจากเมืองหวายเยียน ยามนั้นแม่ทัพใหญ่เสิ่นไปออกรบ คนทั้งสองได้พบรักกัน มารดาของนางเป็นบุตรสาวของคหบดีที่ร่ำรวยผู้หนึ่งในเมืองหวายเยียน อีกทั้งยังมีกิจการอยู่ที่เมืองหลวงไม่น้อย เมื่อแต่งกับแม่ทัพใหญ่เสิ่นจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง ร้านรวงที่อยู่ในเมืองหลวง ทางครอบครัวได้มอบให้เป็นสินเดิมของนางทั้งหมดแม่ทัพใหญ่เสิ่นที่ได้ทราบข่าวก็ตั้งใจว่าจะเดินทางไปกับภรรยาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเขาไม่มีสิ่งใดต้องรับผิดชอบอีกแล้ว เสิ่นลี่จูก็ต้องร่วมเดินทางไปด้วยเช่นเดียวกัน เผื่อว่าทางใต้มีทำเลทิศทางทำการค้าได้ดี นางอาจจะเปิดภัตตาคารที่นั่นอีกสาขาหนึ่งเจิ้งจิ่งเหอที่ได้ทราบข่าวเดิมทีเขาไม่อยากให้นางไป ตอนนี้ทางทิศใต้สงครามยังไม่สงบ รองแม่ทัพโต้วซึ่งยามนี้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่โต้วคนใหม่ ได้ไปปราบ
เอ่ยจบเขาก็กึ่งเดินกึ่งลากตัวนางออกมาจากเรือน เสิ่นลี่จูรีบรั้งตนเองเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"ฝ่าบาท เหตุใดจึงทรงทำเช่นนี้เล่าเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอหันมาจ้องสตรีตรงหน้าเขม็ง"ทำไม หรือว่าเจ้าอยากแต่งกับเขา เสิ่นลี่จู ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ตรงนี้เลยนะ ข้าไม่มีวันให้เจ้าได้สมใจ""เพราะเหตุใด เราต่างไม่มีเรื่องติดค้างใจต่อกันแล้ว พระองค์ไม่มีสิทธิ์มาทำเช่นนี้ตามใจชอบ""เพราะว่าข้าชอบเจ้าได้ยินหรือไม่!""ฮะ!"เสิ่นลี่จูถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก นางรู้สึกว่าตนเองกำลังหูฝาดไป จึงเอ่ยถามเขาย้ำอีกหน"ฝ่าบาททรงเอ่ยว่าอย่างไรนะเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอถอนหายใจออกมา เขาเม้มริมฝีปากแน่น เสิ่นลี่จูนางหูหนวกหรือว่าหูตึงจึงไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาบอก เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตะโกนจนลั่นจวน"ข้าชอบเจ้า สตรีหน้าโง่ เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าข้าชอบเจ้า!"เสียงของเขาดังมาก ดังเสียจนทำให้บ่าวที่กวาดลานถึงกับทำไม้กวาดหล่นจากมือ สาวใช้ที่กำลังเช็ดจวนถึงกับทำผ้าหล่นลงพื้น แม่ทัพใหญ่เสิ่นหันไปมองฮูหยินของตนคราหนึ่งเมื่อได้ยินชัด ๆ แล้ว เสิ่นลี่จูก็ยิ้มออกมาในทันที นางไม่เคยคิดเลยว่ารักครั้งแรกของนางจะต้องมาเจ
เมื่อกลับมาอยู่ที่จวนแล้ว เสิ่นลี่จูก็เริ่มหมักสุราตามสูตรของนาง นางฝังสุราหลายไหเอาไว้ใต้ต้นไม้ สุราแต่ละชนิดล้วนมีเวลาการหมักบ่มของมัน เสิ่นลี่จูเองก็ไม่รีบร้อน อีกทั้งนางยังสั่งให้บ่าวไพร่ปลูกผักในจวนเอาไว้ขาย ไม่นานมานี้นางยังไปปรับปรุงภัตตาคารในเมืองหลวงซึ่งเป็นสินเดิมของมารดาเพื่อทำการค้าใหม่ ฝีมือการทำอาหารของเสิ่นลี่จูนับว่ายอดเยี่ยม ประจวบเหมาะกับนางนำความรู้จากยุคปัจจุบันมาประยุกต์ใช้ จึงทำให้อาหารที่ภัตตาคารของนางไม่เหมือนกับที่ใดที่ชวนให้ผู้คนสนใจมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นการสุ่มอาหาร ลูกค้าที่เข้ามาจะสามารถเลือกการจับฉลากสุ่มอาหารได้ เพียงจ่ายในราคาหนึ่งตำลึงสำหรับการสุ่มอาหารชุดใหญ่ ราคาสิบอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดกลาง และราคาสามอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดเล็ก พวกเขาจะไม่รู้เลยว่าอาหารชุดใหญ่นั้นจะมีอะไรบ้าง บางครายังได้สุราชั้นดีแถมกลับบ้านอีกด้วย เรื่องนี้สร้างความสนุกสนานแก่ผู้คนในเมืองหลวงไม่น้อยส่วนอาหารที่ขึ้นชื่ออีกอย่างก็คือ สลัดผัก เพราะในยุคโบราณมีวัตถุดิบไม่มาก นางจึงใช้น้ำมันงามาทำน้ำสลัดอย่างง่าย ๆ แต่รสชาติกลมกล่อมเป็นอย่างมาก สตรีในเมืองหลวงหลายคนที่ต้องการล
กว่าจะเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงก็เป็นเวลาเย็นย่ำมากแล้ว เมื่อกลับมาถึงตำหนักเสิ่นลี่จูก็รีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และมากินมื้อเย็น หลังจากกินอิ่มแล้ว นางจึงไปเยี่ยมกู้ไทเฮาและอยู่พูดคุยด้วยกันครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาที่ตำหนักของตนเสิ่นลี่จูก็เดินไปที่โต๊ะตำรา ก่อนจะเปิดตำราเล่มหนึ่ง ด้านในนั้นมีหนังสือสัญญาที่เขาและนางลงลายมือประทับเอาไว้ร่วมกัน ไม่รู้เพราะเหตุใดยามที่คิดว่าถึงเวลาจะต้องแยกทางกันแล้ว นางจึงรู้สึกเศร้าใจถึงเพียงนี้ไม่รู้ว่านางเกิดความรู้สึกผูกพันกับเจิ้งจิ่งเหอยามใด เดิมทีเขาและนางเปรียบเหมือนกับเส้นขนานที่ไม่อาจจะมาบรรจบกันได้ เขาไม่เคยรักนาง ส่วนนางก็ต้องกลับไปยังที่ที่ตนเองจากมา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการไม่สานความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกันนับว่าเป็นเรื่องดีเมื่อนึกเรื่องที่ต้องกลับไปยังโลกอนาคต เสิ่นลี่จูก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เรื่องของเสิ่นอ้ายเยว่ก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ว่าเหตุใดนางจึงกลับไปไม่ได้เล่าหญิงสาวมองไปโดยรอบ ก่อนจะพบเข้ากับเทพธิดาจิ้งจกที่เกาะอยู่ตรงประตู"เทพธิดาจิ้งจก ข้าไขคดีการตายของเสิ้นอ้ายเยว่ได้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่สามารถกลับไปได้อีกเล่า"เทพธิดาจิ้งจกปรา