เข้าสู่ระบบ"ถานถานเจ้าไปทำความสะอาดให้องให้นายหญิง"
หนานซ่งสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าหันมามองเขาก่อนจะยิ้มให้
"ไม่เกินหนึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อย" ถานถานรับปากอย่างมั่นใจ ก่อนที่จะก้มศีรษะและหันไปทางเหมยจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ
"ข้าไปช่วยเจ้าด้วย" เหมยจิ้งพูดขึ้น พร้อมยิ้มให้กับถานถาน สองสาวเดินจากไปพร้อมกันอย่างรวดเร็ว
หนานซ่งหันไปทางจือจื่อ ยิ้มและกล่าวด้วยความเคารพ
"เชิญนายหญิงทางนี้ขอรับ ที่นั่นสะอาดพอให้ได้นั่งขอรับ ส่วนข้าน้อยจะไปช่วยทั้งสองคนจับไก่"
จือจื่อพยักหน้ารับ ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่หินอ่อนก้อนใหญ่ที่ดูเหมาะแก่การนั่งพักผ่อน
หนานซ่งและสองแฝดเดินไปยังประตูใหญ่ของจวน จือจื่อหันหลังให้พวกเขาแล้วถอนหายใจยาว เหมือนกำลังผ่อนคลายความกังวลที่สะสมมานาน
"อย่างน้อยก็ไม่แย่นะ ทุกคนดี แวดล้อมดี และชีวิตแสนสบายดี..." เธอพูดเบาๆ พลางบิดขี้เกียจด้วยท่าทางผ่อนคลาย
"เฮ้อ สาวแก่อย่างฉัน จะต้องเอาตัวรอดได้สิน่าฮุๆๆ ไม่มีอะไรในโลกที่จือจื่อทำไม่ได้ยกเว้นการมีผัว..." จือจื่อพูดเล่นหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อ
"ก็สเปคฉันคือเทพเซียนนี่น่า ฮึ ถ้าไม่หล่อไม่ดีเหมือนเทพเซียน ไม่ต้องมาพูดกัน"
หันมองรอบๆ กาย บ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความสงบ ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่พอเหมาะพอดีสำหรับการพักผ่อนและสร้างฐานชีวิตใหม่ให้กับตัวเอง
"จวนใหญ่อลังการขนาดนี้ ไม่ใช่แค่ที่ซุกหัวนะ... แต่จือจื่อสัญญาว่าจะทำให้มันเป็นสวรรค์บนโลกใบใหม่ของจื่อจื่อเอง"
พูดพลางมองไปยังห้องต่างๆ ที่ยังมีหยากไย่และฝุ่นจับหนาเตอะ ในใจจือจื่อคิดถึงอนาคตที่เธอต้องจัดการ สร้างทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีขึ้นจากวันนี้ไป จะต้องเปลี่ยนเป็นชีวิตให้ที่เต็มไปด้วยความสุขและความรุ่งเรือง แม้จะมีเพียงตัวเองและผู้ร่วมทางไม่กี่คน แต่จือจื่อก็มั่นใจว่าจะสามารถพิชิตทุกสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด
เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เหมยจิ้งกับถานถานที่เข้ากันได้ดีก็เดินเข้ามาหาจือจื่อ พร้อมเสียงหัวเราะคิกคักที่ดังไปทั่ว
"นายหญิงเจ้าขารอนานไหมเจ้าค่ะ เหมยจิ้งกับถานถาน เราเก็บลูกพรุนสุกมาฝากด้วยเจ้าค่ะ"
ถานถานที่ถือกระโปรงสีหม่นห่อหุ้มลูกพรุนมามากมาย เดินมาหยุดข้างๆ หินก้อนใหญ่ที่คล้ายโต๊ะ แล้วเทลูกพรุนสีม่วงอมแดงลงบนหินอย่างระมัดระวัง บางลูกเป็นสีม่วงเข้มที่ดูเด่นสะดุดตา
จือจื่อตาโตด้วยความตื่นเต้นและยิ้มกว้างเมื่อเห็นลูกพรุนหลากสีสวยงามนั้น
"โอ้โห้ น่ากินจัง"
พูดอย่างตื่นเต้น ถานถานยิ้มก่อนจะยื่นมือออกไปเลือกหยิบลูกพรุนสีม่วงเข้มและใหญ่ที่สุด ที่ดูเหมือนจะหวานที่สุดจากกอง ลูกพรุนที่มีกลิ่นหอมกรุ่นส่งกลิ่นลอยตามลมมา ทำให้จือจื่ออดไม่ได้ที่จะยิ้ม
จากนั้นจือจื่อกัดลูกพรุนเข้าไปคำใหญ่ พลันดวงตากลมโตของก็เหมือนจะยิ้มได้กว้างขึ้น
"อือ อร่อยจัง" จือจื่อพูดด้วยความพอใจ ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความประทับใจในรสชาติที่หอมหวานและเปรี้ยวเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยิ้มให้เหมยจิ้ง
เหมยจิ้งยิ้มตอบกลับ พร้อมหยิบลูกพรุนอีกสามลูกส่งให้จือจื่อ
"ด้านหลังมีต้นพรุนที่สุกกำลังพอดี เจ้าค่ะ พอจะรองท้องได้กว่าท่านพ่อบ้านกับสองแฝดจะนำอาหารมา"
เหมยจิ้งพูดอย่างอ่อนโยน พลางยิ้มให้กับจือจื่อที่ดูเหมือนจะเพลิดเพลินกับลูกพรุนอยู่ไม่น้อย
จือจื่อพยักหน้ารับ ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลาย และค่อยๆ กัดลูกพรุนในมืออีกคำหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา
"เรามากินด้วยกันเถอะ" สายลมเย็นๆ พัดผ่าน ทำให้บรรยากาศรอบๆ ยิ่งดูสดชื่นไปด้วย เสียงพูดคุยของทั้งสามดังไปทั่วสวนของจวนร้าง จือจื่อยิ้มให้เหมยจิ้งและถานถาน ก่อนจะหยิบลูกพรุนขึ้นอีกลูกและส่งให้เหมยจิ้งกินบ้าง เหมยจิ้งรับไปพร้อมกับรอยยิ้ม และทั้งสองก็นั่งกินลูกพรุนกันอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะและการพูดคุยกันเบาๆ ทำให้สถานที่ร้างๆ ดูสดชื่นขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด
จือจื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากการอยู่กับคนที่เชื่อใจได้
เพียงไม่นานพ่อบ้านหนานซ่ง โจวชวี่ และชูอวี่ก็กลับมาถึงจวน โดยที่ไหล่ของชูอวี่มีไก่ป่าพวงใหญ่ถูกมัดรวมกันไว้ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ขนฟูหนาและยังไม่ตาย ส่วนโจวชวี่ก็ถือพวงปลาตัวใหญ่นับสิบตัว ที่มีขนาดใหญ่มีความสดใหม่
"ฮือหือ เก่งจัง" จือจื่อเอ่ยชมด้วยเสียงเบา รอยยิ้มแสดงออกมาจากใบหน้าอย่างพอใจ เมื่อเห็นว่าทุกคนกลับมาพร้อมกับอาหารสดใหม่ที่สามารถนำมาทำเป็นมื้ออาหารได้ทันที ถานถานกับเหมยจิ้งก็พาลตื่นเต้นไปด้วย ต่างก็เดินเข้าไปใกล้แล้วมองดูของที่นำกลับมา
"บ่วงของนายหญิงใช้ได้ดีจริง และเบ็ดตกปลานั่นยังทำให้เราได้ปลาตัวใหญ่มากมาย"
พ่อบ้านหนานซ่งพูดขึ้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม ท่ามกลางการสนทนา เขายิ้มให้จือจื่อด้วยความเคารพ ที่เต็มไปด้วยความประทับใจในจือจื่อ
"เจ้านี่สุดยอดจริงๆนายหญิงบ่วงของเจ้าทำเอาข้าคาดไม่ถึงเพียงนี้ต่อไปเราจะมีไก่กินตลอดไก่ป่าชุกชุมบ่วงของเจ้าช่วยเราได้มากทีเดียว"
จือจื่อพยักหน้าเบาๆ และยิ้มให้กับทุกคน ทันใดนั้นก็เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการได้พึ่งพาตัวเองแบบนี้สิชีวิต เข้าใจแล้วว่าแค่การอยู่รอดในโลกนี้จะต้องรู้จักใช้ความสามารถและการสร้างสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าความเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต้องมีวิธีที่จะจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง
"ดีมาก" จือจื่อพูดพลางยิ้มกว้าง
"เราจะทำอาหารให้อร่อยที่สุด แล้วก็แบ่งปันกันกิน"พูดออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ พร้อมกับยิ้มให้กับทุกคนที่ยืนอยู่รอบตัว
"ถานถานเจ้าไปทำความสะอาดให้องให้นายหญิง" หนานซ่งสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าหันมามองเขาก่อนจะยิ้มให้ "ไม่เกินหนึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อย" ถานถานรับปากอย่างมั่นใจ ก่อนที่จะก้มศีรษะและหันไปทางเหมยจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ"ข้าไปช่วยเจ้าด้วย" เหมยจิ้งพูดขึ้น พร้อมยิ้มให้กับถานถาน สองสาวเดินจากไปพร้อมกันอย่างรวดเร็วหนานซ่งหันไปทางจือจื่อ ยิ้มและกล่าวด้วยความเคารพ"เชิญนายหญิงทางนี้ขอรับ ที่นั่นสะอาดพอให้ได้นั่งขอรับ ส่วนข้าน้อยจะไปช่วยทั้งสองคนจับไก่"จือจื่อพยักหน้ารับ ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่หินอ่อนก้อนใหญ่ที่ดูเหมาะแก่การนั่งพักผ่อนหนานซ่งและสองแฝดเดินไปยังประตูใหญ่ของจวน จือจื่อหันหลังให้พวกเขาแล้วถอนหายใจยาว เหมือนกำลังผ่อนคลายความกังวลที่สะสมมานาน "อย่างน้อยก็ไม่แย่นะ ทุกคนดี แวดล้อมดี และชีวิตแสนสบายดี..." เธอพูดเบาๆ พลางบิดขี้เกียจด้วยท่าทางผ่อนคลาย "เฮ้อ สาวแก่อย่างฉัน จะต้องเอาตัวรอดได้สิน่าฮุๆๆ ไม่มีอะไรในโลกที่จือจื่อทำไม่ได้ยกเว้นการมีผัว..." จือจื่อพูดเล่นหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อ"ก็สเปคฉันคือเทพเซียนนี่น่า ฮึ ถ้าไม่หล่อ
"พวกข้าก็พึ่งมาถึง เลยมาดูทำเลก่อน คิดกันว่าที่นี่รกร้าง ยึดสักห้องจะเป็นไรไป""พวกเจ้าตาถึงจริงๆ เลือกที่ดีเชียว ได้ข้าแบ่งให้พวกเจ้าช่วยกันครอบครองที่นี่" จือจื่อหัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกายเหมยจิ้งเดินกลับมาในจังหวะที่เสียงหัวเราะของจือจื่อกับสองแฝดยังดังไม่ขาดสามหัวสุมหัวเม้าท์มอยไปเรื่อยอย่างเข้าขา เหมยจิ้งมือถือตะกร้าใบเล็ก ภายในมีเข็ม ด้ายและเชือก อีกมือมีจานไม้ที่วางไก่สับแบ่งเรียบร้อยแล้ว กลิ่นอาหารลอยมาแล้วทำให้ทุกคนชะงักหันมามองด้านหลังเหมยจิ้งมีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงและสาวน้อยคนหนึ่งเดินตามมาด้วย สีหน้าทั้งคู่ดูทั้งตื่นเต้นทั้งเกร็ง เสื้อผ้าสีทึมเกือบขาด ชายคนนั้นก้าวเข้ามา พอเห็นจือจื่อนั่งอยู่ก็รีบคำนับอย่างลนลาน"ข้าน้อยหนานซ่ง เป็นพ่อบ้านดูแลจวนหลังนี้ คารวะพระสนม…ข้า…ข้าน้อยผิดเองที่ไม่ทราบว่าจะมีผู้ใดมาพัก ยังปล่อยให้จวนทรุดโทรมถึงเพียงนี้" หนานซ่งก้มศีรษะต่ำลงอีกครั้ง"พูดตามตรง…ข้าน้อยไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาอยู่ที่นี่จริงๆ"โจวชวี่กับชูอวี่ที่กำลังแทะไก่ของตัวเองมองหน้ากัน ก่อนจะวางไก่ลงแล้วกอดอกยืดตัวเชิดหน้าโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเหมือนเพิ่งได้ชัยชนะบางอย่างจากการ
"ตกปลา ล่าไก่หรือ เจ้าเป็นสนมอยู่ในวัง เป็นลูกขุนนาง คงไม่รู้ว่าเรื่องพวกนี้ทำยากขนาดไหน กว่าจะใช้ธนูยิงมาได้แต่ละตัว พวกข้าก็ไม่มีธนูตอนนี้"จือจือทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา"พวกเจ้านี่ไม่คิดจะพัฒนาบ้างหรือไร ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวข้าสอนวิธีดีๆ ให้ มีร้อยแปดวิธีในการจับไก่"โจวชวี่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ"เจ้าเอาเครื่องมือมาหรือ ดีเลย"จือจือส่ายหน้าอย่างอารมณ์ดี"ข้าจะทำเองให้พวกเจ้าต่างหาก แต่ว่าต้องใช้เวลา"นางเอามือลูบท้องตัวเองที่ร้องประท้วงไม่หยุด เสียงดังจ๊อกเบาๆ"ตอนนี้เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งคือข้ากำลังหิวมาก ไก่ย่างของพวกเจ้าก็เอามาแบ่งเท่าๆ กัน รองท้องไปก่อนเถอะ อิ่มด้วยกัน อดด้วยกัน"จือจือเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายอย่างคนเห็นภาพอนาคตไกล"ข้ารับรองว่าต่อจากนี้เราจะมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีสังกะสีคุ้มหัว เจ้าไม่ต้องห่วง"เหมยจิ้งยืนมองนายหญิงของตนอย่างตะลึง ส่วนเด็กหนุ่มทั้งสองยืนนิ่งไปชั่วอึดใจ โจวชวี่กับชูอวี่เผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว ความสดใสของจือจื่อทำให้บรรยากาศในตำหนักร้างที่มืดหม่นดูอ่อนลง หญิงอ้วนผู้มีแววตาสดใสคนนี้ประหลาดจริงเชียวโจวชวี่ก้มลงหยิ
จือจื่อเดินตามเหมยจิ้งเข้าไปด้วย ในจวนใหญ่รกร้างนั่นนับว่าคนขับรถม้าใจดีไม่น้อยอย่างน้อยอากาศหนาวๆ แบบนี้ทั้งสองก็ยังพอมีที่ซุกหัวนอนความเงียบงันของตำหนักร้างทำให้ทุกก้าวที่เหยียบลงไปเหมือนเหยียบลงบนหัวใจตัวเอง จือจื่อกวาดสายตามองซ้ายมองขวา ผนังไม้ผุพัง เถาวัลย์เลื้อยพันรั้ว เดินทะลุผ่านโถงด้านในไปจนถึงด้านหลังที่ถูกกั้นไว้เหมือนสวนร้าง หญ้าขึ้นรกสูงเกือบถึงเข่า กลิ่นอับชื้นปะปนกับกลิ่นควันจางๆ ลอยมากระทบจมูกดวงตาของจือจื่อเบิกกว้าง เมื่อเห็นควันไฟลอยออกมาจากห้องเก็บฟืนเก่าด้านหลัง หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก"แย่แล้วเหมยจิ้ง ใครมาเผาบ้าน รีบมาช่วยกันดับไฟเร็ววววว"เสียงตะโกนของนางดังลั่นจนเหมยจิ้งสะดุ้ง จือจื่อไม่รอช้า วิ่งพรวดเข้าไปผลักประตูห้องเก็บฟืนอย่างแรง ประตูไม้ผุส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ก่อนจะเปิดออกพร้อมควันขาวลอยคลุ้งภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้นางชะงัก บุรุษหนุ่มสองคน อายุราวสิบห้าปี หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกัน เสื้อผ้าขาดรุ่ย เนื้อตัวมอมแมม นั่งยองๆ อยู่ข้างกองไฟเล็กๆ ที่ก่อจากเศษไม้แห้งทั้งสองอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะหงายหลังล้มผงะออกจากกองไฟด้วยความตกใจ"อ๊าก"
"ข้าจะต้องเอาชีวิตรอดให้ได้..." เยว่จื่อพูดในใจ รู้สึกถึงความหนักหน่วงที่กำลังจะมาถึง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหมยจิ้งจับมือของเยว่จื่อแน่นขึ้น รู้ดีว่าการสนับสนุนจากใครสักคนคือสิ่งเดียวที่สามารถทำให้เยว่จื่อผ่านพ้นจากความยากลำบากนี้ไปได้"เจ้าค่ะ นายหญิงจือจื่อ" ในยามที่ร่างกายอ่อนล้า ใจของเยว่จื่อยังคงแข็งแกร่งไม่แพ้ใครเยว่จื่อพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเริ่มหลับตาลง ทุกอย่างมันเหมือนกับภาพลวงตาแต่อย่างน้อย ร่างนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่...หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากการถูกเนรเทศมาที่ตำหนักร้างนั้น เต็มไปด้วยความเหน็บหนาวและความอดอยาก ตำหนักที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงศักดิ์ตอนนี้กลับกลายเป็นที่รกร้าง เต็มไปด้วยเถาวัลย์และฝุ่นเก่าทึม จนแทบไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาใกล้ รถม้านำทั้งสองคนมาทิ้งไว้ที่นี่"ไม่มีอะไรกินได้เลยเจ้าค่ะ... โธ่...นายหญิงของเหมยจิ้งต้องหิวมากๆ เลยใช่ไหมเจ้าค่ะ..." เสียงของเหมยจิ้งแผ่วเบาด้วยความห่วงใยจือจื่อลองยืนมองรอบๆ ตำหนักที่ถูกทิ้งร้าง บรรยากาศรอบๆ มืดมัวและเงียบสงัด เหมือนกับว่าไม่มีอะไรที่น่าพึงพอใจเยว่จื่อหรือจือจื่อหันมองไปที่เหมยจิ้งอย่างเหนื่อยล้าและท้อแท้ ร่
เสียงฟาดของไม้กระหน่ำลงบนแผ่นหลังของเยว่จื่อดังสนั่น แรงของการตีทำให้ร่างอ้วนๆ ของนางสะท้านไปทั้งตัว แต่เยว่จื่อยังคงตั้งท่าหยัดยืน มือกุมที่แผ่นหลังที่กำลังเจ็บปวด ทว่าไม่ยอมร้องเสียงดัง ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอที่ทุกคนหวังจะได้เห็น แม้จะรู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งตัวก็ตาม"ฮึก... อึก…" เสียงหอบแห้งของนางดังขึ้น เฉพาะในใจที่เผชิญกับความเจ็บปวดจนแทบจะไม่สามารถทนได้ แต่ทุกคำพูดที่ออกจากปากกลับเป็นเสียงด่าทอ"พวกคนสารเลวข้าไม่มีทางอภัยให้พวกเจ้า" เยว่จื่อกัดฟันกรอดร่างของนางสะเทือนจากไม้ที่ฟาดลงอย่างแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่ารู้ว่าอับจนหนทางแล้วรอยยิ้มระรื่นก่อนหน้านั้นมลายหายไปบุรุษกำยำที่ยืนคอยจับตัวหากว่าจะหนี ขณะที่กลุ่มสนมเอกและพวกที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย เหมยจิ้งที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงฟาดไม้สะท้านไปทั่วตำหนักแต่ก็ไม่สามารถหยุดการกระทำของกลุ่มคนที่อยู่รอบข้างได้ หลินซื่อหานยืนอยู่ข้างๆ ไม่กล้าขยับตัวไปไหน แม้จะรู้สึกเจ็บปวดกับการเห็นลูกสาวของตัวเองโดนทำร้ายเช่นนี้"พระสนมได้โปรด... ข้าขอร้องเถิด" หลินซื่อหานร้องตะโกนออกไป สีหน้าของเขามืดมนไปด้วยความสิ้นหวังและเจ็บปวด แต่อีกด้านห







