Masuk"พระสนมเจ้าคะ! นี่… นายท่านหลินซื่อหาน บิดาท่านเจ้าค่ะ ปกติท่านเรียกว่า ท่านพ่อ…"เหมยจิ้งอธิบายอย่างรู้งาน
หลินซื่อหานเดินสับเท้าเร็ว ร่างสูงใหญ่ของเขาดูผ่านลมหนาวมาอย่างอ่อนล้า แต่สายตาเมื่อเห็นลูกสาวกลับสว่างขึ้นทันที
"โถ่วว เยว่จื่อ… เจ้าก็ไม่น่าเลย…"
เขารีบถลาเข้าไปคว้าตัวนาง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงจนสั่น เยวาจือรีบกลั่นหายใจเบือนหน้าหนีเสีย
"แค่เจ้าอยากร่ำสุรา…ก็อดใจอีกนิดสิลูกเอ๊ย บอกพ่อก็ได้ พ่อจะหามาให้"
มือใหญ่ยกขึ้นตบแขนเยว่จือเบาๆ แบบดุๆ แต่เอ็นดู ไม่กล้าตีจริงสักนิด ได้แค่ทำท่าตีด้วยความรัก
เยว่จื่อหัวเราะเบาๆ คว้ามือพ่อไว้เหมือนปลอบกลับ
"ท่านพ่อ… สบายใจได้เถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอะไรสักหน่อย จะเขียนจดหมายมาหาท่านบ่อยๆ นะ"
เยว่จือหัวเราะจนพุงกระเพื่อม
"ข้าเก่งจะตาย เรื่องแค่นี้สบายมาก ตอนนี้ข้ารู้จักความลำบากแล้ว ไม่ใช่คุณหนูอย่างแต่ก่อนหรอกท่านพ่อวางใจเถอะ"
หลินซื่อหานได้ยินก็ยิ่งน้ำตาคลอ
"เยว่จื่อ… เจ้าไม่รู้อะไรเลย…"
เขาส่ายหัวอย่างเจ็บปวด
"เมืองอี้นั้นลำบากแค่ไหน ต่อให้เจ้าเป็นขอทานอยู่เมืองหลวง… เจ้ายังอยู่ดีกินดีกว่าที่นั่นเสียอีก ที่นั่นไม่มีอะไรดีเลยแม้แต่นิด ห่างไกลผู้คน ข้าวก็ปลูกยาก น้ำก็ขาดแคลน… ชาวบ้านยังจะไม่อยู่กันแล้วเมืองอี้คือเมืองที่กำลังจะกลายเป็นทะเลทราย"
เยว่จื่อยิ้มอ่อนลง ดวงตานุ่มลึกอย่างรู้สึกสงสารผู้ชายคนนี้ที่รักลูกสาวเก่าของร่างนี้มากเหลือเกิน
(แต่ไม่รู้เลย… ว่าลูกสาวของท่านตายไปแล้ว)
หลินซื่อหานเห็นเธอยิ้ม ก็ยิ้มตามอย่างโล่งอกเล็กๆ
"เยว่จื่อ… เจ้ายิ้มอะไร… พ่อเป็นห่วงเจ้าจริงๆ นะ ลูกพ่ออ่อนแอ ขี้กลัวมาตลอด จะทนความลำบากเช่นนี้ได้อย่างไร…"
คำถามนั้นลอยค้างในอากาศ
และเยว่จื่อ… ก็แค่ยิ้มบางๆ ซ่อนความลับทั้งหมดไว้หลังดวงตาเจิดใสของนางเท่านั้นเอง
เยว่จื่อรู้สึกถึงความห่วงใยที่ลึกซึ้งในสายตาของท่านพ่อ เมื่อเห็นน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาของเขา มันทำให้หัวใจนางปวดหนึบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งที่รู้ดีว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่กลับต้องมาห่วงใยผู้ที่ไม่รู้ว่าในที่สุดแล้วคนที่รักนางจริงๆ ก็เป็นเพียงเงาของตัวเองจากร่างที่ตายไปแล้ว
นางยิ้มเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้า ใบหน้าระยะใกล้กับท่านพ่อ ขอโอกาสให้ตัวเองมีเสียงที่มั่นคงและมั่นใจ
"ท่านพ่อ…" น้ำเสียงเยว่จื่อหนักแน่นที่สุด
"ท่านไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ข้าผ่านมันได้แน่นอน" นางยิ้มอ่อนๆ อีกครั้ง พร้อมทั้งจับมือของท่านพ่อขึ้นมา จับมันเบาๆ เพื่อให้เขารู้สึกถึงความมั่นใจที่นางมีในตอนนี้
"ข้าเคยผ่านการเจอเรื่องร้ายๆ มาแล้ว และข้าก็จะผ่านเรื่องนี้ไปได้เช่นกัน ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ข้าจะอยู่รอด แล้วคอยส่งข่าวให้ท่านรู้ท่านจะได้สบายใจ"
หลินซื่อหานนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาหลับตาลงเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นเช็ดน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ทำไม่ได้ พูดไม่ออก เพราะความกังวลใจที่เกาะกินอยู่ในใจ
"เยว่จื่อ…" เขาพูดเสียงเบาหวิว ก่อนจะยิ้มบางๆ
"ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าจะทนไม่ไหว… แต่ถ้าเจ้ามั่นใจแบบนี้ พ่อก็วางใจได้แล้ว ข้าไม่เคยอยากให้เจ้าต้องพบกับความลำบาก แต่ถ้าเจ้าบอกว่าผ่านไปได้ พ่อก็เชื่อเจ้าหมดใจฝ่าบาทก็นะใจร้ายเหลือเกิน"
“ไม่ต้องห่วงน่า…ข้าสบายมาก”
แม้จะพยายามกลั้นน้ำตา แต่ในที่สุด หลินซื่อหานก็ยิ้มออกมาบางๆ ด้วยความซาบซึ้งในใจ เขาเข้าใจแล้วว่าเยว่จื่อลูกสาวคนนี้สามารถดูแลตัวเองได้จริงๆ แม้จะลำบากก็จะสู้ต่อไปได้
"ขอบใจนะ…ที่ยิมทำเพื่อพ่อถวายตัวทั้งๆ ที่ไม่เคยได้อุ่นเตียงให้ฝ่าบาทสักครั้งเป็นพ่อเองสินะที่ทำร้ายเจ้า หากเจ้าอยู่ข้างนอกป่านนี้คงจะแต่งกับคยนที่รักมีลูกเต้มบ้านไปแล้ว" เสียงของหลินซื่อหานอ่อนล้าและอบอุ่น
เยว่จื่อยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะพูดอีกครั้ง
"ท่านพ่ออย่าห่วงนะ ข้าสัญญา ข้าจะดูแลตัวเองดีๆ ไม่ให้ท่านต้องกังวล"
หลินซื่อหานไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาแค่ยิ้มให้ลูกสาวและบีบมือของนางเบาๆ เป็นการแสดงความรักและความหวังดีที่ไม่มีคำพูดใดมาบรรยายได้
บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความเงียบงันชั่วครู่ สองพ่อลูกไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ความเข้าใจกันและความมั่นใจในตัวกันกลับถูกส่งผ่านจากมือที่จับกันอย่างอบอุ่น
"ข้าจะเขียนจดหมายถึงท่านพ่อบ่อยๆ นะ" เยว่จื่อพูดทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มก่อนที่ท่านพ่อจะลาจากไป
หลินซื่อหานพยักหน้าช้าๆ หนึ่งครั้ง แล้วเดินออกไปจากห้อง
"ถานถานเจ้าไปทำความสะอาดให้องให้นายหญิง" หนานซ่งสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าหันมามองเขาก่อนจะยิ้มให้ "ไม่เกินหนึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อย" ถานถานรับปากอย่างมั่นใจ ก่อนที่จะก้มศีรษะและหันไปทางเหมยจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ"ข้าไปช่วยเจ้าด้วย" เหมยจิ้งพูดขึ้น พร้อมยิ้มให้กับถานถาน สองสาวเดินจากไปพร้อมกันอย่างรวดเร็วหนานซ่งหันไปทางจือจื่อ ยิ้มและกล่าวด้วยความเคารพ"เชิญนายหญิงทางนี้ขอรับ ที่นั่นสะอาดพอให้ได้นั่งขอรับ ส่วนข้าน้อยจะไปช่วยทั้งสองคนจับไก่"จือจื่อพยักหน้ารับ ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่หินอ่อนก้อนใหญ่ที่ดูเหมาะแก่การนั่งพักผ่อนหนานซ่งและสองแฝดเดินไปยังประตูใหญ่ของจวน จือจื่อหันหลังให้พวกเขาแล้วถอนหายใจยาว เหมือนกำลังผ่อนคลายความกังวลที่สะสมมานาน "อย่างน้อยก็ไม่แย่นะ ทุกคนดี แวดล้อมดี และชีวิตแสนสบายดี..." เธอพูดเบาๆ พลางบิดขี้เกียจด้วยท่าทางผ่อนคลาย "เฮ้อ สาวแก่อย่างฉัน จะต้องเอาตัวรอดได้สิน่าฮุๆๆ ไม่มีอะไรในโลกที่จือจื่อทำไม่ได้ยกเว้นการมีผัว..." จือจื่อพูดเล่นหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อ"ก็สเปคฉันคือเทพเซียนนี่น่า ฮึ ถ้าไม่หล่อ
"พวกข้าก็พึ่งมาถึง เลยมาดูทำเลก่อน คิดกันว่าที่นี่รกร้าง ยึดสักห้องจะเป็นไรไป""พวกเจ้าตาถึงจริงๆ เลือกที่ดีเชียว ได้ข้าแบ่งให้พวกเจ้าช่วยกันครอบครองที่นี่" จือจื่อหัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกายเหมยจิ้งเดินกลับมาในจังหวะที่เสียงหัวเราะของจือจื่อกับสองแฝดยังดังไม่ขาดสามหัวสุมหัวเม้าท์มอยไปเรื่อยอย่างเข้าขา เหมยจิ้งมือถือตะกร้าใบเล็ก ภายในมีเข็ม ด้ายและเชือก อีกมือมีจานไม้ที่วางไก่สับแบ่งเรียบร้อยแล้ว กลิ่นอาหารลอยมาแล้วทำให้ทุกคนชะงักหันมามองด้านหลังเหมยจิ้งมีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงและสาวน้อยคนหนึ่งเดินตามมาด้วย สีหน้าทั้งคู่ดูทั้งตื่นเต้นทั้งเกร็ง เสื้อผ้าสีทึมเกือบขาด ชายคนนั้นก้าวเข้ามา พอเห็นจือจื่อนั่งอยู่ก็รีบคำนับอย่างลนลาน"ข้าน้อยหนานซ่ง เป็นพ่อบ้านดูแลจวนหลังนี้ คารวะพระสนม…ข้า…ข้าน้อยผิดเองที่ไม่ทราบว่าจะมีผู้ใดมาพัก ยังปล่อยให้จวนทรุดโทรมถึงเพียงนี้" หนานซ่งก้มศีรษะต่ำลงอีกครั้ง"พูดตามตรง…ข้าน้อยไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาอยู่ที่นี่จริงๆ"โจวชวี่กับชูอวี่ที่กำลังแทะไก่ของตัวเองมองหน้ากัน ก่อนจะวางไก่ลงแล้วกอดอกยืดตัวเชิดหน้าโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเหมือนเพิ่งได้ชัยชนะบางอย่างจากการ
"ตกปลา ล่าไก่หรือ เจ้าเป็นสนมอยู่ในวัง เป็นลูกขุนนาง คงไม่รู้ว่าเรื่องพวกนี้ทำยากขนาดไหน กว่าจะใช้ธนูยิงมาได้แต่ละตัว พวกข้าก็ไม่มีธนูตอนนี้"จือจือทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา"พวกเจ้านี่ไม่คิดจะพัฒนาบ้างหรือไร ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวข้าสอนวิธีดีๆ ให้ มีร้อยแปดวิธีในการจับไก่"โจวชวี่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ"เจ้าเอาเครื่องมือมาหรือ ดีเลย"จือจือส่ายหน้าอย่างอารมณ์ดี"ข้าจะทำเองให้พวกเจ้าต่างหาก แต่ว่าต้องใช้เวลา"นางเอามือลูบท้องตัวเองที่ร้องประท้วงไม่หยุด เสียงดังจ๊อกเบาๆ"ตอนนี้เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งคือข้ากำลังหิวมาก ไก่ย่างของพวกเจ้าก็เอามาแบ่งเท่าๆ กัน รองท้องไปก่อนเถอะ อิ่มด้วยกัน อดด้วยกัน"จือจือเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายอย่างคนเห็นภาพอนาคตไกล"ข้ารับรองว่าต่อจากนี้เราจะมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีสังกะสีคุ้มหัว เจ้าไม่ต้องห่วง"เหมยจิ้งยืนมองนายหญิงของตนอย่างตะลึง ส่วนเด็กหนุ่มทั้งสองยืนนิ่งไปชั่วอึดใจ โจวชวี่กับชูอวี่เผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว ความสดใสของจือจื่อทำให้บรรยากาศในตำหนักร้างที่มืดหม่นดูอ่อนลง หญิงอ้วนผู้มีแววตาสดใสคนนี้ประหลาดจริงเชียวโจวชวี่ก้มลงหยิ
จือจื่อเดินตามเหมยจิ้งเข้าไปด้วย ในจวนใหญ่รกร้างนั่นนับว่าคนขับรถม้าใจดีไม่น้อยอย่างน้อยอากาศหนาวๆ แบบนี้ทั้งสองก็ยังพอมีที่ซุกหัวนอนความเงียบงันของตำหนักร้างทำให้ทุกก้าวที่เหยียบลงไปเหมือนเหยียบลงบนหัวใจตัวเอง จือจื่อกวาดสายตามองซ้ายมองขวา ผนังไม้ผุพัง เถาวัลย์เลื้อยพันรั้ว เดินทะลุผ่านโถงด้านในไปจนถึงด้านหลังที่ถูกกั้นไว้เหมือนสวนร้าง หญ้าขึ้นรกสูงเกือบถึงเข่า กลิ่นอับชื้นปะปนกับกลิ่นควันจางๆ ลอยมากระทบจมูกดวงตาของจือจื่อเบิกกว้าง เมื่อเห็นควันไฟลอยออกมาจากห้องเก็บฟืนเก่าด้านหลัง หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก"แย่แล้วเหมยจิ้ง ใครมาเผาบ้าน รีบมาช่วยกันดับไฟเร็ววววว"เสียงตะโกนของนางดังลั่นจนเหมยจิ้งสะดุ้ง จือจื่อไม่รอช้า วิ่งพรวดเข้าไปผลักประตูห้องเก็บฟืนอย่างแรง ประตูไม้ผุส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ก่อนจะเปิดออกพร้อมควันขาวลอยคลุ้งภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้นางชะงัก บุรุษหนุ่มสองคน อายุราวสิบห้าปี หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกัน เสื้อผ้าขาดรุ่ย เนื้อตัวมอมแมม นั่งยองๆ อยู่ข้างกองไฟเล็กๆ ที่ก่อจากเศษไม้แห้งทั้งสองอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะหงายหลังล้มผงะออกจากกองไฟด้วยความตกใจ"อ๊าก"
"ข้าจะต้องเอาชีวิตรอดให้ได้..." เยว่จื่อพูดในใจ รู้สึกถึงความหนักหน่วงที่กำลังจะมาถึง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหมยจิ้งจับมือของเยว่จื่อแน่นขึ้น รู้ดีว่าการสนับสนุนจากใครสักคนคือสิ่งเดียวที่สามารถทำให้เยว่จื่อผ่านพ้นจากความยากลำบากนี้ไปได้"เจ้าค่ะ นายหญิงจือจื่อ" ในยามที่ร่างกายอ่อนล้า ใจของเยว่จื่อยังคงแข็งแกร่งไม่แพ้ใครเยว่จื่อพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเริ่มหลับตาลง ทุกอย่างมันเหมือนกับภาพลวงตาแต่อย่างน้อย ร่างนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่...หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากการถูกเนรเทศมาที่ตำหนักร้างนั้น เต็มไปด้วยความเหน็บหนาวและความอดอยาก ตำหนักที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงศักดิ์ตอนนี้กลับกลายเป็นที่รกร้าง เต็มไปด้วยเถาวัลย์และฝุ่นเก่าทึม จนแทบไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาใกล้ รถม้านำทั้งสองคนมาทิ้งไว้ที่นี่"ไม่มีอะไรกินได้เลยเจ้าค่ะ... โธ่...นายหญิงของเหมยจิ้งต้องหิวมากๆ เลยใช่ไหมเจ้าค่ะ..." เสียงของเหมยจิ้งแผ่วเบาด้วยความห่วงใยจือจื่อลองยืนมองรอบๆ ตำหนักที่ถูกทิ้งร้าง บรรยากาศรอบๆ มืดมัวและเงียบสงัด เหมือนกับว่าไม่มีอะไรที่น่าพึงพอใจเยว่จื่อหรือจือจื่อหันมองไปที่เหมยจิ้งอย่างเหนื่อยล้าและท้อแท้ ร่
เสียงฟาดของไม้กระหน่ำลงบนแผ่นหลังของเยว่จื่อดังสนั่น แรงของการตีทำให้ร่างอ้วนๆ ของนางสะท้านไปทั้งตัว แต่เยว่จื่อยังคงตั้งท่าหยัดยืน มือกุมที่แผ่นหลังที่กำลังเจ็บปวด ทว่าไม่ยอมร้องเสียงดัง ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอที่ทุกคนหวังจะได้เห็น แม้จะรู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งตัวก็ตาม"ฮึก... อึก…" เสียงหอบแห้งของนางดังขึ้น เฉพาะในใจที่เผชิญกับความเจ็บปวดจนแทบจะไม่สามารถทนได้ แต่ทุกคำพูดที่ออกจากปากกลับเป็นเสียงด่าทอ"พวกคนสารเลวข้าไม่มีทางอภัยให้พวกเจ้า" เยว่จื่อกัดฟันกรอดร่างของนางสะเทือนจากไม้ที่ฟาดลงอย่างแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่ารู้ว่าอับจนหนทางแล้วรอยยิ้มระรื่นก่อนหน้านั้นมลายหายไปบุรุษกำยำที่ยืนคอยจับตัวหากว่าจะหนี ขณะที่กลุ่มสนมเอกและพวกที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย เหมยจิ้งที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงฟาดไม้สะท้านไปทั่วตำหนักแต่ก็ไม่สามารถหยุดการกระทำของกลุ่มคนที่อยู่รอบข้างได้ หลินซื่อหานยืนอยู่ข้างๆ ไม่กล้าขยับตัวไปไหน แม้จะรู้สึกเจ็บปวดกับการเห็นลูกสาวของตัวเองโดนทำร้ายเช่นนี้"พระสนมได้โปรด... ข้าขอร้องเถิด" หลินซื่อหานร้องตะโกนออกไป สีหน้าของเขามืดมนไปด้วยความสิ้นหวังและเจ็บปวด แต่อีกด้านห







