Masukแตะรอยแดงบนคอเบาๆ แล้วถอนหายใจยาว
"อืม…ก็สมเหตุสมผลดีนะ สำหรับคนที่ถูกปล่อยให้เดียวดายในที่แบบนี้…แต่ตอนนี้…"
จือเยว่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยในห้องที่ยังคงเงียบ
"ข้าไม่ใช่นางคนนั้นอีกแล้วล่ะ"
แม้คำพูดจะแผ่วเบา แต่ในหัวใจของนางกลับเหมือนมีแสงริบหรี่จุดขึ้นตรงปลายทางอับแสงนั้น…ไม่สิอย่าบอกว่าริบหรี่ต้องสว่างวาบเลยเชียว
เยว่จื่อค่อยๆ ลูบชุดที่สวมอยู่ ปลายนิ้วสัมผัสเนื้อผ้าอวบหนานุ่มของฮั่นฟูสีหม่น ก้มลงมองแล้วแอบยิ้มออกมาเบาๆ เหมือนคนเพิ่งพบแจ็คพอตในชีวิตใหม่ในหัวของหญิงวัยสี่สิบห้าฟุ้งขึ้นทันทีราวดอกไม้ไฟ
"นี่มันชุดฮั่นฟูนี่นา… งั้นก็จีนโบราณสิ จีนโบราณก็ต้องมีจอมยุทธ์ ฮ่าาา แบบนี้ฉันต้องได้เจอพระเอกหน้าใสผิวดี สูงเท่าต้นไผ่ หล่อขั้นเทพเซียนแน่ๆ"
ดวงตาเจ้าของร่างใหม่เป็นประกายวาววับเหมือนลูกแมวตื่นเต้นกับของเล่นใหม่ เธอยกมือขึ้นดีดนิ้วเบาๆ ราวประกาศความหวังอันยิ่งใหญ่
"แย่แล้ว ฉันหยุดความคิดนี้ไม่ได้เลยจริงๆ ด้วย ไหนๆ ก็มาทั้งที ถ้าไม่เจอเทพเซียนหรือจอมยุทธ์ หรือจอมมารผู้งามหยดกว่าน้ำค้าง…จะถือว่ามาไม่ถึงที่นี่"
เหมยจิ้งที่ยืนอยู่ไม่ไกลสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนถอยหลังหนึ่งก้าว ใบหน้าซีดลงนิดๆ เพราะสีหน้าหื่นเป็นประกายของเยว่จือคนใหม่มันไม่เข้ากับความสิ้นหวังเมื่อครู่สักนิดเดียว
เยว่จื่อหันขวับไปหาเหมยจิ้งอย่างไว
"เจ้า ที่ที่มีคนหล่อๆ แบบเทพเซียน เยอะๆ น่ะ อยู่ที่ไหน"
เหมยจิ้งกระพริบตาปริบๆ
"เอ่อ…อะไรคนหล่อ…เจ้าคะ?"
"ใช่สิ แบบเด็ดๆ ไง! ที่ที่มีหนุ่มงาม หน้าตาหวานบ้าง หล่อเข้มบ้าง เหล้าหอมๆ บรรยากาศดีๆ …" เยว่จื่อคนใหม่ว่าเสียงกระฉับกระเฉง แววตาใสจนแทบระยิบระยับ
เหมยจิ้งยิ่งงงหนัก
“แบบบาร์โฮสน่ะรู้จักไหม”
"บะ…แบบบาร์โฮสคืออะไรหรือเจ้าคะ เหมยจิ้งไม่เคยได้ยิน…"
เยว่จื่อถอนหายใจราวกับชีวิตลำบากเหลือเกิน
"ลืมไป…ยุคนี้ไม่มีแน่นอน งั้นเอาแบบง่ายๆ ก็ได้ ที่ที่มีผู้ชายหล่อๆ ให้ดูสักที่ก็ยังดี ไม่เข้าใจความต้องการของข้าเลยหรือไง"
เหมยจิ้งหน้าแดงราวกับเข้าใจอะไรไม่ได้ครึ่งหนึ่ง
"พระสนมเจ้าคะ…เหมยจิ้งว่า…ตอนนี้ท่านควรห่วงอาการบาดเจ็บก่อนมั้งเจ้าคะ ท่านตกลงมาจากที่สูงทั้งที…"
เยว่จื่อเงียบไปหนึ่งอึดใจ ก่อนยิ้มบางๆ แบบคนจำยอม
"ก็ได้ๆ งั้นข้าจะพักก่อนก็ได้ จะอดใจรอไปตามหมอหลวงมาก็แล้วกันนะ"
น้ำเสียงคล้ายแม่บ้านวัยกลางคนกำลังจะยอมเลิกดูซีรีส์ตอนตีสอง ฝืนใจแต่พอทำได้
เหมยจิ้งหายใจโล่งอก รีบโค้งแล้วหมุนกายจะออกไป
ทว่าเยว่จื่อยังตะโกนตามหลังเล็กๆ
"แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ ถ้าข้าหายดีเมื่อไหร่…เจ้าต้องพาข้าไปหาที่เด็ดๆ ให้ได้ล่ะ"
เหมยจิ้งตัวสั่นเครือ พึมพำตอบเบาเหมือนปลิวไปกับลม
"เจ้าค่ะ…แม้ไม่รู้ว่าที่เด็ดๆ ของพระสนมคืออะไรเลยก็เถอะ…"
กลับๆๆๆ กลับมาปัจจุบันได้ล่ะนั่นมันสมัยรุ่งเรืองและมีความสุข555
เยว่จื่อนั่งคุดคู้อยู่กลางห้องเก็บของเก่า มือเล็กๆ คว้ากล่องนั้น หยิบถุงนี้ พลิกไหโน้นดูอย่างจริงจัง ทว่าไม่ทันไรก็ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วหันไปบอกเหมยจิ้งเสียงเอื่อยขี้เกียจปนติงว่า
"อันไหนสำคัญบ้างนะ… เอ้อ เอาไปให้หมดนั่นแหละ ไหนๆ ก็มีคนขนของให้อยู่แล้วนี่ เอาไปเยอะๆ หน่อย ทิ้งไว้ก็เสียดาย"
เหมยจิ้งรีบพยักหน้ารัวๆ อย่างไม่กล้าขัดศรัทธาเจ้านาย
เยว่จื่อเท้าเอว บ่นต่อเหมือนเด็กสาวงอแงแต่ก็มีเสน่ห์ประหลาด
"ไอ้ข้าก็แค่ไปเที่ยวปลดปล่อยตัวเองแท้ๆ …"
นางชายตามองมุมห้องที่ฝุ่นจับเป็นชั้น คิดถึงเจ้าของร่างเดิมในใจ
" (คนก่อนคงน่าสงสารแย่ อุดอู้อยู่แต่ในวังไม่เคยไปไหนสักที) "
นางเบ้ปาก
"นี่ถึงขั้นไล่กันไปชายขอบดินแดนเลยหรือ เหอะ นึกว่าเมืองอี้เป็นเมืองปกติธรรมดา ที่ไหนได้ เมืองร้าง"
เหมยจิ้งยิ้มแห้งๆ ทำหน้าเหมือนอยากตอบแต่ก็กลัวจะผิด
"มีชีวิตรอดก็ดีแล้วเจ้าค่ะพระสนม… ดูจากเรื่องที่เราก่อขึ้นสิเจ้าค่ะ เนรเทศก็ถือว่าฝ่าบาทใจดีแล้วเจ้าค่ะ"
เยว่จื่อหัวเราะหึ ยกคางขึ้นเย้ยหยันน้อยๆ แบบคนรู้ทันโลก
"ใจดีที่ไหนกัน นี่ก็แค่กลัวข่าวลือมั่วซั่วลามไปจนทำให้ประวัติตัวเองด่างพร้อย เลยเนรเทศข้าไปหลบไกลๆ ให้คนลืมข่าวเร็วขึ้นน่ะสิ ข้าเห็นบ่อยม๊ากกก"
นางลากเสียงยาว
"แทนที่จะตอบคอมเม้นท์สู้ชาวเน็ต เราเมินคอมเม้นท์ดีกว่า เดี๋ยวขามุงก็ลืมม"
เหมยจิ้งพยักหน้าอย่างงุนงงเหมือนประโยคที่เจ้านายพูดผ่านหัวไปครึ่งหนึ่ง
"ก็… จริงนะเจ้าค่ะ ในเมืองหลวงอันใหญ่โตนี้ ข่าวลือเปลี่ยนรายวัน เรื่องไหนน่าติดตามหน่อยก็จะถูกพูดถึงหลายวันหน่อย…"
เยว่จื่อพยักหน้าอย่างผู้รู้ทุกสิ่งในโลกใบนี้
"ช่ายยยย เจ้านี่เรียนรู้ไวดีน้าาา"
ประตูตำหนักเย็นที่หักครึ่งบานอยู่แล้วพลันถูกผลักเปิดออกเสียงดังโครม เหมยจิ้งสะดุ้ง รีบหันไปดู ก่อนจะกระตุกแขนเยว่จื่อกระซิบเสียงรัว
จือจื่อสังเกตเห็นสีหน้าของทั้งสองคนที่ยังคงดูไม่เชื่อ มุมปากยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วพูดเสียงหนักแน่น"ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าคิดว่ามันต้องได้ผล พวกเจ้าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในเร็วๆ นี้! ข้าจะทำให้ที่นี่เป็นที่ที่ทุกคนต้องมองมา! เตาแก๊สที่ใช้ประโยชน์ได้เต็มที่และสะดวกสบายสุดๆ"ทั้งสองคนยังคงมองกันไปมาเหมือนไม่มั่นใจ แต่มันก็ไม่ได้หยุดความพยายามของจือจื่อเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวคนนี้เต็มไปด้วยพลังความคิดสร้างสรรค์และความมุ่งมั่น"เอาเถอะ พี่ใหญ่นางน่าสงสารนะนั่น" ซูอวี่พูดเบาๆ ขณะที่โจวชวีพยักหน้าหยักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังแอบสงสัยว่าอะไรที่ทำให้จือจื่อมั่นใจขนาดนี้จือจื่อยิ้มอย่างพอใจ ที่เห็นว่าแม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็ดูเหมือนว่าจะทำให้ทั้งสองคนเริ่มเปิดใจให้กับความคิดของอยู่บ้างจือจื่อวิ่งเข้าไปในห้องที่เหมยจิ้งกับถานถานทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น หลังจากที่ได้มองเห็นความเป็นไปได้ของแผนการที่คิดขึ้นในหัว แน่นอนว่าไม่สามารถนั่งเฉยๆ ได้เมื่อคิดอะไรออกแล้วทันที"จะต้องสำเร็จสินะ"พูดเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ "ระดับจือจื่อแล้ว ไม่มีอะไร
เหมยจิ้งกับถานถานรับไก่จากโจวชวี่และชูอวี่ไปอย่างกระตือรือร้น ท่านทั้งสองเดินคุยกันอย่างสนิทสนม ขณะที่ถานถานยิ้มแย้มพูดกับเหมยจิ้งด้วยความอารมณ์ดีว่า"พี่เหมยจิ้งตามข้ามาเถอะ ยังดีที่ด้านหลังมีบ่อน้ำ พวกข้าแวะเวียนมาใช้บ้างบางครั้งจึงไม่ร้างเลย น้ำใสสะอาดเชียว"เหมยจิ้งพยักหน้า รอยยิ้มสดใสยิ่งขึ้นเมื่อนึกถึงน้ำใสๆ ในบ่อ“อย่าลืมจับไก่ขังไว้บางส่วนแล้วเราจะเริ่มให้อาหารมันเพื่อเลี้ยงพวกมันให้ขยายพันธุ์ก่อนจะทำมาทำอาหารนะ” จือจื่อพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มๆ“พรุ่งนี้ข้าน้อยจะสร้างเล้าไก่เสียใหม่ขอรับ” หนานซ่งพูดเบาๆ จือจื่อพยักหน้ายิ้มๆ หันกลับมามองสองหนุ่มที่กำลังจัดฟืนที่หยิบติดมือมาด้วย และวางกองไม้ลงในที่ที่เหมาะสมสำหรับการก่อไฟ"ก่อไฟหรือ…ว๊าวจริงสินี่ยุคโบราณสินะฮ่าาา พวกเจ้ามาเถอะ ข้าจะก่อไฟเอง" จือจื่อพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหยิบเอาไม้มาสองชิ้นเพื่อจะปั่นให้เกิดความร้อนและเปลวไฟ"นะๆๆๆ นายหญิง ท่านก่อไฟเป็นหรือขอรับ มันยากนะขอรับ" โจวชวี่พูดด้วยความสงสัย ขณะมองการกระทำของจือจื่อด้วยความไม่ค่อยมั่นใจจือจื่อยิ้มอย่างมั่นใจและตอบกลับไป "ไม่ต้องห่วงน่า เชื่อมือข้าเถอะระดับนี้แล้ว" ทั้งสอง
"ถานถานเจ้าไปทำความสะอาดให้องให้นายหญิง" หนานซ่งสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าหันมามองเขาก่อนจะยิ้มให้ "ไม่เกินหนึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อย" ถานถานรับปากอย่างมั่นใจ ก่อนที่จะก้มศีรษะและหันไปทางเหมยจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ"ข้าไปช่วยเจ้าด้วย" เหมยจิ้งพูดขึ้น พร้อมยิ้มให้กับถานถาน สองสาวเดินจากไปพร้อมกันอย่างรวดเร็วหนานซ่งหันไปทางจือจื่อ ยิ้มและกล่าวด้วยความเคารพ"เชิญนายหญิงทางนี้ขอรับ ที่นั่นสะอาดพอให้ได้นั่งขอรับ ส่วนข้าน้อยจะไปช่วยทั้งสองคนจับไก่"จือจื่อพยักหน้ารับ ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่หินอ่อนก้อนใหญ่ที่ดูเหมาะแก่การนั่งพักผ่อนหนานซ่งและสองแฝดเดินไปยังประตูใหญ่ของจวน จือจื่อหันหลังให้พวกเขาแล้วถอนหายใจยาว เหมือนกำลังผ่อนคลายความกังวลที่สะสมมานาน "อย่างน้อยก็ไม่แย่นะ ทุกคนดี แวดล้อมดี และชีวิตแสนสบายดี..." เธอพูดเบาๆ พลางบิดขี้เกียจด้วยท่าทางผ่อนคลาย "เฮ้อ สาวแก่อย่างฉัน จะต้องเอาตัวรอดได้สิน่าฮุๆๆ ไม่มีอะไรในโลกที่จือจื่อทำไม่ได้ยกเว้นการมีผัว..." จือจื่อพูดเล่นหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อ"ก็สเปคฉันคือเทพเซียนนี่น่า ฮึ ถ้าไม่หล่อ
"พวกข้าก็พึ่งมาถึง เลยมาดูทำเลก่อน คิดกันว่าที่นี่รกร้าง ยึดสักห้องจะเป็นไรไป""พวกเจ้าตาถึงจริงๆ เลือกที่ดีเชียว ได้ข้าแบ่งให้พวกเจ้าช่วยกันครอบครองที่นี่" จือจื่อหัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกายเหมยจิ้งเดินกลับมาในจังหวะที่เสียงหัวเราะของจือจื่อกับสองแฝดยังดังไม่ขาดสามหัวสุมหัวเม้าท์มอยไปเรื่อยอย่างเข้าขา เหมยจิ้งมือถือตะกร้าใบเล็ก ภายในมีเข็ม ด้ายและเชือก อีกมือมีจานไม้ที่วางไก่สับแบ่งเรียบร้อยแล้ว กลิ่นอาหารลอยมาแล้วทำให้ทุกคนชะงักหันมามองด้านหลังเหมยจิ้งมีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงและสาวน้อยคนหนึ่งเดินตามมาด้วย สีหน้าทั้งคู่ดูทั้งตื่นเต้นทั้งเกร็ง เสื้อผ้าสีทึมเกือบขาด ชายคนนั้นก้าวเข้ามา พอเห็นจือจื่อนั่งอยู่ก็รีบคำนับอย่างลนลาน"ข้าน้อยหนานซ่ง เป็นพ่อบ้านดูแลจวนหลังนี้ คารวะพระสนม…ข้า…ข้าน้อยผิดเองที่ไม่ทราบว่าจะมีผู้ใดมาพัก ยังปล่อยให้จวนทรุดโทรมถึงเพียงนี้" หนานซ่งก้มศีรษะต่ำลงอีกครั้ง"พูดตามตรง…ข้าน้อยไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาอยู่ที่นี่จริงๆ"โจวชวี่กับชูอวี่ที่กำลังแทะไก่ของตัวเองมองหน้ากัน ก่อนจะวางไก่ลงแล้วกอดอกยืดตัวเชิดหน้าโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเหมือนเพิ่งได้ชัยชนะบางอย่างจากการ
"ตกปลา ล่าไก่หรือ เจ้าเป็นสนมอยู่ในวัง เป็นลูกขุนนาง คงไม่รู้ว่าเรื่องพวกนี้ทำยากขนาดไหน กว่าจะใช้ธนูยิงมาได้แต่ละตัว พวกข้าก็ไม่มีธนูตอนนี้"จือจือทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา"พวกเจ้านี่ไม่คิดจะพัฒนาบ้างหรือไร ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวข้าสอนวิธีดีๆ ให้ มีร้อยแปดวิธีในการจับไก่"โจวชวี่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ"เจ้าเอาเครื่องมือมาหรือ ดีเลย"จือจือส่ายหน้าอย่างอารมณ์ดี"ข้าจะทำเองให้พวกเจ้าต่างหาก แต่ว่าต้องใช้เวลา"นางเอามือลูบท้องตัวเองที่ร้องประท้วงไม่หยุด เสียงดังจ๊อกเบาๆ"ตอนนี้เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งคือข้ากำลังหิวมาก ไก่ย่างของพวกเจ้าก็เอามาแบ่งเท่าๆ กัน รองท้องไปก่อนเถอะ อิ่มด้วยกัน อดด้วยกัน"จือจือเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายอย่างคนเห็นภาพอนาคตไกล"ข้ารับรองว่าต่อจากนี้เราจะมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีสังกะสีคุ้มหัว เจ้าไม่ต้องห่วง"เหมยจิ้งยืนมองนายหญิงของตนอย่างตะลึง ส่วนเด็กหนุ่มทั้งสองยืนนิ่งไปชั่วอึดใจ โจวชวี่กับชูอวี่เผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว ความสดใสของจือจื่อทำให้บรรยากาศในตำหนักร้างที่มืดหม่นดูอ่อนลง หญิงอ้วนผู้มีแววตาสดใสคนนี้ประหลาดจริงเชียวโจวชวี่ก้มลงหยิ
จือจื่อเดินตามเหมยจิ้งเข้าไปด้วย ในจวนใหญ่รกร้างนั่นนับว่าคนขับรถม้าใจดีไม่น้อยอย่างน้อยอากาศหนาวๆ แบบนี้ทั้งสองก็ยังพอมีที่ซุกหัวนอนความเงียบงันของตำหนักร้างทำให้ทุกก้าวที่เหยียบลงไปเหมือนเหยียบลงบนหัวใจตัวเอง จือจื่อกวาดสายตามองซ้ายมองขวา ผนังไม้ผุพัง เถาวัลย์เลื้อยพันรั้ว เดินทะลุผ่านโถงด้านในไปจนถึงด้านหลังที่ถูกกั้นไว้เหมือนสวนร้าง หญ้าขึ้นรกสูงเกือบถึงเข่า กลิ่นอับชื้นปะปนกับกลิ่นควันจางๆ ลอยมากระทบจมูกดวงตาของจือจื่อเบิกกว้าง เมื่อเห็นควันไฟลอยออกมาจากห้องเก็บฟืนเก่าด้านหลัง หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก"แย่แล้วเหมยจิ้ง ใครมาเผาบ้าน รีบมาช่วยกันดับไฟเร็ววววว"เสียงตะโกนของนางดังลั่นจนเหมยจิ้งสะดุ้ง จือจื่อไม่รอช้า วิ่งพรวดเข้าไปผลักประตูห้องเก็บฟืนอย่างแรง ประตูไม้ผุส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ก่อนจะเปิดออกพร้อมควันขาวลอยคลุ้งภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้นางชะงัก บุรุษหนุ่มสองคน อายุราวสิบห้าปี หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกัน เสื้อผ้าขาดรุ่ย เนื้อตัวมอมแมม นั่งยองๆ อยู่ข้างกองไฟเล็กๆ ที่ก่อจากเศษไม้แห้งทั้งสองอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะหงายหลังล้มผงะออกจากกองไฟด้วยความตกใจ"อ๊าก"







