เกือบ 2 เดือนแล้วที่ไป๋หลานใช้ชีวิตอยู่ที่เผ่าเฟิงอวิ๋นตอนนี้ร่างกายของนางกลับมาแข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป เฟิ่งตามติดชีวิตของนางตลอดเวลาจนได้ยินเสียงเล่าลือว่าเฟิ่งหวงนั้นมีใจให้นาง
“เจ้าอยู่นี้เองข้าตามหาตั้งนาน” ซินอี้ไม่พอใจที่นางเข้ามาทำให้เฟิ่งหวงหวั่นไหวซินอี้ชอบเขามาเนิ่นนาน
“เจ้ามีธุระอันใดจะคุยกับข้า”
“ออกไปจากชีวิตของท่านพี่เฟิ่งหวง”
“เจ้ามีสิทธิ์อันใดที่มาสั่งคนอื่น” ไป๋หลานรู้นางแอบรักเฟิ่งหวงแต่ไม่ควรที่จะมาสั่งว่าผู้ใดมีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์ที่จะยืนอยู่ข้างกายเขา
“ข้า ข้าเป็นคนสนิท”
“ภรรยาก็ไม่ใช่ น้องสาวก็ไม่ใช่เจ้าควรให้เฟิ่งหวงเลือกเองไม่ใช่ไปบังคับใคร” ไป๋หลานเตรียมตัวจะเดินหนีแต่ถูกนางคว้าไว้และใช้มือตบเข้าไปที่แก้มของไป๋หลาน
“อย่ามาลองดีกับข้า”
เพียะ!
“กรี้ด” เสียงกรีดร้องของซินอี้ทำให้เฟิ่งหวงและเจ๋อหรานออกมาดูเห็นซินอี้กำลังกุมแก้มที่โดนตบเมื่อนางเห็นคนทั้งสองจึงแสร้งทำเป็นคนโดนรังแก
“ท่านน้านางตบข้าเจ้าค่ะ ข้าเจ็บ”
“เจ้าตบนางจริงหรือ”
เจ๋อหรานหันมาถามไป๋หลานเพื่อจะสอบถามความจริงนางจะไม่เข้าข้างใครแต่เหมือนว่าเฟิ่งหวงจะไม่เชื่อว่านางเป็นคนตบซินอี้ก่อนเพราะแก้มนั้นเริ่มแดงขึ้นมา
“ท่านแม่ท่านถามหาความจริงก่อนเถอะเหม่ยเหม่ยนางก็โดนตบเช่นเดียวกัน”
“ตามข้าไปที่กระโจม” ซินอี้นั่งร้องไห้เพื่อให้ทุกคนสงสารโดยเข้าไปอ้อนเจ๋อหรานเพื่อที่จะให้ลงโทษไป๋หลานอย่างสาสมที่ทำร้ายนาง
“ข้าแค่เข้าไปถามอาการป่วยของนางแต่โดนนางต่อว่าและตบเจ้าค่ะ” ซินอี้โกหกขึ้นมาแต่ตอนที่ทั้งสองทะเลาะกันมีคนได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
“ตอนเจ้าทำคนอื่นทำไมเจ้าทำได้ พอโดนทำบ้างกลับมาร้องห่มร้องไห้ขอความสงสาร จิตใจเจ้าหยาบกระด้างนักทำไมท่านแม่ของเจ้าถึงใจเย็นนัก” ไป๋หลานโกรธจนพาลต่อว่าซินอี้ทำให้อี้หรานที่นั่งฟังถึงกับจุกในคอ
“เจ้ากล้าว่าท่านแม่ไม่สั่งสอนข้าหรือ สามหาว!”
“เจ้านั่งลงเถอะซินอี้เรื่องนี้ข้ามีคนรู้เห็น อาเจิง!” เฟิ่งหวงเรียกอาเจิงออกมาเพราะเขาเห็นว่าอาเจิงอยู่บริเวณนั้นก่อนที่เขาจะไปถึง
“เจ้าเล่าความจริงมาเถิด”
“วินอี้ไปต่อว่าแม่นางเหม่ยเหม่ย ไม่ให้ไปยุ่งกับท่านพี่เฟิ่งหวงขอรับ พอแม่นางพูดไม่เข้าหูจึงลงมือก่อน” อาเจิงพูดตามที่ตัวเองได้ยินมา
“โกหกข้าไม่เคยพูดเช่นกัน ท่านแม่เจ้าคะ” ซินอี้หันไปหามารดาเพื่อให้ช่วยเพราะตอนนี้เหมือนทุกคนกำลังปกป้องไป๋หลานและให้นางเป็นคนผิด
“ข้าต้องขออภัยแทนลูกด้วยโปรดให้แม่นางอย่าถือสาเลย ข้าเลี้ยงลูกไม่ดีเอง” อี้หรานเอ่ยขออภัยเพราะนางเองที่ตามใจลูกสาวจนเกินไป
“ท่านน้าอย่าโทษตัวเองเลยท่านเลี้ยงลูกได้ดีทีเดียว”
แต่แค่ซินอี้ไม่เชื่อฟังผู้เป็นมารดาและเอาแต่ใจตัวเองเพราะไม่มีใครดุเวลาทำผิด
“เจ้าไปขอโทษเหม่ยเหม่ยซะ”
“ท่านแม่! ข้า ข้าขอโทษเจ้าด้วย” ซินอี้เก็บความเกลียดชังไว้ในใจและเดินออกไปจากกระโจมด้วยความไม่พอใจแถมยังโดนท่านแม่ต่อว่าอีก
“ขอคุณทั้งน้าทั้งสองที่ไม่ฟังความข้างเดียว”
“ข้าแก่แล้วข้าผ่านโลกมาก่อนเจ้าทั้งสอง” เจ๋อหรานส่งยิ้มให้นางและมองดูลูกชายตนเองที่เหมือนจะตกหลุมรักนางมากขึ้นทุกวัน
“เจ้าไปพักผ่อนเสียเถอะ หวงเอ๋อร์เจ้ารอแม่ก่อน”
“ขอรับท่านแม่” เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้วเจ๋อหรานจึงให้ลูกชายเข้ามานั่งใกล้ๆ ยิ่งโตยิ่งเหมือนกับผู้เป็นบิดายิ่งหนักเจ๋อหรานลูบศีรษะลูกชาย
“ลูกรักใครต้องรีบบอกอย่าลังเลเลย”
เพราะนางเคยเจอคนที่เลือกใครไม่ได้สักคนเช่นเดียวกับบิดาของลูกชายที่ไม่เลือกนางแต่เขากับเลือกทำเพื่อบ้านเมืองโดยไม่สนว่าใครจะเจ็บปวด
“ท่านแม่”
“ลูกรักนางก็จงบอกนาง” เจ๋อหรานดูออกว่าลูกชายตกหลุมรักไป๋หลานตั้งแต่แรกเจอนางอยากเห็นลูกมีความสุขไม่อยากให้ลูกทุกทรมานใจเช่นเดียวกับผู้เป็นแม่
“เหม่ยเหม่ยนางเป็นเด็กดียิ่งนักไม่ยอมคนแม่ชอบนาง”
“ลูกขอบใจท่านแม่ที่เข้าใจลูกขอรับ ลูก ลูกรักนางลูกอยู่ใกล้นางแล้วตรงนี้ของลูกเหมือนจะไม่ปกติ” เฟิ่งหวงไปที่หัวใจของตัวเองและกุมไว้
“ลูกตามไปดูนางเสียเถิด”
เฟิ่งหวงไม่รอช้าที่จะออกไปตามไป๋หลานพร้อมกับรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าบ่งบอกว่าเขากำลังมีความสุขอย่างมาก
“เจ้ามาอยู่นี้เองตามข้ามา”
“ข้าปล่อยมือข้า” เฟิ่งหวงจับมือของนางและพาเดินเข้าป่าไปพร้อมกับธนูที่อยู่บนหลัง และมาหยุดที่ลานกว้างในป่าใหญ่และให้นางจับคันธนู
“เจ้าลองยิงดูข้าจะสอน” เฟิ่งหวงมายืนช้อนหลังนางยกมือขึ้นมาและจับคันธนูทำให้มือของทั้งสองสัมผัสกัน เฟิ่งหวงและนางอยู่ใกล้กันไป๋หลานได้ยินเสียงลมหายใจของเขา
“มีสติหน่อย” เฟิ่งหวงกระซิบที่ใบหูของนางเพื่อเรียกสติของนางและง้างธนูออกกว้างและเล็งไปที่เป้าหมายก่อนจะปล่อยลูกดอกให้ออกไปที่กลางเป้า
“เย้ๆ เจ้าเก่งมาก” ไป๋หลานดีใจออกมาตั้งแต่นางเป็นเด็กจนโตท่านพ่อก็ไม่เคยให้นางได้จับอาวุธเพราะมัวแต่ส่งไปร่ำเรียนในสมกับเป็นองค์หญิงเพียงองค์เดียวของตระกูลเพราะท่านพ่อมีลูกชายถึง 3 คน
“เจ้ายิงให้เข้าเป้า ข้าจะนั่งดู”
“แล้วถ้าข้ายิงไม่โดน”
“เจ้าก็ไม่ต้องกลับกระโจม” เฟิ่งหวงที่นั่งไปขอนไม้ไปนั่งดูนางที่ตั้งใจฝึกฝนเรียนรู้จนเขาเอ็นดูไม่น้อยแต่จนผ่านไปหนึ่งก้านธูปนางก็ยิ่งไม่เข้าเป้า
“ข้าปวดมือแล้ว”
“เจ้าไม่ตั้งใจเองข้าจะทำให้ดูแค่ครั้งเดียว” เฟิ่งหวงเดินเข้ามาใกล้และหยิบลูกธนูขึ้นมาตอนที่เขายังเด็กเขาฝึกฝนมากกว่าเด็กทั่วไปเพราะในวันข้างหน้าเขาต้องขึ้นมาดูแลชนเผาในฐานะทายาทคนโตและต้องปกป้องมารดา
ลูกธนูปักเข้าที่กลางเป้าอย่างง่ายดายจนไป๋หลานรู้สึกชอบใจจึงให้เฟิ่งหวงยิ่งให้ดูอีกและนางจึงเดินไปนั่งรอที่ขอนไม้และนั่งดูชายหนุ่มอย่างสบายใจ
“เจ้าแกล้งข้าหรือ ถ้ายิ่งไม่เข้าเป้าคืนนี้ข้าจะให้เจ้านอนที่นี่กับเสือไปเลย” เฟิ่งหวงเมื่อรู้ว่าโดนแกล้งจึงโมโหกลบเกลื่อนอาการเขาโดนนางหลอก
“ใจร้ายจังข้าปวดมือแล้วเจ้าพาข้าไปทำอย่างอื่นเถิดนะเจ้าดูมือข้าสิ” นางยกมือขึ้นมาเพื่อให้เฟิ่งหวงดูตอนนี้มือนางแดงเพราะกำคันธนูแน่นเกินไป
“ก็ได้” แค่เห็นนางเจ็บก็ละเลิกที่จะแกล้งนางทันทีและพาเดินเข้าป่าไปไกลมากโขจนมาหยุดที่หน้าผาและให้ไป๋หลานมองลงไปยังเบื้องล่าง
“เจ้าดูชนเผ่าข้าสิมันสวยงามยิ่งนัก”
ไป๋หลานมองไปที่เบื้องล่างจึงเห็นทัศนียภาพทั้งหมดของชนเผ่าละเมฆหมอยที่อยู่ปกคลุมเต็มไปหมด ชนเผ่าเฟิงอวิ๋นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติมากมายและห่วงไกลจากผู้คน
“ข้าไม่เคยเห็นที่ไหนสวยงามเช่นนี้มาก่อน” ไป๋หลานยืนมองไปที่เบื้องหน้า เฟิ่งหวงคงใช้ชีวิตได้อิสรเสรีเพราะไม่มีกฎเกณฑ์อะไรไม่เหมือนกับนางที่ต้องคอยอยู่ในโอวาทของบิดารวมถึงงานแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น
“ไหนว่าเจ้าจำอะไรไม่ได้”
“เอ่อ ความรู้สึกข้ามันบ่งบอก” นางรีบหาเหตุผลมาแก้ตัวตอนนี้จะให้ใครรู้ตัวตนนางไม่ได้
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าเกลียดอะไรมากที่สุด ข้าเกลียดคนโกหกหลอกลวงเหมือนคนที่ทำให้ข้าเกิดมาที่โกหกท่านแม่ของข้า” เฟิ่งหวงจ้องไปที่ใบหน้าของนางการที่ถูกมันเจ็บปวดที่สุดจนต้องทำให้มารดาเจ็บช้ำจนถึงทุกวันนี้
“ขะ ข้าจะไปโกหกเจ้าของอันใดกัน” นางหลบตาเขาเพียงเพราะว่าไม่อยากรู้สึกผิด
“เจ้าไม่โกหกข้าก็ดีไป”
“เจ้าจะทำอะไรข้า เฟิ่งหวง”
เฟิ่งหวงเชยคางนางขึ้นมาสบตากันทำให้เห็นเงาของกันและกันในแววตาของทั้งสอง พระอาทิตย์กำลังตกดินพร้อมกับจูบแรกที่นางยกให้เฟิ่งหวง
“อื้อออ”
เฟิ่งหวงถอนจูบออกมาและสบตากับนางจูบแรกของเขาได้ยกให้นางไปครอบครองแต่เพียงผู้เดียว
“ข้าชอบเจ้าเหม่ยเหม่ย”
“ขะ ข้า ไม่ใช่เหมันตฤดูทำไมฝนถึงตก”
“รีบหลบเร็ว” เฟิ่งหวงคว้าข้อมือของนางและพาวิ่งหลบฝนเข้าไปในถ้ำที่เขาเข้ามาหลบฝนเป็นประจำ ยิ่งดึกฝนยิ่งกระหน่ำเทลงมาตอนนี้เนื้อตัวของทั้งเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ
“ข้าจะก่อไฟ”
เพราะอากาศเริ่มหนาวทำให้เฟิ่งหวงก่อไฟเพื่อคลายหนาวและกันสัตว์มีพิษในตอนกลางคืน
“เจ้าจะทำอะไร”
“ข้าจะถอดเสื้อเจ้าไม่เห็นหรือว่าเปียกไปหมด”
“เจ้าถอยไปห่างๆ”
ไป๋หลานไปนั่งบนขอนไม้ที่เหมือนกับเตียงไม่มีผิดความหนาวทำให้นางตัวสั่นขึ้นมา จนเฟิ่งหวงต้องเดินเข้ามาใกล้ทำให้นางเห็นแผงอกของเขาอย่างเต็มตา
“เจ้าหันหลังไป”
“ข้าชอบเจ้าเหม่ยเหม่ย เจ้าสบตาข้าสิ”
ชนเผ่าอวิ่น ฮ่องเต้เฟิ่งหวงพาฮองเฮากลับมาเยี่ยมบ้านเกิดและองค์รัชทายาทตงหยางพร้อมกับองค์หญิงอ้ายเสิน ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก “ซินอี้” “ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ” ซินอี้ก้มลงเพื่อทำความเคารพฮองเฮาที่ครั้งหนึ่งนางเคยคิดจะกำจัด “ตอนนี้อยู่นอกวังเจ้าไม่ต้องมีพิธีอะไรมาก เจ้าสบายดีหรือไม่” ไป๋หลานไม่คิดโกรธเคืองนางเลยสักนิดเวลาผ่านไปคนเราก็สามารถเปลี่ยนกันได้ “หม่อมฉันสบายดีเจ้าค่ะ” “ไทเฮาบอกว่าเจ้ากำลังจะมีลูกน้อย” “เพคะหม่อมฉันกำลังตั้งครรภ์” ซินอี้แต่งงานกับคุณชายแซ่เหลียงและได้ออกไปเปิดโรงน้ำชาด้วยกันจนมีพยานรักที่กำลังเติบโตอยู่ในครรภ์ของนาง “ข้ายินดีกับเจ้าด้วยอดีตผ่านไปแล้วเจ้าก็ได้บทเรียนแล้ว เราแค่ลืมและเดินหน้าต่อไป” “หม่อมฉันขออภัยในครั้งนั้นด้วยเพค่ะ” “ข้าไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก” ไป๋หลานไม่ใช่คนที่เจ้าคิดเจ้าแคว้นในวันนี้นางคิดได้แล้ว ก็ต่างคนต่างมีชีวิตและเดินตามเส้นทางของตัวเอง “หม่อมฉันขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ” ไป๋หลานเดินกลับมาและนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เฟิ่งหวงที่นั่งดูลูกๆ วิ่ง
วันเวลาผ่านไปจนครบเก้าเดือนองค์หญิงไป๋หลานได้ให้กำเนิดลูกฝาแฝดโอรสและธิดาสร้างความปีติยินดีให้กับทุกคนโดยเฉพาะเฟิ่งหวงที่เฝ้ารอพระชายาอยู่หน้าตำหนักไม่ยอมไปไหน “หวงเอ๋อร์พระชายาของลูกแค่หลับเพราะเหนื่อยอย่ากังวลไปนักเลย” “ลูกเป็นห่วงนาง” เฟิ่งหวงนั่งไม่อยู่กับที่เขาเดินไปเดินมาเพื่อรอว่าเมื่อไรนางจะฟื้นขึ้นมา ตอนที่เขาได้ยินเสียงกรีดร้องของนางใจเขาแทบขาด “หวงเอ่อร์ลูกจะให้โอรสและธิดาชื่อว่าอะไร” เฟิ่งหวงเดินเข้ามาใกล้ลูกทั้งสองและมองหน้ากันสลับไปมาลูกของเขาทั้งสองเกิดจากความรักของพ่อและแม่ “โอรสให้ชื่อตงหยาง ธิดาให้ชื่ออ้ายเสิน” “ดีๆ พ่อชอบชื่อนี้” ฝ่าบาททรงตามใจลูกในการตั้งชื่ออีกไม่นานเฟิ่งหวงจะต้องขึ้นครองบัลลังก์แทนฮ่องเต้ ไป๋หลานค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดสิ่งแรกที่นางนึกถึงคือลูกทั้งสองนางได้ยินเสียงร้องก่อนที่นางจะหมดสติไป ไป๋หลานพยายามที่จะขยับตัว “พระชายาอย่าเพิ่งลุกเพค่ะ” “น้องหญิงเป็นยังไงบ้าง” เฟิ่งหวงรีบเข้ามาดูอาการทันทีเมื่อเห็นว่านางปลอดภัยเขาก็หายห่วง “ลูกของน้อง...”
“หม่อมฉันจะไปตามหมอมาให้เพคะ” “ไม่ต้องหรอกหวงเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร” จากที่นางได้ฟังเรื่องราวมาจากไป๋หลานและองครักษ์จึงพอจะเดาได้ว่าเฟิ่งหวงเป็นอะไรถึงได้ไม่สบายแบบนั้น “น้องหญิงแล้วหวงเอ่อร์ไยถึงไม่สบาย” ฮ่องเต้แปลกใจเฟิ่งหวงเกิดอาการแบบนี้มาหลายวันแล้วแต่ก็ไม่มีอาการดีขึ้น “หวงเอ่อร์แค่แพ้ท้องแทนไป๋หลาน คนท้องมักจะชอบกินของรสเปรี้ยวซึ่งหวงเอ่อร์ไม่ชอบและเกลียดส้มจะตาย” เจ๋อหรานรู้ว่าลูกชายชอบหรือเกลียดอะไร เฟิ่งหวงเป็นแบบนี้ก็เพราะแพ้ท้องแทนพระชายา “เฟิ่งหวงจะทรงหายหรือไม่เพคะ” “ไม่ต้องห่วง” ไป๋หลานจึงอยู่ดูแลเฟิ่งหวงเมื่อคิดถึงคำพูดของเจ๋อหรานนางถึงกับหน้าแดงขึ้นมา เจ๋อหรานบอกว่าบุรุษที่แพ้ท้องแทนแม่ของลูกแสดงว่าเขานั้นรักนางมาก “อย่าดื้อกับเสด็จพ่อนะลูก” ไป๋หลานหันไปพูดกับลูกน้อยตอนนี้สีหน้าของเฟิ่งหวงดูซีดเซียวนางจึงคอยดูแลไม่ห่าง กำหนดการเดินทางกลับแคว้นนางคงจะต้องเลื่อนออกไป “น้องไป๋หลาน” “เสด็จพี่” “พี่จะกลับแคว้นแล้วน้องต้องดูแลตัวเอง” “ไยถึงเร็วแบบนั้นเพค่ะ” ไป๋หลานใจหายที่เสด็จพี่จ
เฟิ่งหวงกำลังจัดการงานต่างๆ ด้วยความยากลำบากเขาทรงงานอย่างหนักเพื่อจะรีบกลับไปหาไป๋หลานที่เขาคิดถึงคะนึงหา ฮ่องเต้ทิ้งให้องค์รัชทายาทต้องเผชิญกับปัญหาและปล่อยให้เขาจัดการกับคนร้าย “องค์รัชทายาทท่านพักผ่อนหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” โม่โฉวเห็นองค์รัชทายาทมุ่งหน้าทำแต่งานที่ประชาชนร้องเรียนมา อีกไม่นานองค์รัชทายาทก็จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากฮ่องเต้ “ตอนนี้ท่านอาเป็นอย่างไรบ้าง” “ทุกคนยังคงไว้อาลัยให้องค์ชายหลานซวนพ่ะย่ะค่ะ” เฟิ่งงหวงหยักหน้าเขาเห็นใจหวางไห่เถิ่งที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และเรื่องที่หลานซวนก่อขึ้นมาทำให้วงศ์ตระกูลเสียหายโทษต้องกักขังไปยังญาติพี่น้องแต่เฟิ่งหวงก็ไม่ยอมเพราะหวางไห่เถิงไม่มีส่วนรู้เห็น “องค์รัชทายาท! ตามหมอหลวงเร็วเข้า” โม่โฉวหันไปเรียกกงกงเมื่อองค์รัชทายาททรงเป็นลมไป ทำให้ทั้งตำหนักวุ่นวายไปหมดใบหน้าซีดเผือดขององค์รัชทายาทนอนหลับอยู่บนเตียงกว้าง “องค์รัชทายาทน่าจะทรงงานหนักให้พักผ่อนสักหน่อยจะดีขึ้นเองขอรับ” “ท่านให้คนไปส่งหมอหลวง” “พระชายาไม่อยู่นั้นกระหม่อมจะดูแลท่านเอง” โม่
“ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไรเพคะ” ลู่เสียนเกรี้ยวกราดขึ้นมาเมื่อแม่ทัพหลิงหยุนมาบอกข่าวร้าย “องค์รัชทายาททรงส่งเจ้ากลับจวน” “กรี๊ดดดด องค์รัชทายาทจะทำแบบนั้นกับข้าไม่ได้” ลู่เสียนกับมาคิดดูแล้วสิ่งที่องค์รัชทายาททำไปก็แค่ใช้นางเป็นเครื่องมือและส่งองค์หญิงออกไปนอกวัง หลอกให้นางดีใจพอเรื่องราวจบก็ส่งนางกลับจวน “ลูกพ่อองค์รัชทายาทยกเลิกที่จะรับลูกเป็นสนม” หลิงยุนไม่มีสิทธิ์โต้แย้งเพราะคือคำขาดจากองค์รัชทายาทในอนาคตก็จะขึ้นครองบัลลังก์ “ลูกไม่ดีตรงไหนทำไมองค์รัชทายาทถึงหลงใหลมันนัก” “ลูก! เจ้าระวังคำพูดด้วย” ลู่เสียนโกรธและพร่ำเพ้อออกมานางเห็นใบหน้าขององค์รัชทายาทครั้งแรก ก็ตกหลุมรักหาวิธีที่จะได้เข้าใกล้และทรงขอร้องท่านพ่อให้เข้าไปกราบทูลฮ่องเต้ให้รับนางเป็นสนมขององค์รัชทายาท นางดีใจจนแทบบ้าที่ได้รับข่าวดี แต่พอมาวันนี้ทุกอย่างเป็นแค่แผนหลอกให้นางไปเสี่ยงตายแต่กับปกป้ององค์หญิงไป๋หลาน “องค์รัชทายาทตรัสไว้ชาตินี้จะไม่รับสนมจะมีแค่พระชายาคนเดียว” “ทำไมนางถึงไม่ตายตั้งแต่ตอนนั้น” ลู่เสียนโกรธแค้นที่สุดท้ายแล้วนาง
ไป๋หลานเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าตำหนักของเฟิ่งหวงนางกำนัลมาแจ้งข่าวว่าเขากำลังจะรับสนมเข้ามาในตำหนักวันนี้ ถึงแม้ไม่อยากจะเชื่อแต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากับทำในนางเจ็บปวดไม่น้อย “องค์หญิง” “เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรเฟิ่งหวง” ไป๋หลานมองไปที่องค์รัชทายาทด้วยแววตาที่แสนเจ็บปวดที่เห็นเขากำลังนั่งอยู่ใกล้นางสนมคนนั้น “ก็อย่างที่เจ้าเห็นข้าจะรับนางเป็นสนม” เฟิ่งหวงเห็นแววตาที่แสนเจ็บปวดนั้นก็หันใบหน้าหนีเขาใจไม่แข็งพอที่จะเห็นน้ำตาของนาง “หม่อมฉันเลี่ยงซูเพค่ะองค์หญิงไป๋หลาน” “ข้าไม่อยากรู้จักเจ้า! เจ้าตอบข้ามาคำว่ารักที่เจ้าพูดหรือมันแค่หลอกลวง” ไป๋หลานเจ็บปวดเหลือเกินที่เห็นเขาไม่แยแสนางหรือที่เขาทำเพื่อจะแก้แค้นนาง “เจ้าพูดเหมือนไม่เคยหลอกข้า ออกไปข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า” “เจ้าต้องการแก้แค้นข้าหรือ” ไป๋หลานปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเมื่อคิดว่าที่ผ่านมาเขาจะรักนางแต่ทุกอย่างกับไม่ใช่เขาแค่ต้องการแก้แค้นนาง “หรือหากเจ้ารับไม่ได้เจ้าก็กลับบ้านเมืองเจ้าไปเสียพิธีอภิเษกของเราถือว่ายกเลิก” เฟิ่งหวงพยายามที่จะกลั้นใจพูดออกมาเพื่อให้นางเกลียดเขา