หลังจากเผิงเหยียนเฉิงเล่าเรื่องราวอันขมขื่นของตนจนจบ ลู่หยวนฉีมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา ดวงตาลุ่มลึกปรากฏประกายหนักแน่น
เขามองบุรุษหนุ่มตรงหน้าใจเขาปวดหนึบอย่างนึกไม่ถึง ชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ ครั้งหนึ่งเคยเปล่งประกายถึงเพียงนั้น แต่กลับถูกโลกโหดร้ายบดขยี้จนเกือบมอดดับ
“เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ตราบที่ยังมีลมหายใจ วันหนึ่งเจ้าจะลุกขึ้นได้ใหม่ และในครั้งนี้ จะไม่มีผู้ใดพรากศักดิ์ศรีของเจ้าไปได้อีก” สายตาของลู่หยวนฉีอ่อนลง เขาตบไหล่เผิงเหยียนเฉิงเบาๆ ราวต้องการถ่ายทอดความอบอุ่นผ่านสัมผัสนั้น
เผิงเหยียนเฉิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เคยหม่นหมองเหมือนจุดประกายเล็กๆ ขึ้นในความมืดมิด สบตากับชายตรงหน้า ในแววตานั้น ไม่มีความสมเพชเวทนา มีแต่ความนับถือและเชื่อมั่นในตัวของเขา
“เหยียนเฉิง เจ้ามีบุญคุณกับตระกูลข้า” ลู่หยวนฉีเอ่ยเสียงทุ้มชัดเจน
“ต่อให้ไม่มีเรื่องบุญคุณ เพียงแค่เจ้าตกอยู่ในสภาพนี้ ข้าก็ไม่มีวันปล่อยให้เจ้าร่อนเร่ไปเผชิญชะตากรรมเดียวดายอีก” เขาหยุดเว้นจังหวะครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวอย่างมั่นคง
“ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนสกุลลู่ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย หรือเรื่องจะรบกวนใคร เรือนด้านทิศตะวันออกว่างอยู่ และกว้างขวางกว่า ข้าจะย้ายเจ้าไปพักที่นั่น จนกว่าจะหายดี”
เผิงเหยียนเฉิงเบิกตากว้างเล็กน้อย คำพูดหนักแน่นจริงใจของลู่หยวนฉี ทำให้บางสิ่งในใจเขาสั่นสะท้าน เขาอ้าเล็กน้อยเหมือนจะเอ่ยปฏิเสธ ทว่าอีกฝ่ายยกมือขึ้นห้ามเบาๆ
“อย่าคิดว่าข้าทำเพราะสงสาร ข้าเพียงเห็นว่า บุรุษเช่นเจ้า ไม่ควรถูกโลกเหยียบย่ำจนมอดดับ” ลู่หยวนฉียิ้มบางๆ ด้วยเสียงจริงจัง
“เมื่อเจ้ารักษาตัวหายดีแล้ว ข้าจะให้ท่านอาจารย์ของสำนักศึกษามาเป็นครูส่วนตัวให้เจ้า วิชาความรู้ของเจ้าย่อมไม่ด้อยกว่าผู้ใด เพียงแต่โชคชะตาเล่นตลก ข้าจะช่วยเจ้ากู้ศักดิ์ศรีที่เจ้าสมควรมีคืนมา”
ถ้อยคำเหล่านั้นดุจเปลวไฟอุ่นสว่างในใจบัณฑิตหนุ่มที่เคยมืดมนมานาน เขากัดฟันแน่น ความรู้สึกตื้นตันจุกอยู่ในอก
“ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณนี้ตราบสิ้นชีวิต”
“ไม่ต้องมีคำว่าบุญคุณใดๆ ทั้งสิ้น ตอบแทนกันไปมา เมื่อไหร่บุญคุณจะหมดเสียที เจ้าเพียงมีชีวิตอยู่ต่ออย่างกล้าหาญ แล้วสร้างชีวิตใหม่ที่เจ้าสมควรได้รับ นั่นก็พอแล้ว” เขากล่าวเรียบๆ
“ข้าจะรักษาให้ท่านหายดี รับรองว่าไม่กี่เดือนต้องหายแน่ ในช่วงนี้ก็อ่านตำราเตรียมตัวสอบไปด้วยเลย” หมอหลินเองก็กล่าวขึ้นด้วยความยินดี
ในลมหายใจที่ค่อยๆ คลี่คลายนั้น ดวงตาของเผิงเหยียนเฉิง ค่อยๆ สว่างขึ้น แววตาที่เคยหมองเศร้า กลับปรากฏประกายของความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
************************
เช้าวันต่อมา หมอหลิวผู้มากประสบการณ์เพิ่งเก็บเข็มเงินในกล่องไม้ หันมาค้อมตัวให้เผิงเหยียนเฉิงที่นอนพักอยู่บนเตียง
“โรคอ่อนแรงนี้ มิใช่ว่าไม่มีทางรักษา เพียงต้องใช้เวลากับความอดทนอย่างมาก ข้าฝังเข็มขับพิษ เปิดจุดลมปราณให้แล้ว ช่วงนี้ต้องดื่มยาบำรุงเลือดลมทุกวัน ห้ามละเลยเด็ดขาด” หมอกล่าวเสียงหนักแน่น
เผิงเหยียนเฉิงพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม แม้สีหน้ายังคงซีดเซียว แต่ในดวงตากลับฉายแววตั้งใจจริง
เมื่อหมอเดินจากไป เหลือเพียงกลิ่นยาขมกรุ่นคละคลุ้งในอากาศ ผ่านไปไม่นาน ลู่ซือหนานก็เดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ มือเรียวประคองถ้วยยาอุ่นๆ ด้วยความระมัดระวัง
“พี่เหยียนเฉิง” นางเอ่ยเรียกเสียงเบา น้ำเสียงมีทั้งความอ่อนโยนและเด็ดเดี่ยว
เผิงเหยียนเฉิงลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างยากลำบาก ลู่ซือหนานรีบวางถ้วยยาลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนเข้ามาประคองเขาอย่างเบามือ
“ข้าต้มยานี้เอง” นางยิ้มบางๆ ดวงหน้าที่มักจะสุขุมมีรอยเขินอายจางๆ
”หมอบอกว่าต้องกินขณะยังร้อนอยู่ ถึงจะได้ผลดีที่สุด”
เผิงเหยียนเฉิงยื่นมือไปรับถ้วยยาอย่างเชื่องช้า
ขณะที่ปลายนิ้วแตะกันเพียงนิดเดียว นางก็รีบชักมือกลับ ใบหน้าใสแดงซ่านเล็กน้อย“ขอบคุณ” เขารับถ้วยยา พลางพึมพำเบาๆ
กลิ่นยาขมจัดตีจมูก เผิงเหยียนเฉิงหลับตาลงรวบรวมใจ แล้วกระดกดื่มรวดเดียวจนหมดถ้วย
เมื่อเขาวางถ้วยลง ลู่ซือหนานก็นั่งลงข้างเตียงอย่างไม่ถือตัว นางรวบรวมความกล้า สูดลมหายใจเข้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ข้ารู้เรื่องของท่านแล้ว ท่านพ่อบอกข้า” เสียงนางอ่อนโยน ทว่าก็แฝงด้วยความโกรธแค้นแทนเขา
เผิงเหยียนเฉิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ลู่ซือหนานเม้มปากแน่น แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยิน
“หญิงผู้นั้น ตาต่ำนัก มองไม่เห็นค่าของพี่เหยียนเฉิงเลยสักนิด” ดวงตานางเป็นประกายเจิดจ้า
“ข้าเชื่อมั่นในตัวพี่ ข้าจะช่วยพี่ ในการปีหน้าพี่เหยียนเฉิงจะต้องสอบเคอจวี่ให้ได้ที่หนึ่ง ให้ผู้คนทั้งใต้หล้ารู้ว่าท่านคือสุดยอดบัณฑิต เป็นจอหงวนแห่งแคว้นสือ” นางเอ่ยอย่างแน่วแน่
เผิงเหยียนเฉิงมองนางอย่างตื้นตันใจ น้ำเสียงนางจริงจังเกินวัย แม้แต่ดวงตาคู่งามก็เต็มไปด้วยความตั้งใจจริง จนเขาอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้
“เช่นนั้น...ข้าคงต้องฝากความหวังกับลู่แล้ว” เขากล่าวกลั้วหัวเราะแผ่วเบา
ลู่ซือหนานเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ ท่าทางเหมือนแมวตัวน้อยที่กำลังโอ้อวดความเก่งกาจ
“ท่านวางใจเถิด ข้าไม่ยอมให้พี่เหยียนเฉิงต้องพ่ายแพ้อีกเป็นครั้งที่สอง” นางกล่าวเสียงขึงขัง
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นในห้องอันอบอุ่น
ใต้แสงแดดที่สาดลอดหน้าต่างไม้ เสมือนเวลาได้หยุดนิ่ง ณ ช่วงเวลานั้น************************
ในช่วงเวลาที่ความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักเริ่มต้น งานราชการในส่วนของสำนักศึกษาที่เผิงเหยียนเฉิงได้ริเริ่มและปรับปรุงใหม่ก็เริ่มประสบความสำเร็จอย่างชัดเจน จากการที่มีแนวคิดปฏิรูปที่เน้นความเป็นธรรมและให้โอกาสแก่ทุกคน ผู้คนในราชสำนักและชาวบ้านต่างยกย่องความคิดเหล่านี้อย่างไม่ขาดสายณ ห้องทำงานหลักในจวนโหว เผิงเหยียนเฉิงก้าวขึ้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความเปลี่ยนแปลงใหม่ ด้วยความตั้งใจที่แท้จริงและความมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบการศึกษาที่เอื้ออำนวยให้แก่สตรี ซึ่งเขาและภรรยา ลู่ซือหนาน ได้ร่วมกันผลักดันมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาหลักสูตรและแนวทางสอนได้ถูกปรับปรุงอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตามคำแนะนำจากผู้รู้และนักวิชาการทั้งในราชสำนักและต่างแคว้นฮ่องเต้ทรงประกาศแสดงความชมเชยต่อความก้าวหน้าของสำนักศึกษาและการปฏิรูปที่ได้รับการดำเนินการโดยเผิงเหยียนเฉิงและลู่ซือหนานอย่างยิ่งยวดขณะเดียวกัน เมื่อหน้าที่การงานประสบความสำเร็จ ครอบครัวของเขาก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันในห้องนอนอันอบอุ่น ภายใต้แสงเทียนสีอ่อนที่สาดส่องลงมาจากเพดานเผิงเหยียนเฉิงที่เพิ่งกลับมาถึง เขาเดินเข้ามาเอื้อม
ในยามค่ำของคืนนั้น ท้องฟ้าโปร่งใสแต่แสงจันทร์ดูหม่นเล็กน้อย บรรยากาศภายในจวนโหวเงียบสงบเช่นเคย จนกระทั่งเสียงร้องเบาๆ ดังขึ้นจากห้องนอนชั้นใน“อื้อ ท่านพี่... ข้าเจ็บ... เจ็บท้อง...”ลู่ซือหนานนิ่วหน้า มือข้างหนึ่งกุมผ้าห่ม อีกข้างจับท้องแน่น ร่างทั้งร่างเกร็งเหมือนคลื่นบางอย่างกำลังซัดเข้ามาทีละระลอกเผิงเหยียนเฉิง ได้ยินเสียงภรรยาก็ลุกจากโต๊ะหนังสือมา ใบหน้าซีดเผือด“ฮูหยิน เจ้าเป็นอะไร เจ็บมากหรือไม่ เสี่ยวหลาน เสี่ยวหลาน ไปตามหมอตำแยมา ไปตามท่านแม่ด้วย”เสียงร้องเรียกดังลั่นจนบ่าวไพร่วิ่งกันพล่านทั่วเรือน เสี่ยวหลานกับสาวใช้หลายคนรีบพากันเข้ามาช่วยพยุงลู่ซือหนานให้นอนสบาย เตรียมน้ำอุ่น ผ้าสะอาดอย่างเร่งด่วนอันเหม่ยฉินเข้ามาพร้อมท่าทีสงบนิ่ง นางมองเห็นสถานการณ์แล้วเอ่ยเสียงเข้ม“ทุกคนอยู่ในความสงบ ให้คนไปตามหมอตำแยแล้วหรือยัง ถ้ายังให้รีบไปตามมา เซี่ยมามารบกวนให้คนต้มยาสมุนไพรตามตำราเร่งด่วน เสี่ยวหลาน เสี่ยวหนิว พวกเจ้าอยู่ใกล้นาง ห้ามให้เคลื่อนไหวแรง”ผู้เป็นสามีพยายามจะเข้าไปใกล้ แต่ลู
ในวันหนึ่ง ณ ถนนหน้าจวนโหว เสียงฝีเท้าของม้าหลายตัวดังขึ้นตามถนนสายหน้าเรือนใหญ่ ขบวนรถม้าอย่างดีจากเจียงเฉินเคลื่อนตัวมาหยุดตรงประตูหน้าจวนโหว ข้ารับใช้รีบออกมาต้อนรับเมื่อรู้ว่าเป็นครอบครัวของฮูหยินใหญ่ประตูไม้เปิดออก ชายในชุดตัวยาวผ้าแพรสีเทาอ่อนลงจากรถก่อน ลู่หยวนฉีบิดาของลู่ซือหนานเดินลงมาแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความปีติ ก่อนจะหันไปรับลูกชายตัวน้อยจากภรรยา ให้นางลงมาจากรถม้าได้สะดวกเด็กน้อยวัยหกเดือนในอ้อมแขนของบิดา เขามีผมดำขลับ ดวงตากลมโต และยิ้มแย้มแจ่มใสไม่ต่างจากพี่สาวอย่างลู่ซือหนานในวัยเยาว์หลี่อันพ่อบ้านประจำจวนรีบเข้าไปแจ้งข่าว แก่ลู่ซือหนานที่นั่งพักอยู่ในห้องพักด้านในเมื่อได้ยินข่าวถึงกับน้ำตารื้นด้วยความตื้นตัน นางให้เสี่ยวหลานพยุงเดินออกมาช้าๆ โดยมีเซี่ยมามาเดินเข้ามาดูแลอยู่ไม่ห่าง เพราะเผิงโหวสั่งเอาไว้ว่าให้นางคอยดูแลนายหญิงให้ดีเมื่อเห็นบิดามารดาและน้องชายตัวน้อย นางคารวะเล็กน้อยแล้วยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนที่อันเหม่ยฉินจะเอามือไปสัมผัสข้างแก้มของบุตรสาวด้วยน้ำตา“ลูกเอ๋ย...แม่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน เจ้าอ่อนล้าหรือไม่ ท้องโ
วันถัดมา หยางมี่อิงแต่งกายเรียบร้อยในชุดผ้าแพรบางสีชมพูอ่อน เครื่องประดับจัดเต็มแต่ดูละมุน เดินมาถึงหน้าจวนโหวอย่างมั่นใจ หวังจะเข้ามาเยี่ยมลู่ซือหนานเช่นเคย“บอกเผิงฮูหยินด้วยว่า ข้ามาเยี่ยมตามปกติ”นางยิ้มบาง ส่งเสียงกับบ่าวเฝ้าประตูแต่บ่าวหนุ่มกลับทำหน้านิ่ง ยกมือขึ้นคำนับ“ขอประทานอภัยแม่นางหยาง ข้าน้อยรับคำสั่งจากท่านโหวเผิงโดยตรง ห้ามมิให้แม่นางก้าวเข้าจวนอีก”“อะไรนะ” สีหน้าหยางมี่อิงเปลี่ยนไปในทันที เสียงที่เคยหวานเริ่มสั่นเครือ“ท่านโหวพูด... พูดแบบนั้นจริงหรือ”บ่าวค้อมศีรษะอย่างสุภาพแต่หนักแน่น “ใช่ขอรับ เป็นคำสั่งชัดเจนเมื่อวานก่อน แม้จะเป็นสหายเก่า ก็ไม่อนุญาตให้เข้าได้ ท่านโหวถึงขั้นให้จดชื่อไว้ด้วย เพื่อป้องกันการฝ่าฝืน”หยางมี่อิงยืนแข็งอยู่หน้าจวน ใบหน้าที่เคยเชิดสูงบัดนี้แดงจัดด้วยความอับอายและโกรธแค้น หัวใจพลันเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง นางไม่คิดว่าเผิงเหยียนเฉิงจะกล้าปฏิเสธนางตรงๆ เช่นนี้ และที่สำคัญกว่านั้น นั่นหมายความว่าเขาอาจบอกภรรยาไปแล้ว&ldqu
บรรยากาศในจวนโหวที่เคยสงบ เริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างแนบเนียนของสตรีอีกนาง หยางมี่อิงยังคงเข้ามาหาลู่ซือหนานบ่อยครั้ง ยิ่งช่วงที่เผิงเหยียนเฉิงต้องออกไปจัดการงานราชการต่างเมือง ก็ยิ่งเปิดโอกาสให้นางได้ใช้เวลาอยู่ในจวนมากขึ้น ทว่าภายใต้รอยยิ้มและน้ำเสียงที่แสดงความสนิทสนมนั้น กลับซ่อนอะไรบางอย่างที่เสี่ยวหลานรู้สึกถึงบ่ายวันหนึ่ง ณ เรือนรับรองภายในจวนโหวลู่ซือหนานนั่งถักเชือกสีขาวแดงสำหรับทำเครื่องประดับทารกอยู่บนตั่งในสวน หยางมี่อิงเดินเข้ามาพร้อมตะกร้าผลไม้ในมือ“วันนี้ข้าแวะผ่านตลาด เห็นท้อขาวลูกสวยเลยซื้อมาฝากเจ้า” หยางมี่อิงยิ้มอ่อนโยน วางตะกร้าไว้บนโต๊ะหิน“หญิงตั้งครรภ์กินผลไม้สดดีต่อร่างกาย”“ขอบใจเจ้า มี่อิง” ลู่ซือหนานรับคำอย่างนุ่มนวล พลางวางเชือกในมือลง“เจ้าลำบากแวะมาหาข้าบ่อย ข้ารู้สึกเกรงใจนัก”“เจ้าเป็นเพื่อนเก่า ข้าดีใจที่ได้อยู่ใกล้ๆ ต่างหาก” หยางมี่อิงกล่าวพร้อมยิ้มหวาน ดวงตากวาดมองไปทางเรือนรอบข้าง แล้วเอ่ยขึ้นเหมือนไม่ตั้งใจ“ช่วงนี้ท่านโหวไม่
ช่วงเวลาหลายวันถัดมา หยางมี่อิงเริ่มแวะเวียนมาหาลู่ซือหนานที่จวนโหวบ่อยขึ้น นางพูดจานุ่มนวล อ่อนโยน และมักนำของฝากเล็กๆ น้อยๆ มาให้ ไม่ว่าจะเป็นผ้าแพรลวดลายงามจากทางใต้ หรือสมุนไพรบำรุงครรภ์ที่ได้จากหมอชื่อดัง“ข้าเห็นเจ้ากำลังตั้งครรภ์ เลยปรึกษาผู้อาวุโสในเรือน ข้าว่าน้ำขิงสูตรนี้จะช่วยให้เจ้าหลับได้ดีขึ้นยามค่ำ” หยางมี่อิงยื่นถ้วยให้ลู่ซือหนานด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนลู่ซือหนานรับน้ำขิงมา แต่ไม่ได้ดื่มเข้าไป เพราะไม่ไว้ใจยาจากคนนอก “ขอบคุณเจ้ามาก ข้ามีบ่าวอยู่ แต่ก็อบอุ่นใจนักที่เจ้าห่วงใยถึงเพียงนี้”หยางมี่อิงนั่งลงใกล้ๆ พลางช่วยจัดเรียงผ้าปักลายที่สาวใช้พับไว้ข้างตั่ง“เจ้ารู้หรือไม่ ข้าอิจฉาเจ้ายิ่งนัก...” นางว่าเบาๆ“มีสามีดี มีลูกในครรภ์ และยังได้รับเกียรติให้ตั้งสำนักศึกษาอีก ข้าดีใจแทนเจ้านะซือหนาน”ลู่ซือหนานยิ้ม ไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่เก็บถ้อยคำเหล่านั้นไว้ในใจ นางสัมผัสได้ถึงความจริงใจปนเล่ห์นัยบางอย่างจากน้ำเสียงของเพื่อนเล่นวัยเยาว์ เหมือนสายลมอ่อนโยน แต่กลับแฝงความเยือกเย็นบางอย่าง