ภายในห้องพักที่อบอวลด้วยกลิ่นยาสมุนไพรอ่อนๆ เผิงเหยียนเฉิงนั่งลงช้าๆ บนตั่งไม้ หันหน้าออกไปยังหน้าต่างที่เปิดรับลมเย็นสบาย
ยังไม่ทันได้หลับตาพักผ่อน เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นหน้าห้อง
“พี่เหยียนเฉิง” ลู่ซือหนานก้าวเข้ามาพร้อมถาดไม้ในมือ ในนั้นวางกาน้ำต้มยาอยู่
“ข้าให้ห้องครัวเตรียมยาตามใบสั่งของหมอไว้ให้ท่านดื่ม ข้าอยากต้มด้วยตัวเอง จึงมาเองเจ้าค่ะ”
นางเอ่ยเสียงนุ่ม ดวงตาใสบริสุทธิ์เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยเผิงเหยียนเฉิงมองนางเงียบๆ แวบหนึ่งในดวงตาคมกริบมีแววอ่อนโยนผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นางค่อยๆ รินน้ำยาอุ่นร้อนลงในถ้วย แล้วยื่นให้เขาด้วยมือของตนเอง
“ยานี้แม้จะขมหน่อย แต่หมอบอกว่าดื่มเป็นประจำจะฟื้นฟูเส้นเอ็นได้เร็วขึ้นเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มให้กำลังใจ
เผิงเหยียนเฉิงยื่นมือไปรับถ้วยยามา ดวงมือที่สัมผัสกับปลายนิ้วของนางเพียงแผ่วเบา แต่กลับส่งผ่านความอบอุ่นที่ทำให้ใจเขาสั่นสะท้าน
เขารับยามาเงียบๆ ดื่มยาขมเฝื่อนนั้นจนหมดโดยไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย
“เจ้าควรกลับไปพักผ่อนเถอะ” เขาเอ่ยเบาๆ หลบสายตาอ่อนโยนของนางอย่างระมัดระวัง
ลู่ซือหนานพยักหน้า ยิ้มอ่อนหวาน “เช่นนั้นข้าจะไปดูหม้อยาอีกที ว่าต้องต้มยาชุดถัดไปอย่างไร”
เมื่อเห็นนางเดินจากไป เผิงเหยียนเฉิงจึงค่อยๆ หลับตาลง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหน้าอกเบาๆ ราวกับจะกดทับความรู้สึกที่ไม่ควรมี
นางช่างอ่อนโยน ช่างเมตตาเหลือเกิน นางดีเกินกว่าจะถูกบุรุษชั่วช้าผู้นั้นหลอกลวง แต่นอกจากความห่วงใยส่วนลึกของหัวใจกลับมีความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามา ก่อนจะสลัดความคิดบ้าๆ เช่นนั้น
‘ข้าเป็นเพียงผู้อาศัย...เจ้าเองก็มีคู่หมายแล้ว’
ความรู้สึกอบอุ่นที่ไหลเอ่อในใจ ถูกเขากลืนลงไปกับยาขมรสขื่นที่เพิ่งดื่ม ฝืนใจไม่ให้ไหลไปไกลกว่าความเหมาะสมที่เขาควรยึดมั่น
บัณฑิตหนุ่มเอนกายลงบนตั่ง หลับตาลง ปล่อยให้เสียงลมที่พัดผ่านใบไม้กล่อมให้จิตใจที่ปั่นป่วนได้สงบลงชั่วคราว
************************
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่สิบวันภายใต้การดูแลของหมอฝังเข็มและยาสมุนไพรที่ลู่ซือหนานคอยจัดการให้ด้วยตัวเอง เผิงเหยียนเฉิงค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นทีละน้อย
มือนั้นที่เคยหมดเรี่ยวแรง บัดนี้สามารถจับพู่กันได้แล้ว แม้เส้นอักษรที่เขียนยังไม่มั่นคงเท่าเก่า แต่ก็ชัดเจนกว่าครั้งก่อนมากนัก
ทุกเช้า เขาจะฝึกเดินไปตามแนวระเบียงยาวของเรือนรอง แม้ยังต้องใช้ไม้เท้าพยุงกาย แต่ก็ก้าวได้มั่นคงกว่าเดิม
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่เผิงเหยียนเฉิงกำลังนั่งอยู่ในศาลาหลังเล็ก ฝึกเขียนอักษรด้วยความตั้งใจ ลู่หยวนฉีเดินเข้ามาเงียบๆ
ชายชราผู้นี้ยืนดูอยู่นาน พลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“เหยียนเฉิง ดูเหมือนเจ้าจะพร้อมแล้ว” เสียงทุ้มของเขาดังขึ้น
“ท่านลุงลู่” เผิงเหยียนเฉิงวางพู่กัน หันไปประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม
“เพราะความเมตตาของท่านที่ช่วยเหลือข้าเอาไว้และให้โอกาสข้า ข้าจะไม่มีวันลืมน้ำใจของท่านในครั้งนี้”
ลู่หยวนฉียกมือขึ้นปรามไม่ให้เขาต้องมากพิธีรีตอง
“เจ้ามีฝีมือ เพียงแต่เคราะห์ร้าย หากมีโอกาสต้องใช้มันอย่างไม่ให้สูญเปล่า ข้าได้ขอให้อาจารย์จากสำนักศึกษามาที่นี่ เพื่อสอนตำราให้เจ้าโดยเฉพาะ พร้อมกับตำราปรัชญาต่างๆ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
เผิงเหยียนเฉิงชะงักงันไปชั่วครู่ ดวงตาสั่นระริกด้วยความตื้นตัน
อาจารย์จากสำนักศึกษา...สำนักศึกษาคือสถานศึกษาที่ดีที่สุดในแคว้น สอนทั้งลิขิตธรรม ปรัชญาและการปกครอง การได้เรียนกับอาจารย์เช่นนั้นไม่ต่างกับการได้รับการยอมรับอีกครั้งในฐานะบัณฑิต
เขารีบประสานมือ ก้มศีรษะลงต่ำจนแทบแตะพื้น
“ข้าจะตั้งใจเรียนให้ถึงที่สุด” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความตั้งมั่น ลู่หยวนฉียิ้มบางๆ ตบบ่าของเขาเบาๆ
“ดี...ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ ก้าวต่อไป อย่าให้ใครกล่าวหาว่าเจ้าคือบัณฑิตไร้ค่าได้อีก”
ถ้อยคำนั้น ทั้งเหมือนคำปลอบโยน ทั้งเหมือนการจุดไฟให้หัวใจที่เกือบดับมอด ได้ลุกขึ้นอีกครั้ง
เผิงเหยียนเฉิงกำหมัดแน่นในอก ตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าเขาจะต้องกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาให้ได้ ไม่ใช่เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อคนที่มอบโอกาสให้อีกครั้งเช่นกัน
“ตอนนี้ร่างกายข้าแข็งแรงขึ้นมากแล้ว ว่าจะไปคารวะลู่ฮูหยิน ไม่ทราบว่าท่านลุงว่าว่าอย่างไร” เขากล่าวถึงลู่ฮูหยินด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“นางก็บ่นอยากมาเยี่ยมเจ้า แต่นางมัวแต่วุ่นวายกับการสั่งพวกบ่าวไพร่ทำความสะอาดเรือนรองานมงคล เจ้าไปเยี่ยมนางก็ดีเหมือนกัน”
“ขอรับ” เขาตอบรับแล้วยิ้มด้วยความอบอุ่น นานแล้วที่ไม่ได้เจอลู่ฮูหยินผู้มีเมตตา จำได้ว่าตอนเด็กๆ นางเอ็นดูเขามาก ตอนนี้ไม่มั่นใจว่าจะยังเมตตาตนอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ แต่ก็มั่นใจว่าคนมีเมตตาอย่างไรย่อมมีเมตตาดังเดิม
************************
เผิงเหยียนเฉิงในชุดผ้าแพรเนื้อดีสีฟ้า ถือถาดน้ำชาด้วยมือที่กลับมาแข็งแรงมั่นคง เดินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของเรือนหลักอย่างสง่างามลู่หยวนฉีและอันเหม่ยฉินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ท่าทางเรียบง่ายทว่ามีอำนาจอย่างสงบ เผิงเหยียนเฉิงหยุดอยู่หน้าโต๊ะ ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม ก่อนยกถ้วยน้ำชาขึ้น“เผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะท่านลุงลู่ ท่านป้าลู่ ขอขอบคุณท่านทั้งสองที่เมตตาช่วยเหลือ ให้ที่พักพิง และให้โอกาสข้าได้เริ่มต้นใหม่ ข้าจะจดจำพระคุณนี้ไปชั่วชีวิต”ลู่หยวนฉีหัวเราะเบาๆ รับถ้วยน้ำชา ยกขึ้นจิบเล็กน้อย จากนั้นก็วางลง“เป็นเรื่องที่ควรกระทำ เจ้าคือบุตรชายของผู้มีพระคุณเก่าแก่ของข้า” เขาหันไปมองภรรยาของตนอย่างอบอุ่นอันเหม่ยฉินยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นบ้าง“ตอนพวกเราเพิ่งย้ายมาเมืองเจียงเฉิน ยังเป็นครอบครัวเล็กๆ ไม่มีแม้กระทั่งเรือนใหญ่โตอย่างในตอนนี้” นางมองใบหน้าของเผิงเหยียนเฉิงด้วยสายตาเอ็นดู เหมือนมองเด็กคนหนึ่งที่เคยรู้จักมานาน“จำได้ว่าตอนนั้น...เจ้ามักจะตามพ่อเจ้ามาเรือนข้าอยู่เสมอ อยู่เป็นเพื่อนหนานเอ๋อร์ของข้า เล่นกันอยู่ใต้ต้นไม้หน้าเรือน” เสียงหัวเราะนุ่มนวลแฝงด้วยความคิดถึง“ข้าไม่เคยลืมเ
ขณะที่ภายในห้องโถงใหญ่ยังเต็มไปด้วยบรรยากาศของการพูดคุยอย่างดุเดือดด้วยความมุ่งหวังและความโกรธแทนเผิงเหยียนเฉิง เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นที่ประตูลู่ซือหนานในชุดผ้าแพรสีอ่อน เดินยิ้มแย้มเข้ามาอย่างร่าเริง นางก้มตัวคารวะอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยเสียงใส“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขออนุญาตออกไปเดินชมตลาดกับเสี่ยวหลานสักครู่เจ้าค่ะ วันนี้ตลาดกลางเมืองคึกคักนัก”ลู่หยวนฉีจึงปรับสีหน้าให้อารมณ์ดีขึ้นจากการพูดคุยกับเผิงเหยียนเฉิง เขาหัวเราะเสียงดัง ลูบเคราไปพลางกล่าว“ไปเถิดๆ แต่พาเหยียนเฉิงไปเดินผ่อนคลายด้วยกันเสียหน่อยสิ เห็นอยู่ว่าข้าสั่งให้พักฟื้นนานแล้ว ออกไปเดินสูดอากาศย่อมดีต่อร่างกาย”ลู่ซือหนานชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเผิงเหยียนเฉิงที่นั่งนิ่งอยู่ไม่ไกลนางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าอย่างสุภาพ“ท่านพ่อเจ้าคะ... ข้าว่าให้พี่เหยียนเฉิงพักผ่อนต่อเถิดเจ้าค่ะ เขาเพิ่งหายดี ยังเดินไม่สะดวก หากต้องฝืนเดินกลางตลาดอาจเหนื่อยเปล่าๆ อีกอย่างข้ากับเสี่ยวหลานก็เดินซื้อของตามประสาสตรี พี่เหยียนเฉิงอาจจะเบื่อเอาได้”“ใช่แล้ว ปล่อยให้เขาพักผ่อนเถอะ อีกสองสามวันร่างกายแข็งแรงกว่านี้ค่อยว่ากัน” อันเหม่ยฉ
ตลาดเมืองเจียงเฉินครึกครื้นไปด้วยเสียงผู้คน ร้านรวงเปิดเรียงราย กลิ่นขนมอบใหม่และเครื่องหอมลอยตลบไปทั่วลู่ซือหนานเดินทอดน่องไปตามถนนกลางตลาด ดวงตาเปล่งประกายสดใส นางเดินชมข้าวของอย่างเพลิดเพลิน โดยมีเสี่ยวหลานสาวใช้เดินอย่างใกล้ชิด และห่างออกไปเป็นบ่าวอีกสองคนที่ติดตามห่างๆ ตามคำสั่งของลู่ฮูหยินขณะกำลังมองดูร้านเครื่องหอมอยู่นั้น ดวงตาก็พลันเหลือบเห็นเงาคุ้นตาอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับ เขาสวมอาภรณ์สีดำทอง ท่าทางหรูหราโอ่อ่า นั่นคือไป๋ซื่ออัน คู่หมายของนางนั่นเองหัวใจของลู่ซือหนานพองโตทันที นางก้าวเท้าจะเข้าไปหา ทว่าในชั่วเวลาถัดมาฝีเท้าก็หยุดชะงักลงไป๋ซื่ออันกำลังยื่นมือเลือกปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งจากแผง สายตาของเขาเปล่งประกายราวกับมองของล้ำค่าอย่างหวงแหนเสี่ยวหลานที่เดินตามมา เห็นท่าทีผิดปกติของคุณหนู จึงเอียงคอถามเสียงเบา“คุณหนู เหตุใดไม่เข้าไปทักล่ะเจ้าคะ”“ไม่เป็นไร คุณชายไป๋คงกำลังเลือกของขวัญให้ข้า หากข้าเข้าไปตอนนี้ก็จะรู้ล่วงหน้าเสียก่อน จะไม่ตื่นเต้นเมื่อได้รับน่ะสิ” นางหัวเราะเบาๆ แล้วเดินอมยิ้มไปอีกทาง“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นตอนได้รั
อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เหลือเพียงแสงจันทร์สีเงินที่เริ่มสาดส่องลงมายังสวนกว้าง สายลมเย็นโชยพัดกลีบดอกไม้ปลิวไสว กลิ่นหอมบางเบาแผ่ซ่านในอากาศยามราตรีลู่ซือหนานเดินเคียงข้างบัณฑิตหนุ่มที่พยุงตัวด้วยไม้เท้าตรงไปที่ศาลา โดยมีบ่าวคนสนิทติดตามอยู่ด้านหลังลู่ซือหนานเหลือบมองเขาอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเผิงเหยียนเฉิงดูสดชื่นกว่าก่อนหน้านี้มาก สีหน้าซีดเซียวก็มีเลือดฝาดขึ้น“ท่านดูดีขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ พี่เหยียนเฉิง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจแท้จริงเผิงเหยียนเฉิงหัวเราะเบาๆ เอียงหน้าหลบสายตาอ่อนโยนนั้น“ขอบคุณคุณหนูลู่ที่ดูแลข้ามาตลอด หากมิใช่เพราะครอบครัวของเจ้า ข้าคงมิอาจมีวันนี้”ลู่ซือหนานส่ายหน้าเบาๆ “อย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ ข้า...ข้าเพียงแต่...อยากให้ท่านดีขึ้นเร็วๆ เท่านั้น”คำพูดของนางอ่อนหวานและจริงใจนัก จนเผิงเหยียนเฉิงรู้สึกใจอ่อนยวบเขาก้าวข้างกันไปช้าๆ กับนางโดยไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ปล่อยให้เสียงลมและกลิ่นหอมของดอกไม้ยามเย็นคลอเคล้าเป็นเพื่อนในใจของเขาได้แต่ภาวนาเงียบๆ ขอเพียงให้ช่วงเวลานี้ ยืดยาวออกไปอีกสักนิด ก็ยังดีเมื่อไปถึง เผิงเหยียนเฉิงนั่งอยู่บนศาลา
เช้าวันหนึ่ง ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ริมลานเรือนรองมีการจัดโต๊ะยาวคลุมด้วยผ้าขาวสะอาด บนโต๊ะวางเครื่องเขียนอย่างพู่กัน กระดาษไผ่ และจานหมึกไว้อย่างเป็นระเบียบอาจารย์หวัง หัวหน้าผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสำนักศึกษา สวมชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อน เดินเข้ามาในเรือนด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้ามีริ้วรอยบางเบาแต่ดวงตากลับยังคมกริบเผิงเหยียนเฉิงในชุดบัณฑิตสีคราม เดินด้วยท่าทางที่ไม่ถนัดนัก แม้ท่าเดินยังไม่มั่นคงแต่เขาก็มีความตั้งใจ เดินไปหยุดต่อหน้า ประสานมือคำนับด้วยความเคารพ“ข้าน้อยเผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะอาจารย์”อาจารย์หวังพยักหน้าช้าๆ สีหน้าเคร่งขรึมอย่างนักปราชญ์ผู้มากประสบการณ์“นายท่านลู่ฝากฝังเจ้ากับข้า หวังว่าเจ้าจะตั้งใจเล่าเรียน เพื่อไม่ให้เสียชื่อผู้ที่เมตตาเจ้า”“ข้าน้อยย่อมเต็มกำลัง” เผิงเหยียนเฉิงตอบหนักแน่นหลังจากนั้นบทเรียนก็เริ่มขึ้น อาจารย์หวังเริ่มจากการทบทวนศาสตร์พื้นฐาน ทั้งวรรณคดี ปรัชญาขงจื๊อ เมิ่งจื้อ ตลอดจนข้อสอบแบบประเมินความรู้ในชั้นสูงเผิงเหยียนเฉิงแม้เพิ่งฟื้นตัวไม่นาน แต่สมาธิกลับแน่วแน่ พู่กันในมือเขาเขียนตัวอักษรได้มั่นคงและสวยงามกว่าที่อาจารย์หวังคาดคิดขณะที่เขาเขียน อาจารย์ห
บริเวณศาลาชมสวน ไป๋ซื่ออันยืนรออยู่ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยเช่นเคย สวมชุดผ้าแพรสีเทาอ่อน ห้อยหยกแกะสลักที่เอว“ขออภัยที่ทำให้ท่านคอย” ลู่ซือหนานเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มกว้าง“ไม่เป็นไร ข้าเองเพิ่งมาไม่นาน” ไป๋ซื่ออันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผายมือให้นางเดินไปพร้อมกันทั้งสองนั่งสนทนากันที่ศาลา ท่ามกลางเสียงใบไม้ไหวเบาๆ ลู่ซือหนานชำเลืองมองถุงผ้าที่ชายหนุ่มถือมาในมือ ใจเต้นระส่ำอย่างตื่นเต้น นางนึกถึงเครื่องประดับที่อีกฝ่ายเลือกซื้อในตลาดวันนั้น แต่รอแล้วรอเล่า ไป๋ซื่ออันกลับไม่ได้เอ่ยถึงเลยแม้แต่น้อยบทสนทนาไหลไปเรื่อยๆ ถึงแผนการส่งของหมั้นที่กำลังจะมาถึง ไม่มีคำพูดใดเกี่ยวกับปิ่นหยกชิ้นนั้นที่นางกำลังรอรับจากเขาแม้ในใจจะมีคำถามค้างคา แต่ลู่ซือหนานก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา นางเพียงยิ้มและหัวเราะอย่างสุภาพ ตอบโต้ด้วยถ้อยคำเรียบง่าย‘หรือเขาลืมพกติดตัวมาด้วย’ นางปลอบใจตัวเองในใจ แต่ก็ยังยิ้มแย้มพูดคุยกับเขาด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอ่อนหวานอีกด้านหนึ่ง เผิงเหยียนเฉิงเดินอย่างไม่มั่นคงนักเพราะเพิ่งหัดเดินโดยไม่ใช้ไม้เท้าเป็นวันแรก เขาค่อยๆพาตัวเองมายืนอยู่หลังแนวไม้พุ่ม ชำเลืองสายตาไปยังร่างเล็กที่กำลังยืน
ยามค่ำคืน แสงจันทร์สาดทอผ่านหน้าต่างโปร่งบาง ลู่ซือหนานนั่งอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่ ผ้าห่มไหมสีอ่อนคลุมตักนางเอาไว้ ดวงหน้าเปล่งปลั่งยามไร้เครื่องประดับใดๆ กลับยิ่งดูอ่อนเยาว์น่ามองยิ่งกว่าเคยในมือนางกำลังถือหวีไม้สางผมช้าๆ ขณะปล่อยให้ความคิดล่องลอย“เสี่ยวหลาน” เสียงนุ่มนวลเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิทที่กำลังพับเสื้อผ้าอยู่อีกมุมหนึ่งเสี่ยวหลานรีบเดินเข้ามาหา “คุณหนูมีอะไรจะรับสั่งเจ้าคะ”ลู่ซือหนานยิ้มนิดๆ สายตาเหมือนมีแววฝันลอยอยู่ในนั้น“เจ้าจำได้หรือไม่ ตอนข้าเจอคุณชายไป๋ครั้งแรก” นางเอียงหน้าพิงเสาเตียง พลางมองไปยังหน้าต่างที่เปิดแง้มรับลมเย็นเบาๆเสี่ยวหลานยิ้มตาม ก่อนพยักหน้า “จำได้เจ้าค่ะ คุณหนูตกใจจนหน้าเผือดเชียว”ลู่ซือหนานหัวเราะคิก รอยยิ้มงดงามดุจดอกไม้แรกแย้ม“วันนั้น รถม้าคันใหญ่วิ่งมาอย่างรวดเร็ว ข้าคิดว่าคงไม่รอดเสียแล้ว” นางเล่า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเหมือนยังรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวในตอนนั้น“แต่ขาพุ่งเข้ามา ดึงข้าออกจากถนนไว้ทัน”ภาพในความทรงจำปรากฏชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ชายหนุ่มในชุดสีเข้ม ยื่นมือมาคว้าแขนนาง แล้วดึงเข้าหาตัว แววตาของเขาในยา
สายลมเย็นยะเยือกในฤดูใบไม้ผลิพัดต้องกระดาษหน้าต่างบางเบา ส่งเสียงกรอบแกรบไม่ขาดสายภายในเรือนพักอันเงียบสงัด เผิงเหยียนเฉิงลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่คมที่เคยเปล่งประกายบัดนี้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า มือข้างขวาของเขาขยับเพียงเล็กน้อยก็พลันรู้สึกชาดั่งไม่ใช่ร่างกายของตนเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล แผ่วเบาแต่ชัดเจนไม่นานนัก ประตูเรือนก็ถูกผลักเปิดออกอย่างไม่เบามือนัก ร่างงามในชุดแพรไหมสีแดงลายดอกโบตั๋นเยื้องย่างเข้ามา ใบหน้าเรียวที่แต่งแต้มอย่างประณีตมีเพียงความเย็นชาปรากฏอยู่ในดวงตา“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” น้ำเสียงของโจวจิงหยูเยียบเย็นราวหยดน้ำค้างยามรุ่งสาง นางไม่ได้เอ่ยถามไถ่ ไม่ได้เอื้อมมือสัมผัสหน้าผากเขาเช่นภรรยาทั่วไป ทว่ากลับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้ากระดาษบางเบาถูกประทับตราประจำตระกูลโจวเอาไว้อย่างชัดเจน“หนังสือหย่า!” เผิงเหยียนเฉิงเบิกตากว้างขึ้นเพียงนิด ดวงตาที่ขุ่นมัวยิ่งหมองหม่นลง“เพราะเหตุใดเล่าฮูหยิน” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว ทั้งที่แม้แต่เปล่งเสียงยังรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน โจวจิงหยูหัวเราะเบาๆ แต่แฝงด้วยความเยาะหยัน“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมใช้ชีวิตอยู่กับบุรุษพิการเช่นเจ้าหรือ มื
ยามค่ำคืน แสงจันทร์สาดทอผ่านหน้าต่างโปร่งบาง ลู่ซือหนานนั่งอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่ ผ้าห่มไหมสีอ่อนคลุมตักนางเอาไว้ ดวงหน้าเปล่งปลั่งยามไร้เครื่องประดับใดๆ กลับยิ่งดูอ่อนเยาว์น่ามองยิ่งกว่าเคยในมือนางกำลังถือหวีไม้สางผมช้าๆ ขณะปล่อยให้ความคิดล่องลอย“เสี่ยวหลาน” เสียงนุ่มนวลเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิทที่กำลังพับเสื้อผ้าอยู่อีกมุมหนึ่งเสี่ยวหลานรีบเดินเข้ามาหา “คุณหนูมีอะไรจะรับสั่งเจ้าคะ”ลู่ซือหนานยิ้มนิดๆ สายตาเหมือนมีแววฝันลอยอยู่ในนั้น“เจ้าจำได้หรือไม่ ตอนข้าเจอคุณชายไป๋ครั้งแรก” นางเอียงหน้าพิงเสาเตียง พลางมองไปยังหน้าต่างที่เปิดแง้มรับลมเย็นเบาๆเสี่ยวหลานยิ้มตาม ก่อนพยักหน้า “จำได้เจ้าค่ะ คุณหนูตกใจจนหน้าเผือดเชียว”ลู่ซือหนานหัวเราะคิก รอยยิ้มงดงามดุจดอกไม้แรกแย้ม“วันนั้น รถม้าคันใหญ่วิ่งมาอย่างรวดเร็ว ข้าคิดว่าคงไม่รอดเสียแล้ว” นางเล่า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเหมือนยังรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวในตอนนั้น“แต่ขาพุ่งเข้ามา ดึงข้าออกจากถนนไว้ทัน”ภาพในความทรงจำปรากฏชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ชายหนุ่มในชุดสีเข้ม ยื่นมือมาคว้าแขนนาง แล้วดึงเข้าหาตัว แววตาของเขาในยา
บริเวณศาลาชมสวน ไป๋ซื่ออันยืนรออยู่ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยเช่นเคย สวมชุดผ้าแพรสีเทาอ่อน ห้อยหยกแกะสลักที่เอว“ขออภัยที่ทำให้ท่านคอย” ลู่ซือหนานเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มกว้าง“ไม่เป็นไร ข้าเองเพิ่งมาไม่นาน” ไป๋ซื่ออันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผายมือให้นางเดินไปพร้อมกันทั้งสองนั่งสนทนากันที่ศาลา ท่ามกลางเสียงใบไม้ไหวเบาๆ ลู่ซือหนานชำเลืองมองถุงผ้าที่ชายหนุ่มถือมาในมือ ใจเต้นระส่ำอย่างตื่นเต้น นางนึกถึงเครื่องประดับที่อีกฝ่ายเลือกซื้อในตลาดวันนั้น แต่รอแล้วรอเล่า ไป๋ซื่ออันกลับไม่ได้เอ่ยถึงเลยแม้แต่น้อยบทสนทนาไหลไปเรื่อยๆ ถึงแผนการส่งของหมั้นที่กำลังจะมาถึง ไม่มีคำพูดใดเกี่ยวกับปิ่นหยกชิ้นนั้นที่นางกำลังรอรับจากเขาแม้ในใจจะมีคำถามค้างคา แต่ลู่ซือหนานก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา นางเพียงยิ้มและหัวเราะอย่างสุภาพ ตอบโต้ด้วยถ้อยคำเรียบง่าย‘หรือเขาลืมพกติดตัวมาด้วย’ นางปลอบใจตัวเองในใจ แต่ก็ยังยิ้มแย้มพูดคุยกับเขาด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอ่อนหวานอีกด้านหนึ่ง เผิงเหยียนเฉิงเดินอย่างไม่มั่นคงนักเพราะเพิ่งหัดเดินโดยไม่ใช้ไม้เท้าเป็นวันแรก เขาค่อยๆพาตัวเองมายืนอยู่หลังแนวไม้พุ่ม ชำเลืองสายตาไปยังร่างเล็กที่กำลังยืน
เช้าวันหนึ่ง ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ริมลานเรือนรองมีการจัดโต๊ะยาวคลุมด้วยผ้าขาวสะอาด บนโต๊ะวางเครื่องเขียนอย่างพู่กัน กระดาษไผ่ และจานหมึกไว้อย่างเป็นระเบียบอาจารย์หวัง หัวหน้าผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสำนักศึกษา สวมชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อน เดินเข้ามาในเรือนด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้ามีริ้วรอยบางเบาแต่ดวงตากลับยังคมกริบเผิงเหยียนเฉิงในชุดบัณฑิตสีคราม เดินด้วยท่าทางที่ไม่ถนัดนัก แม้ท่าเดินยังไม่มั่นคงแต่เขาก็มีความตั้งใจ เดินไปหยุดต่อหน้า ประสานมือคำนับด้วยความเคารพ“ข้าน้อยเผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะอาจารย์”อาจารย์หวังพยักหน้าช้าๆ สีหน้าเคร่งขรึมอย่างนักปราชญ์ผู้มากประสบการณ์“นายท่านลู่ฝากฝังเจ้ากับข้า หวังว่าเจ้าจะตั้งใจเล่าเรียน เพื่อไม่ให้เสียชื่อผู้ที่เมตตาเจ้า”“ข้าน้อยย่อมเต็มกำลัง” เผิงเหยียนเฉิงตอบหนักแน่นหลังจากนั้นบทเรียนก็เริ่มขึ้น อาจารย์หวังเริ่มจากการทบทวนศาสตร์พื้นฐาน ทั้งวรรณคดี ปรัชญาขงจื๊อ เมิ่งจื้อ ตลอดจนข้อสอบแบบประเมินความรู้ในชั้นสูงเผิงเหยียนเฉิงแม้เพิ่งฟื้นตัวไม่นาน แต่สมาธิกลับแน่วแน่ พู่กันในมือเขาเขียนตัวอักษรได้มั่นคงและสวยงามกว่าที่อาจารย์หวังคาดคิดขณะที่เขาเขียน อาจารย์ห
อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เหลือเพียงแสงจันทร์สีเงินที่เริ่มสาดส่องลงมายังสวนกว้าง สายลมเย็นโชยพัดกลีบดอกไม้ปลิวไสว กลิ่นหอมบางเบาแผ่ซ่านในอากาศยามราตรีลู่ซือหนานเดินเคียงข้างบัณฑิตหนุ่มที่พยุงตัวด้วยไม้เท้าตรงไปที่ศาลา โดยมีบ่าวคนสนิทติดตามอยู่ด้านหลังลู่ซือหนานเหลือบมองเขาอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเผิงเหยียนเฉิงดูสดชื่นกว่าก่อนหน้านี้มาก สีหน้าซีดเซียวก็มีเลือดฝาดขึ้น“ท่านดูดีขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ พี่เหยียนเฉิง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจแท้จริงเผิงเหยียนเฉิงหัวเราะเบาๆ เอียงหน้าหลบสายตาอ่อนโยนนั้น“ขอบคุณคุณหนูลู่ที่ดูแลข้ามาตลอด หากมิใช่เพราะครอบครัวของเจ้า ข้าคงมิอาจมีวันนี้”ลู่ซือหนานส่ายหน้าเบาๆ “อย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ ข้า...ข้าเพียงแต่...อยากให้ท่านดีขึ้นเร็วๆ เท่านั้น”คำพูดของนางอ่อนหวานและจริงใจนัก จนเผิงเหยียนเฉิงรู้สึกใจอ่อนยวบเขาก้าวข้างกันไปช้าๆ กับนางโดยไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ปล่อยให้เสียงลมและกลิ่นหอมของดอกไม้ยามเย็นคลอเคล้าเป็นเพื่อนในใจของเขาได้แต่ภาวนาเงียบๆ ขอเพียงให้ช่วงเวลานี้ ยืดยาวออกไปอีกสักนิด ก็ยังดีเมื่อไปถึง เผิงเหยียนเฉิงนั่งอยู่บนศาลา
ตลาดเมืองเจียงเฉินครึกครื้นไปด้วยเสียงผู้คน ร้านรวงเปิดเรียงราย กลิ่นขนมอบใหม่และเครื่องหอมลอยตลบไปทั่วลู่ซือหนานเดินทอดน่องไปตามถนนกลางตลาด ดวงตาเปล่งประกายสดใส นางเดินชมข้าวของอย่างเพลิดเพลิน โดยมีเสี่ยวหลานสาวใช้เดินอย่างใกล้ชิด และห่างออกไปเป็นบ่าวอีกสองคนที่ติดตามห่างๆ ตามคำสั่งของลู่ฮูหยินขณะกำลังมองดูร้านเครื่องหอมอยู่นั้น ดวงตาก็พลันเหลือบเห็นเงาคุ้นตาอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับ เขาสวมอาภรณ์สีดำทอง ท่าทางหรูหราโอ่อ่า นั่นคือไป๋ซื่ออัน คู่หมายของนางนั่นเองหัวใจของลู่ซือหนานพองโตทันที นางก้าวเท้าจะเข้าไปหา ทว่าในชั่วเวลาถัดมาฝีเท้าก็หยุดชะงักลงไป๋ซื่ออันกำลังยื่นมือเลือกปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งจากแผง สายตาของเขาเปล่งประกายราวกับมองของล้ำค่าอย่างหวงแหนเสี่ยวหลานที่เดินตามมา เห็นท่าทีผิดปกติของคุณหนู จึงเอียงคอถามเสียงเบา“คุณหนู เหตุใดไม่เข้าไปทักล่ะเจ้าคะ”“ไม่เป็นไร คุณชายไป๋คงกำลังเลือกของขวัญให้ข้า หากข้าเข้าไปตอนนี้ก็จะรู้ล่วงหน้าเสียก่อน จะไม่ตื่นเต้นเมื่อได้รับน่ะสิ” นางหัวเราะเบาๆ แล้วเดินอมยิ้มไปอีกทาง“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นตอนได้รั
ขณะที่ภายในห้องโถงใหญ่ยังเต็มไปด้วยบรรยากาศของการพูดคุยอย่างดุเดือดด้วยความมุ่งหวังและความโกรธแทนเผิงเหยียนเฉิง เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นที่ประตูลู่ซือหนานในชุดผ้าแพรสีอ่อน เดินยิ้มแย้มเข้ามาอย่างร่าเริง นางก้มตัวคารวะอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยเสียงใส“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขออนุญาตออกไปเดินชมตลาดกับเสี่ยวหลานสักครู่เจ้าค่ะ วันนี้ตลาดกลางเมืองคึกคักนัก”ลู่หยวนฉีจึงปรับสีหน้าให้อารมณ์ดีขึ้นจากการพูดคุยกับเผิงเหยียนเฉิง เขาหัวเราะเสียงดัง ลูบเคราไปพลางกล่าว“ไปเถิดๆ แต่พาเหยียนเฉิงไปเดินผ่อนคลายด้วยกันเสียหน่อยสิ เห็นอยู่ว่าข้าสั่งให้พักฟื้นนานแล้ว ออกไปเดินสูดอากาศย่อมดีต่อร่างกาย”ลู่ซือหนานชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเผิงเหยียนเฉิงที่นั่งนิ่งอยู่ไม่ไกลนางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าอย่างสุภาพ“ท่านพ่อเจ้าคะ... ข้าว่าให้พี่เหยียนเฉิงพักผ่อนต่อเถิดเจ้าค่ะ เขาเพิ่งหายดี ยังเดินไม่สะดวก หากต้องฝืนเดินกลางตลาดอาจเหนื่อยเปล่าๆ อีกอย่างข้ากับเสี่ยวหลานก็เดินซื้อของตามประสาสตรี พี่เหยียนเฉิงอาจจะเบื่อเอาได้”“ใช่แล้ว ปล่อยให้เขาพักผ่อนเถอะ อีกสองสามวันร่างกายแข็งแรงกว่านี้ค่อยว่ากัน” อันเหม่ยฉ
เผิงเหยียนเฉิงในชุดผ้าแพรเนื้อดีสีฟ้า ถือถาดน้ำชาด้วยมือที่กลับมาแข็งแรงมั่นคง เดินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของเรือนหลักอย่างสง่างามลู่หยวนฉีและอันเหม่ยฉินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ท่าทางเรียบง่ายทว่ามีอำนาจอย่างสงบ เผิงเหยียนเฉิงหยุดอยู่หน้าโต๊ะ ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม ก่อนยกถ้วยน้ำชาขึ้น“เผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะท่านลุงลู่ ท่านป้าลู่ ขอขอบคุณท่านทั้งสองที่เมตตาช่วยเหลือ ให้ที่พักพิง และให้โอกาสข้าได้เริ่มต้นใหม่ ข้าจะจดจำพระคุณนี้ไปชั่วชีวิต”ลู่หยวนฉีหัวเราะเบาๆ รับถ้วยน้ำชา ยกขึ้นจิบเล็กน้อย จากนั้นก็วางลง“เป็นเรื่องที่ควรกระทำ เจ้าคือบุตรชายของผู้มีพระคุณเก่าแก่ของข้า” เขาหันไปมองภรรยาของตนอย่างอบอุ่นอันเหม่ยฉินยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นบ้าง“ตอนพวกเราเพิ่งย้ายมาเมืองเจียงเฉิน ยังเป็นครอบครัวเล็กๆ ไม่มีแม้กระทั่งเรือนใหญ่โตอย่างในตอนนี้” นางมองใบหน้าของเผิงเหยียนเฉิงด้วยสายตาเอ็นดู เหมือนมองเด็กคนหนึ่งที่เคยรู้จักมานาน“จำได้ว่าตอนนั้น...เจ้ามักจะตามพ่อเจ้ามาเรือนข้าอยู่เสมอ อยู่เป็นเพื่อนหนานเอ๋อร์ของข้า เล่นกันอยู่ใต้ต้นไม้หน้าเรือน” เสียงหัวเราะนุ่มนวลแฝงด้วยความคิดถึง“ข้าไม่เคยลืมเ
ภายในห้องพักที่อบอวลด้วยกลิ่นยาสมุนไพรอ่อนๆ เผิงเหยียนเฉิงนั่งลงช้าๆ บนตั่งไม้ หันหน้าออกไปยังหน้าต่างที่เปิดรับลมเย็นสบายยังไม่ทันได้หลับตาพักผ่อน เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นหน้าห้อง“พี่เหยียนเฉิง” ลู่ซือหนานก้าวเข้ามาพร้อมถาดไม้ในมือ ในนั้นวางกาน้ำต้มยาอยู่“ข้าให้ห้องครัวเตรียมยาตามใบสั่งของหมอไว้ให้ท่านดื่ม ข้าอยากต้มด้วยตัวเอง จึงมาเองเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงนุ่ม ดวงตาใสบริสุทธิ์เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยเผิงเหยียนเฉิงมองนางเงียบๆ แวบหนึ่งในดวงตาคมกริบมีแววอ่อนโยนผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นางค่อยๆ รินน้ำยาอุ่นร้อนลงในถ้วย แล้วยื่นให้เขาด้วยมือของตนเอง“ยานี้แม้จะขมหน่อย แต่หมอบอกว่าดื่มเป็นประจำจะฟื้นฟูเส้นเอ็นได้เร็วขึ้นเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มให้กำลังใจเผิงเหยียนเฉิงยื่นมือไปรับถ้วยยามา ดวงมือที่สัมผัสกับปลายนิ้วของนางเพียงแผ่วเบา แต่กลับส่งผ่านความอบอุ่นที่ทำให้ใจเขาสั่นสะท้านเขารับยามาเงียบๆ ดื่มยาขมเฝื่อนนั้นจนหมดโดยไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย“เจ้าควรกลับไปพักผ่อนเถอะ” เขาเอ่ยเบาๆ หลบสายตาอ่อนโยนของนางอย่างระมัดระวังลู่ซือหนานพยักหน้า ยิ้มอ่อนหวาน “เช่นนั้นข้าจะไปดูหม้อยาอีกที ว่
ที่สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ท้องฟ้าสดใสปราศจากเมฆหมอก ลมอ่อนพัดโชยกลิ่นหอมของดอกเหมยกระจายไปทั่วบริเวณบัณฑิตหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น เขาใช้ไม้เท้าที่ถูกสั่งทำให้เป็นพิเศษในการช่วยพยุงเดิน โดยมีบ่าวข้างกายนามว่าอาหมิง ช่วยพาออกจากห้องไปรับลมที่สวนดอกไม้ขณะก้าวเดินอย่างเชื่องช้า มือจับไม้เท้าแน่น เขาสูดกลิ่นหอมของดอกไม้เข้าสู่ปอด รู้สึกว่าร่างกายที่อ่อนแรงเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นบ้างเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากศาลากลางสวน เรียกความสนใจจากบัณฑิตหนุ่ม ดวงตาเรียวคมของเขาเหลือบมองไปเห็นลู่ซือหนาน นางยืนเคียงข้างกับบุรุษผู้หนึ่ง ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขเผิงเหยียนเฉิงยืนนิ่ง มองภาพนั้นเงียบๆ ใต้เงาไม้ ทันใดนั้นเอง ขณะที่ลู่ซือหนานก้มหน้าด้วยความเขินอาย ไป๋ซื่ออันที่นั่งอยู่กลับเลื่อนสายตาไปมองสาวใช้คนหนึ่งที่ถือป้านน้ำชาอยู่ใกล้ๆเพียงชั่วพริบตา เผิงเหยียนเฉิงก็เห็นได้ชัดเจนสายตาคู่นั้น เต็มไปด้วยความเจ้าชู้ ลึกซึ้งผิดวิสัยชายที่ควรเอาใจจดจ่ออยู่กับคู่หมายของตนเอง แม้ว่าสาวใช้คนนั้นจะหลบตาอย่างสุภาพ แต่ไป๋ซื่ออันกลับอมยิ้ม ส่งสายตาเชิงเกี้ยวพาอย่างไม่ปิดบังเผิงเหยียนเฉิงหลุบตาลงช้