ที่สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ท้องฟ้าสดใสปราศจากเมฆหมอก ลมอ่อนพัดโชยกลิ่นหอมของดอกเหมยกระจายไปทั่วบริเวณ
บัณฑิตหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น เขาใช้ไม้เท้าที่ถูกสั่งทำให้เป็นพิเศษในการช่วยพยุงเดิน โดยมีบ่าวข้างกายนามว่าอาหมิง ช่วยพาออกจากห้องไปรับลมที่สวนดอกไม้
ขณะก้าวเดินอย่างเชื่องช้า มือจับไม้เท้าแน่น เขาสูดกลิ่นหอมของดอกไม้เข้าสู่ปอด รู้สึกว่าร่างกายที่อ่อนแรงเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากศาลากลางสวน เรียกความสนใจจากบัณฑิตหนุ่ม ดวงตาเรียวคมของเขาเหลือบมองไปเห็นลู่ซือหนาน นางยืนเคียงข้างกับบุรุษผู้หนึ่ง ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุข
เผิงเหยียนเฉิงยืนนิ่ง มองภาพนั้นเงียบๆ ใต้เงาไม้ ทันใดนั้นเอง ขณะที่ลู่ซือหนานก้มหน้าด้วยความเขินอาย ไป๋ซื่ออันที่นั่งอยู่กลับเลื่อนสายตาไปมองสาวใช้คนหนึ่งที่ถือป้านน้ำชาอยู่ใกล้ๆ
เพียงชั่วพริบตา เผิงเหยียนเฉิงก็เห็นได้ชัดเจน
สายตาคู่นั้น เต็มไปด้วยความเจ้าชู้ ลึกซึ้งผิดวิสัยชายที่ควรเอาใจจดจ่ออยู่กับคู่หมายของตนเอง แม้ว่าสาวใช้คนนั้นจะหลบตาอย่างสุภาพ แต่ไป๋ซื่ออันกลับอมยิ้ม ส่งสายตาเชิงเกี้ยวพาอย่างไม่ปิดบัง
เผิงเหยียนเฉิงหลุบตาลงช้าๆ
‘เขาไม่รักซือหนานจริงๆ’ ความคิดนั้นแล่นวาบในใจ เหมือนถูกมีดบางๆ เฉือนผ่าน
ทว่าเผิงเหยียนเฉิงกลับยืนนิ่งเฉย ไม่คิดจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความรักของคนอื่น เขาเพียงเม้มริมฝีปากแน่น เลื่อนสายตาออกไปยังแปลงดอกไม้ที่บานสะพรั่งไกลๆ คล้ายกำลังพยายามไล่ความรู้สึกอึดอัดในใจให้ปลิวหายไปกับสายลม
‘เรื่องความรักระหว่างคนสองคน คนนอกข้าไม่มีหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้อง’ เผิงเหยียนเฉิงเตือนตัวเองในใจอย่างเงียบงัน
ยืนสงบนิ่งใต้ร่มเงาต้นเหมย สายตาจับจ้องไปยังศาลากลางสวน ทำได้เพียงมองอยู่ห่างๆ เท่านั้น
“บุรุษผู้นั้นคือคู่หมายของคุณหนูลู่หรือ” เขาเอ่ยถามอาหมิงเสียงเบา
“ขอรับคุณชาย คุณชายไป๋ซื่ออัน เป็นบุตรชายคนเดียวของสำนักคุ้มกันภัยสกุลไป๋ เป็นคู่หมายของคุณหนู ทุกครั้งหากไม่ได้เดินทางไปคุ้มกันสินค้าก็จะมาเยี่ยมเยียนคุณหนูอยู่เสมอ” อาหมิงตอบอย่างละเอียดคล้ายรู้ว่าเขากำลังห่วงใยนาง
“อาหมิง เจ้าเห็นอะไรในตัวคุณชายไป๋อย่างที่ข้าเห็นหรือไม่” เขาตัดสินใจถามออกมาด้วยความกังวล
“ขอรับ แต่เรื่องแบบนี้บ่าวไพร่อย่างเราจะกล้าพูดออกไปได้อย่างไร อีกอย่างคุณหนูเองก็ดูเหมือนว่าจะ... เอ่อ...” อาหมิงไม่กล้ากล่าวล่วงเกินคุณหนูของตนผู้ซึ่งเป็นนาย
“ข้าเข้าใจ” บัณฑิตหนุ่มกล่าวด้วยความกังวล รู้ดีว่านางรักไป๋ซื่ออันมาก หากใครกล่าวอะไรไปก็คงไม่ฟัง มิหนำซ้ำคนเตือนก็อาจจะถูกนางเกลียดไปด้วย
ไม่นานนัก ไป๋ซื่ออันก็ขอตัวกลับ ลู่ซือหนานเดินไปส่งถึงเชิงบันไดของศาลา นางย่อตัวเบาๆ อย่างมีมารยาท สายตาที่มองเขาหันหลังจากไปเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ในขณะที่อีกฝ่ายเดินจ้ำอ้าวเหมือนกับว่าอยากรีบออกไปจากที่นี่แต่โดยเร็ว ไม่แม้แต่จะมีความอาวรณ์
เมื่อคู่หมายของนางพร้อมผู้ติดตามจากไป หญิงสาวก็หันไปยิ้มแย้มกับบรรดาสาวใช้ที่นั่งรออยู่ ก่อนจะลุกเดินนำเพื่อกลับเรือนพักของตน
ทันทีที่เห็นเงาร่างของเผิงเหยียนเฉิงยืนพิงไม้เท้าอยู่ใต้ต้นไม้ นางก็รีบสาวเท้าเข้ามาหา ใบหน้านวลผ่องสดใสราวกับดอกเหมยที่เพิ่งผลิบาน
“พี่เหยียนเฉิง” นางเอ่ยเรียกเสียงใส ขณะที่เดินเข้าไปหาเขา
เผิงเหยียนเฉิงเบือนหน้ากลับมามอง ดวงตาดำขลับลึกซึ้งของเขาฉายแววอบอุ่น แม้หัวใจจะรู้สึกหน่วงหนักด้วยความห่วงใยกับสิ่งที่เห็น แต่ก็ไม่สามารถกล่าวล่วงออกไปได้
“ไม้เท้าอันนี้ข้าให้คนออกแบบให้ท่านโดยเฉพาะ ใช้ดีหรือไม่” นางกล่าวถามพลางมองไม้เท้าที่ออกแบบให้สามารถรองรับน้ำหนักตัวได้ดี
“ใช้ดีมาก ขอบคุณคุณหนูลู่” เขากล่าวขอบคุณ ก่อนจะอดเอ่ยถึงเรื่องของนางไม่ได้
“เมื่อครู่ ข้าพบเห็นเจ้าอยู่กับบุรุษผู้นั้น ดูพูดคุยถูกคอกัน” เผิงเหยียนเฉิงเอ่ยเบาๆ ลู่ซือหนานยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายความสุข
“คุณชายไป๋คือคู่หมายของข้าเจ้าค่ะ วันนี้มาบอกข้าว่า อีกไม่กี่วัน ครอบครัวของเขาจะส่งแม่สื่อมาสู่ขออย่างเป็นทางการ” นางตอบอย่างไม่ปิดบัง สีหน้าแสดงความยินดีและตื่นเต้น
ถ้อยคำของนางเปี่ยมไปด้วยความยินดีจริงใจ เผิงเหยียนเฉิงชะงักเล็กน้อยในใจ แต่ใบหน้ายังคงสงบนิ่งดังเดิม เขาแย้มรอยยิ้มบางเบา ฝืนกลบความรู้สึกที่ไหลวนอยู่ข้างใน
“เช่นนั้นหรือ ข้ายินดีกับเจ้าล่วงหน้าด้วย” เขาเอ่ยเสียงเรียบ นิ่งเฉยจนยากจะอ่านใจออก
ลู่ซือหนานยิ้มตอบอย่างซื่อใส ไม่รู้เลยว่าในหัวใจของผู้ชายเบื้องหน้ามีบางสิ่งบางอย่างที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน
“ข้าก็หวังว่าจะผ่านทุกอย่างไปได้ด้วยดีเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเบาๆ ในขณะที่เขาพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มที่ยินดีตามมารยาท ก่อนจะไอออกมาเสียงแห้ง
“ลมแรงเช่นนี้ ท่านกลับห้องดีกว่าเจ้าค่ะ” นางกล่าวแล้วพยักหน้าให้แก่อาหมิงให้พาเขากลับไป
“อืม” เขาตอบรับเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ใช้ไม้เท้าพยุงเดินกลับไป รู้สึกว่าตอนนี้มือและเท้าเริ่มมีมีแรงขึ้นกว่าวันแรกๆ แล้ว
************************
ในช่วงเวลาที่ความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักเริ่มต้น งานราชการในส่วนของสำนักศึกษาที่เผิงเหยียนเฉิงได้ริเริ่มและปรับปรุงใหม่ก็เริ่มประสบความสำเร็จอย่างชัดเจน จากการที่มีแนวคิดปฏิรูปที่เน้นความเป็นธรรมและให้โอกาสแก่ทุกคน ผู้คนในราชสำนักและชาวบ้านต่างยกย่องความคิดเหล่านี้อย่างไม่ขาดสายณ ห้องทำงานหลักในจวนโหว เผิงเหยียนเฉิงก้าวขึ้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความเปลี่ยนแปลงใหม่ ด้วยความตั้งใจที่แท้จริงและความมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบการศึกษาที่เอื้ออำนวยให้แก่สตรี ซึ่งเขาและภรรยา ลู่ซือหนาน ได้ร่วมกันผลักดันมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาหลักสูตรและแนวทางสอนได้ถูกปรับปรุงอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตามคำแนะนำจากผู้รู้และนักวิชาการทั้งในราชสำนักและต่างแคว้นฮ่องเต้ทรงประกาศแสดงความชมเชยต่อความก้าวหน้าของสำนักศึกษาและการปฏิรูปที่ได้รับการดำเนินการโดยเผิงเหยียนเฉิงและลู่ซือหนานอย่างยิ่งยวดขณะเดียวกัน เมื่อหน้าที่การงานประสบความสำเร็จ ครอบครัวของเขาก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันในห้องนอนอันอบอุ่น ภายใต้แสงเทียนสีอ่อนที่สาดส่องลงมาจากเพดานเผิงเหยียนเฉิงที่เพิ่งกลับมาถึง เขาเดินเข้ามาเอื้อม
ในยามค่ำของคืนนั้น ท้องฟ้าโปร่งใสแต่แสงจันทร์ดูหม่นเล็กน้อย บรรยากาศภายในจวนโหวเงียบสงบเช่นเคย จนกระทั่งเสียงร้องเบาๆ ดังขึ้นจากห้องนอนชั้นใน“อื้อ ท่านพี่... ข้าเจ็บ... เจ็บท้อง...”ลู่ซือหนานนิ่วหน้า มือข้างหนึ่งกุมผ้าห่ม อีกข้างจับท้องแน่น ร่างทั้งร่างเกร็งเหมือนคลื่นบางอย่างกำลังซัดเข้ามาทีละระลอกเผิงเหยียนเฉิง ได้ยินเสียงภรรยาก็ลุกจากโต๊ะหนังสือมา ใบหน้าซีดเผือด“ฮูหยิน เจ้าเป็นอะไร เจ็บมากหรือไม่ เสี่ยวหลาน เสี่ยวหลาน ไปตามหมอตำแยมา ไปตามท่านแม่ด้วย”เสียงร้องเรียกดังลั่นจนบ่าวไพร่วิ่งกันพล่านทั่วเรือน เสี่ยวหลานกับสาวใช้หลายคนรีบพากันเข้ามาช่วยพยุงลู่ซือหนานให้นอนสบาย เตรียมน้ำอุ่น ผ้าสะอาดอย่างเร่งด่วนอันเหม่ยฉินเข้ามาพร้อมท่าทีสงบนิ่ง นางมองเห็นสถานการณ์แล้วเอ่ยเสียงเข้ม“ทุกคนอยู่ในความสงบ ให้คนไปตามหมอตำแยแล้วหรือยัง ถ้ายังให้รีบไปตามมา เซี่ยมามารบกวนให้คนต้มยาสมุนไพรตามตำราเร่งด่วน เสี่ยวหลาน เสี่ยวหนิว พวกเจ้าอยู่ใกล้นาง ห้ามให้เคลื่อนไหวแรง”ผู้เป็นสามีพยายามจะเข้าไปใกล้ แต่ลู
ในวันหนึ่ง ณ ถนนหน้าจวนโหว เสียงฝีเท้าของม้าหลายตัวดังขึ้นตามถนนสายหน้าเรือนใหญ่ ขบวนรถม้าอย่างดีจากเจียงเฉินเคลื่อนตัวมาหยุดตรงประตูหน้าจวนโหว ข้ารับใช้รีบออกมาต้อนรับเมื่อรู้ว่าเป็นครอบครัวของฮูหยินใหญ่ประตูไม้เปิดออก ชายในชุดตัวยาวผ้าแพรสีเทาอ่อนลงจากรถก่อน ลู่หยวนฉีบิดาของลู่ซือหนานเดินลงมาแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความปีติ ก่อนจะหันไปรับลูกชายตัวน้อยจากภรรยา ให้นางลงมาจากรถม้าได้สะดวกเด็กน้อยวัยหกเดือนในอ้อมแขนของบิดา เขามีผมดำขลับ ดวงตากลมโต และยิ้มแย้มแจ่มใสไม่ต่างจากพี่สาวอย่างลู่ซือหนานในวัยเยาว์หลี่อันพ่อบ้านประจำจวนรีบเข้าไปแจ้งข่าว แก่ลู่ซือหนานที่นั่งพักอยู่ในห้องพักด้านในเมื่อได้ยินข่าวถึงกับน้ำตารื้นด้วยความตื้นตัน นางให้เสี่ยวหลานพยุงเดินออกมาช้าๆ โดยมีเซี่ยมามาเดินเข้ามาดูแลอยู่ไม่ห่าง เพราะเผิงโหวสั่งเอาไว้ว่าให้นางคอยดูแลนายหญิงให้ดีเมื่อเห็นบิดามารดาและน้องชายตัวน้อย นางคารวะเล็กน้อยแล้วยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนที่อันเหม่ยฉินจะเอามือไปสัมผัสข้างแก้มของบุตรสาวด้วยน้ำตา“ลูกเอ๋ย...แม่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน เจ้าอ่อนล้าหรือไม่ ท้องโ
วันถัดมา หยางมี่อิงแต่งกายเรียบร้อยในชุดผ้าแพรบางสีชมพูอ่อน เครื่องประดับจัดเต็มแต่ดูละมุน เดินมาถึงหน้าจวนโหวอย่างมั่นใจ หวังจะเข้ามาเยี่ยมลู่ซือหนานเช่นเคย“บอกเผิงฮูหยินด้วยว่า ข้ามาเยี่ยมตามปกติ”นางยิ้มบาง ส่งเสียงกับบ่าวเฝ้าประตูแต่บ่าวหนุ่มกลับทำหน้านิ่ง ยกมือขึ้นคำนับ“ขอประทานอภัยแม่นางหยาง ข้าน้อยรับคำสั่งจากท่านโหวเผิงโดยตรง ห้ามมิให้แม่นางก้าวเข้าจวนอีก”“อะไรนะ” สีหน้าหยางมี่อิงเปลี่ยนไปในทันที เสียงที่เคยหวานเริ่มสั่นเครือ“ท่านโหวพูด... พูดแบบนั้นจริงหรือ”บ่าวค้อมศีรษะอย่างสุภาพแต่หนักแน่น “ใช่ขอรับ เป็นคำสั่งชัดเจนเมื่อวานก่อน แม้จะเป็นสหายเก่า ก็ไม่อนุญาตให้เข้าได้ ท่านโหวถึงขั้นให้จดชื่อไว้ด้วย เพื่อป้องกันการฝ่าฝืน”หยางมี่อิงยืนแข็งอยู่หน้าจวน ใบหน้าที่เคยเชิดสูงบัดนี้แดงจัดด้วยความอับอายและโกรธแค้น หัวใจพลันเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง นางไม่คิดว่าเผิงเหยียนเฉิงจะกล้าปฏิเสธนางตรงๆ เช่นนี้ และที่สำคัญกว่านั้น นั่นหมายความว่าเขาอาจบอกภรรยาไปแล้ว&ldqu
บรรยากาศในจวนโหวที่เคยสงบ เริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างแนบเนียนของสตรีอีกนาง หยางมี่อิงยังคงเข้ามาหาลู่ซือหนานบ่อยครั้ง ยิ่งช่วงที่เผิงเหยียนเฉิงต้องออกไปจัดการงานราชการต่างเมือง ก็ยิ่งเปิดโอกาสให้นางได้ใช้เวลาอยู่ในจวนมากขึ้น ทว่าภายใต้รอยยิ้มและน้ำเสียงที่แสดงความสนิทสนมนั้น กลับซ่อนอะไรบางอย่างที่เสี่ยวหลานรู้สึกถึงบ่ายวันหนึ่ง ณ เรือนรับรองภายในจวนโหวลู่ซือหนานนั่งถักเชือกสีขาวแดงสำหรับทำเครื่องประดับทารกอยู่บนตั่งในสวน หยางมี่อิงเดินเข้ามาพร้อมตะกร้าผลไม้ในมือ“วันนี้ข้าแวะผ่านตลาด เห็นท้อขาวลูกสวยเลยซื้อมาฝากเจ้า” หยางมี่อิงยิ้มอ่อนโยน วางตะกร้าไว้บนโต๊ะหิน“หญิงตั้งครรภ์กินผลไม้สดดีต่อร่างกาย”“ขอบใจเจ้า มี่อิง” ลู่ซือหนานรับคำอย่างนุ่มนวล พลางวางเชือกในมือลง“เจ้าลำบากแวะมาหาข้าบ่อย ข้ารู้สึกเกรงใจนัก”“เจ้าเป็นเพื่อนเก่า ข้าดีใจที่ได้อยู่ใกล้ๆ ต่างหาก” หยางมี่อิงกล่าวพร้อมยิ้มหวาน ดวงตากวาดมองไปทางเรือนรอบข้าง แล้วเอ่ยขึ้นเหมือนไม่ตั้งใจ“ช่วงนี้ท่านโหวไม่
ช่วงเวลาหลายวันถัดมา หยางมี่อิงเริ่มแวะเวียนมาหาลู่ซือหนานที่จวนโหวบ่อยขึ้น นางพูดจานุ่มนวล อ่อนโยน และมักนำของฝากเล็กๆ น้อยๆ มาให้ ไม่ว่าจะเป็นผ้าแพรลวดลายงามจากทางใต้ หรือสมุนไพรบำรุงครรภ์ที่ได้จากหมอชื่อดัง“ข้าเห็นเจ้ากำลังตั้งครรภ์ เลยปรึกษาผู้อาวุโสในเรือน ข้าว่าน้ำขิงสูตรนี้จะช่วยให้เจ้าหลับได้ดีขึ้นยามค่ำ” หยางมี่อิงยื่นถ้วยให้ลู่ซือหนานด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนลู่ซือหนานรับน้ำขิงมา แต่ไม่ได้ดื่มเข้าไป เพราะไม่ไว้ใจยาจากคนนอก “ขอบคุณเจ้ามาก ข้ามีบ่าวอยู่ แต่ก็อบอุ่นใจนักที่เจ้าห่วงใยถึงเพียงนี้”หยางมี่อิงนั่งลงใกล้ๆ พลางช่วยจัดเรียงผ้าปักลายที่สาวใช้พับไว้ข้างตั่ง“เจ้ารู้หรือไม่ ข้าอิจฉาเจ้ายิ่งนัก...” นางว่าเบาๆ“มีสามีดี มีลูกในครรภ์ และยังได้รับเกียรติให้ตั้งสำนักศึกษาอีก ข้าดีใจแทนเจ้านะซือหนาน”ลู่ซือหนานยิ้ม ไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่เก็บถ้อยคำเหล่านั้นไว้ในใจ นางสัมผัสได้ถึงความจริงใจปนเล่ห์นัยบางอย่างจากน้ำเสียงของเพื่อนเล่นวัยเยาว์ เหมือนสายลมอ่อนโยน แต่กลับแฝงความเยือกเย็นบางอย่าง