เผิงเหยียนเฉิงในชุดผ้าแพรเนื้อดีสีฟ้า ถือถาดน้ำชาด้วยมือที่กลับมาแข็งแรงมั่นคง เดินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของเรือนหลักอย่างสง่างาม
ลู่หยวนฉีและอันเหม่ยฉินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ท่าทางเรียบง่ายทว่ามีอำนาจอย่างสงบ เผิงเหยียนเฉิงหยุดอยู่หน้าโต๊ะ ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม ก่อนยกถ้วยน้ำชาขึ้น
“เผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะท่านลุงลู่ ท่านป้าลู่ ขอขอบคุณท่านทั้งสองที่เมตตาช่วยเหลือ ให้ที่พักพิง และให้โอกาสข้าได้เริ่มต้นใหม่ ข้าจะจดจำพระคุณนี้ไปชั่วชีวิต”
ลู่หยวนฉีหัวเราะเบาๆ รับถ้วยน้ำชา ยกขึ้นจิบเล็กน้อย จากนั้นก็วางลง
“เป็นเรื่องที่ควรกระทำ เจ้าคือบุตรชายของผู้มีพระคุณเก่าแก่ของข้า” เขาหันไปมองภรรยาของตนอย่างอบอุ่น
อันเหม่ยฉินยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นบ้าง
“ตอนพวกเราเพิ่งย้ายมาเมืองเจียงเฉิน ยังเป็นครอบครัวเล็กๆ ไม่มีแม้กระทั่งเรือนใหญ่โตอย่างในตอนนี้” นางมองใบหน้าของเผิงเหยียนเฉิงด้วยสายตาเอ็นดู เหมือนมองเด็กคนหนึ่งที่เคยรู้จักมานาน
“จำได้ว่าตอนนั้น...เจ้ามักจะตามพ่อเจ้ามาเรือนข้าอยู่เสมอ อยู่เป็นเพื่อนหนานเอ๋อร์ของข้า เล่นกันอยู่ใต้ต้นไม้หน้าเรือน” เสียงหัวเราะนุ่มนวลแฝงด้วยความคิดถึง
“ข้าไม่เคยลืมเลย ว่าเจ้าคอยช่วยหนานเอ๋อร์จับจักจั่น หรือนั่งฟังนางเล่านิทานอย่างตั้งใจ”
เผิงเหยียนเฉิงฟังแล้ว ใบหน้าคล้ายจะแดงขึ้นเล็กน้อย เขาเองก็เลือนๆ จำได้เช่นกัน ว่าเด็กหญิงน้อยในชุดกระโปรงสีอ่อน ที่วิ่งเล่นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นั่นคือลู่ซือหนานในวัยเยาว์
“ข้าไม่กล้าหวังว่าท่านทั้งสองจะยังจำเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นได้...” เขาก้มหน้าลงด้วยความซาบซึ้ง
“ความกตัญญูรู้คุณ ไม่มีวันสูญหาย แม้กาลเวลาจะผ่านไป เจ้าคือคนที่ข้ายินดีอ้าแขนรับอย่างแท้จริง” ลู่หยวนฉีหัวเราะอย่างใจดี ตบบ่าเขาเบาๆ
บรรยากาศในห้องโถงอบอวลไปด้วยความอบอุ่นลู่ฮูหยินยังกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม
“นับแต่นี้ไป ไม่ต้องคิดว่าตัวเองเป็นแค่แขกของเรือนนี้อีกแล้ว จงอยู่ให้เหมือนเป็นบ้านของเจ้า”
เผิงเหยียนเฉิงคุกเข่าลง คารวะอีกครั้งด้วยใจจริง
แม้โชคชะตาจะเคยเหยียบย่ำเขาจนเกือบสิ้นหวัง แต่วันนี้ เขามีที่ที่เรียกว่าบ้านได้อีกครั้งแล้ว
หลังจากบรรยากาศแห่งความหลังและความซาบซึ้งได้จางลง ลู่หยวนฉีก็เอ่ยปากถามถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของเผิงเหยียนเฉิงอีกครั้ง เพื่อให้ภรรยาของตนได้รับรู้โดยละเอียดจากปากของเขา
เมื่อได้ฟังว่าเผิงเหยียนเฉิงคือบัณฑิตอันดับหนึ่งของการสอบระดับเมืองหลวง เป็นความภาคภูมิใจของแคว้นสือ ทว่ากลับต้องพบจุดตกต่ำเพราะถูกสกุลโจวหักหลังเพียงเพราะโรคภัยที่ไม่ตั้งใจ อันเหม่ยฉินถึงกับตบโต๊ะดังลั่น
“นางโจวจิงหยูนั่นมันตาต่ำนัก ช่างไม่เห็นบุญคุณและศักดิ์ศรีคนเลยแม้แต่น้อย” นางลุกพรวดขึ้น ใบหน้าขาวนวลแดงจัดด้วยความโกรธจัด
ประโยคและน้ำเสียงนั้นไม่ต้องบอกว่าลู่ซือหนานได้มาจากไหน นางได้มารดาของตนมาเต็มๆ ทั้งท่าทางและความคิด
“แต่งเขามาเพราะหวังผลประโยชน์ พอเจ้าเกิดเหตุ กลับผลักไสไล่ส่งราวกับผ้าขี้ริ้วชำรุด ทั้งๆ ที่เจ้าช่วยชีวิตนางแท้ๆ ช่างไร้ยางอายนัก”
“ฮูหยิน ใจเย็นๆ ก่อน” ผู้เป็นสามีต้องเอ่ยปากให้นางสงบลง ก่อนจะวางมือบนโต๊ะอย่างหนักแน่น สายตาเคร่งขรึม
เผิงเหยียนเฉิงได้แต่นั่งก้มหน้า นิ่งเงียบ ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ แทนอดีตครอบครัวภรรยาของตน
“ใจเย็นได้หรือ สกุลโจวยังมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่หรือไม่” นางกล่าวด้วยความโมโห ทำให้เขาซาบซึ้งที่มีคนเจ็บปวดร่วมไปกับตน
“เอาเถอะ เรื่องที่ผ่านมา เจ้าจงถือเป็นบทเรียน แต่นับจากนี้ไป เจ้าต้องยืนหยัดขึ้นมาใหม่อย่างมั่นคง ข้าและฮูหยินต่างเห็นตรงกันแล้วว่า จะสนับสนุนเจ้าให้เต็มที่” ลู่หยวนฉีรีบเปลี่ยนเรื่องพูด ก่อนที่ภรรยาจะหัวเสียไปมากกว่านี้
“ใช่ เจ้าต้องสอบผ่านการสอบเคอจวี่ปีหน้า ให้ทุกคนได้เห็น ว่าแม้จะไร้สกุลโจว เจ้าก็จะขึ้นไปยืนในที่สูงได้ด้วยตนเอง” อันเหม่ยฉินพยักหน้าอย่างจริงจัง สายตาของนางเต็มไปด้วยประกายมุ่งมั่นราวกับจะถ่ายทอดแรงใจทั้งหมดให้แก่เขา
“ตำแหน่งจอหงวนไม่ใช่สิ่งเกินเอื้อม เหยียนเฉิง เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวเอง” เสียงของนางเปี่ยมด้วยพลังจนทั่วทั้งห้องโถงดูเหมือนสว่างขึ้นด้วยความหวัง เข้าข้างบัณฑิตตรงหน้าอย่างเต็มที่
เผิงเหยียนเฉิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงเรื่อ น้ำเสียงหนักแน่น
“ขอรับ! ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”ภายในอกของเขา เต็มไปด้วยเพลิงไฟแห่งความตั้งใจแน่วแน่
ความรู้สึกอบอุ่นจากการต้อนรับในตอนแรกยิ่งทวีความลึกซึ้งเข้าไปในหัวใจ ไม่คิดว่าทั้งสองจะช่วยเหลือตนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนได้ขนาดนี้
“ป้าของเจ้านางจริงจังกับทุกเรื่องมากไปหน่อย อย่างไรก็ยอมๆ นางหน่อยนะ” ลู่หยวนฉีกระซิบบอก แต่เป็นการกระซิบที่ตั้งใจเย้าภรรยาให้ได้ยิน
“ท่านพี่ ข้าจริงจังนะ จะให้เหยียนเฉิงเอาความสำเร็จไปฟาดหน้าสกุลโจว ฮึ พูดแล้วก็โมโหยิ่งนัก” นางกล่าวแล้วพ้นหายใจอย่างหงุดหงิด
“ข้าต้องขอบคุณท่านป้าเสียมากกว่าที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนข้า ทำให้ข้ารู้สึกว่ายังมีคนที่คอยหนุนหลัง ไม่ได้เดียวดายอีกต่อไป” เขากล่าวแล้วยิ้มออกมาด้วยความซาบซึ้ง
ครั้งนี้ เขาจะไม่ล้มเหลวอีกต่อไป
************************
ขณะที่ภายในห้องโถงใหญ่ยังเต็มไปด้วยบรรยากาศของการพูดคุยอย่างดุเดือดด้วยความมุ่งหวังและความโกรธแทนเผิงเหยียนเฉิง เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นที่ประตูลู่ซือหนานในชุดผ้าแพรสีอ่อน เดินยิ้มแย้มเข้ามาอย่างร่าเริง นางก้มตัวคารวะอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยเสียงใส“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขออนุญาตออกไปเดินชมตลาดกับเสี่ยวหลานสักครู่เจ้าค่ะ วันนี้ตลาดกลางเมืองคึกคักนัก”ลู่หยวนฉีจึงปรับสีหน้าให้อารมณ์ดีขึ้นจากการพูดคุยกับเผิงเหยียนเฉิง เขาหัวเราะเสียงดัง ลูบเคราไปพลางกล่าว“ไปเถิดๆ แต่พาเหยียนเฉิงไปเดินผ่อนคลายด้วยกันเสียหน่อยสิ เห็นอยู่ว่าข้าสั่งให้พักฟื้นนานแล้ว ออกไปเดินสูดอากาศย่อมดีต่อร่างกาย”ลู่ซือหนานชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเผิงเหยียนเฉิงที่นั่งนิ่งอยู่ไม่ไกลนางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าอย่างสุภาพ“ท่านพ่อเจ้าคะ... ข้าว่าให้พี่เหยียนเฉิงพักผ่อนต่อเถิดเจ้าค่ะ เขาเพิ่งหายดี ยังเดินไม่สะดวก หากต้องฝืนเดินกลางตลาดอาจเหนื่อยเปล่าๆ อีกอย่างข้ากับเสี่ยวหลานก็เดินซื้อของตามประสาสตรี พี่เหยียนเฉิงอาจจะเบื่อเอาได้”“ใช่แล้ว ปล่อยให้เขาพักผ่อนเถอะ อีกสองสามวันร่างกายแข็งแรงกว่านี้ค่อยว่ากัน” อันเหม่ยฉ
ตลาดเมืองเจียงเฉินครึกครื้นไปด้วยเสียงผู้คน ร้านรวงเปิดเรียงราย กลิ่นขนมอบใหม่และเครื่องหอมลอยตลบไปทั่วลู่ซือหนานเดินทอดน่องไปตามถนนกลางตลาด ดวงตาเปล่งประกายสดใส นางเดินชมข้าวของอย่างเพลิดเพลิน โดยมีเสี่ยวหลานสาวใช้เดินอย่างใกล้ชิด และห่างออกไปเป็นบ่าวอีกสองคนที่ติดตามห่างๆ ตามคำสั่งของลู่ฮูหยินขณะกำลังมองดูร้านเครื่องหอมอยู่นั้น ดวงตาก็พลันเหลือบเห็นเงาคุ้นตาอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับ เขาสวมอาภรณ์สีดำทอง ท่าทางหรูหราโอ่อ่า นั่นคือไป๋ซื่ออัน คู่หมายของนางนั่นเองหัวใจของลู่ซือหนานพองโตทันที นางก้าวเท้าจะเข้าไปหา ทว่าในชั่วเวลาถัดมาฝีเท้าก็หยุดชะงักลงไป๋ซื่ออันกำลังยื่นมือเลือกปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งจากแผง สายตาของเขาเปล่งประกายราวกับมองของล้ำค่าอย่างหวงแหนเสี่ยวหลานที่เดินตามมา เห็นท่าทีผิดปกติของคุณหนู จึงเอียงคอถามเสียงเบา“คุณหนู เหตุใดไม่เข้าไปทักล่ะเจ้าคะ”“ไม่เป็นไร คุณชายไป๋คงกำลังเลือกของขวัญให้ข้า หากข้าเข้าไปตอนนี้ก็จะรู้ล่วงหน้าเสียก่อน จะไม่ตื่นเต้นเมื่อได้รับน่ะสิ” นางหัวเราะเบาๆ แล้วเดินอมยิ้มไปอีกทาง“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นตอนได้รั
อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เหลือเพียงแสงจันทร์สีเงินที่เริ่มสาดส่องลงมายังสวนกว้าง สายลมเย็นโชยพัดกลีบดอกไม้ปลิวไสว กลิ่นหอมบางเบาแผ่ซ่านในอากาศยามราตรีลู่ซือหนานเดินเคียงข้างบัณฑิตหนุ่มที่พยุงตัวด้วยไม้เท้าตรงไปที่ศาลา โดยมีบ่าวคนสนิทติดตามอยู่ด้านหลังลู่ซือหนานเหลือบมองเขาอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเผิงเหยียนเฉิงดูสดชื่นกว่าก่อนหน้านี้มาก สีหน้าซีดเซียวก็มีเลือดฝาดขึ้น“ท่านดูดีขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ พี่เหยียนเฉิง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจแท้จริงเผิงเหยียนเฉิงหัวเราะเบาๆ เอียงหน้าหลบสายตาอ่อนโยนนั้น“ขอบคุณคุณหนูลู่ที่ดูแลข้ามาตลอด หากมิใช่เพราะครอบครัวของเจ้า ข้าคงมิอาจมีวันนี้”ลู่ซือหนานส่ายหน้าเบาๆ “อย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ ข้า...ข้าเพียงแต่...อยากให้ท่านดีขึ้นเร็วๆ เท่านั้น”คำพูดของนางอ่อนหวานและจริงใจนัก จนเผิงเหยียนเฉิงรู้สึกใจอ่อนยวบเขาก้าวข้างกันไปช้าๆ กับนางโดยไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ปล่อยให้เสียงลมและกลิ่นหอมของดอกไม้ยามเย็นคลอเคล้าเป็นเพื่อนในใจของเขาได้แต่ภาวนาเงียบๆ ขอเพียงให้ช่วงเวลานี้ ยืดยาวออกไปอีกสักนิด ก็ยังดีเมื่อไปถึง เผิงเหยียนเฉิงนั่งอยู่บนศาลา
เช้าวันหนึ่ง ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ริมลานเรือนรองมีการจัดโต๊ะยาวคลุมด้วยผ้าขาวสะอาด บนโต๊ะวางเครื่องเขียนอย่างพู่กัน กระดาษไผ่ และจานหมึกไว้อย่างเป็นระเบียบอาจารย์หวัง หัวหน้าผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสำนักศึกษา สวมชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อน เดินเข้ามาในเรือนด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้ามีริ้วรอยบางเบาแต่ดวงตากลับยังคมกริบเผิงเหยียนเฉิงในชุดบัณฑิตสีคราม เดินด้วยท่าทางที่ไม่ถนัดนัก แม้ท่าเดินยังไม่มั่นคงแต่เขาก็มีความตั้งใจ เดินไปหยุดต่อหน้า ประสานมือคำนับด้วยความเคารพ“ข้าน้อยเผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะอาจารย์”อาจารย์หวังพยักหน้าช้าๆ สีหน้าเคร่งขรึมอย่างนักปราชญ์ผู้มากประสบการณ์“นายท่านลู่ฝากฝังเจ้ากับข้า หวังว่าเจ้าจะตั้งใจเล่าเรียน เพื่อไม่ให้เสียชื่อผู้ที่เมตตาเจ้า”“ข้าน้อยย่อมเต็มกำลัง” เผิงเหยียนเฉิงตอบหนักแน่นหลังจากนั้นบทเรียนก็เริ่มขึ้น อาจารย์หวังเริ่มจากการทบทวนศาสตร์พื้นฐาน ทั้งวรรณคดี ปรัชญาขงจื๊อ เมิ่งจื้อ ตลอดจนข้อสอบแบบประเมินความรู้ในชั้นสูงเผิงเหยียนเฉิงแม้เพิ่งฟื้นตัวไม่นาน แต่สมาธิกลับแน่วแน่ พู่กันในมือเขาเขียนตัวอักษรได้มั่นคงและสวยงามกว่าที่อาจารย์หวังคาดคิดขณะที่เขาเขียน อาจารย์ห
บริเวณศาลาชมสวน ไป๋ซื่ออันยืนรออยู่ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยเช่นเคย สวมชุดผ้าแพรสีเทาอ่อน ห้อยหยกแกะสลักที่เอว“ขออภัยที่ทำให้ท่านคอย” ลู่ซือหนานเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มกว้าง“ไม่เป็นไร ข้าเองเพิ่งมาไม่นาน” ไป๋ซื่ออันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผายมือให้นางเดินไปพร้อมกันทั้งสองนั่งสนทนากันที่ศาลา ท่ามกลางเสียงใบไม้ไหวเบาๆ ลู่ซือหนานชำเลืองมองถุงผ้าที่ชายหนุ่มถือมาในมือ ใจเต้นระส่ำอย่างตื่นเต้น นางนึกถึงเครื่องประดับที่อีกฝ่ายเลือกซื้อในตลาดวันนั้น แต่รอแล้วรอเล่า ไป๋ซื่ออันกลับไม่ได้เอ่ยถึงเลยแม้แต่น้อยบทสนทนาไหลไปเรื่อยๆ ถึงแผนการส่งของหมั้นที่กำลังจะมาถึง ไม่มีคำพูดใดเกี่ยวกับปิ่นหยกชิ้นนั้นที่นางกำลังรอรับจากเขาแม้ในใจจะมีคำถามค้างคา แต่ลู่ซือหนานก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา นางเพียงยิ้มและหัวเราะอย่างสุภาพ ตอบโต้ด้วยถ้อยคำเรียบง่าย‘หรือเขาลืมพกติดตัวมาด้วย’ นางปลอบใจตัวเองในใจ แต่ก็ยังยิ้มแย้มพูดคุยกับเขาด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอ่อนหวานอีกด้านหนึ่ง เผิงเหยียนเฉิงเดินอย่างไม่มั่นคงนักเพราะเพิ่งหัดเดินโดยไม่ใช้ไม้เท้าเป็นวันแรก เขาค่อยๆพาตัวเองมายืนอยู่หลังแนวไม้พุ่ม ชำเลืองสายตาไปยังร่างเล็กที่กำลังยืน
ยามค่ำคืน แสงจันทร์สาดทอผ่านหน้าต่างโปร่งบาง ลู่ซือหนานนั่งอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่ ผ้าห่มไหมสีอ่อนคลุมตักนางเอาไว้ ดวงหน้าเปล่งปลั่งยามไร้เครื่องประดับใดๆ กลับยิ่งดูอ่อนเยาว์น่ามองยิ่งกว่าเคยในมือนางกำลังถือหวีไม้สางผมช้าๆ ขณะปล่อยให้ความคิดล่องลอย“เสี่ยวหลาน” เสียงนุ่มนวลเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิทที่กำลังพับเสื้อผ้าอยู่อีกมุมหนึ่งเสี่ยวหลานรีบเดินเข้ามาหา “คุณหนูมีอะไรจะรับสั่งเจ้าคะ”ลู่ซือหนานยิ้มนิดๆ สายตาเหมือนมีแววฝันลอยอยู่ในนั้น“เจ้าจำได้หรือไม่ ตอนข้าเจอคุณชายไป๋ครั้งแรก” นางเอียงหน้าพิงเสาเตียง พลางมองไปยังหน้าต่างที่เปิดแง้มรับลมเย็นเบาๆเสี่ยวหลานยิ้มตาม ก่อนพยักหน้า “จำได้เจ้าค่ะ คุณหนูตกใจจนหน้าเผือดเชียว”ลู่ซือหนานหัวเราะคิก รอยยิ้มงดงามดุจดอกไม้แรกแย้ม“วันนั้น รถม้าคันใหญ่วิ่งมาอย่างรวดเร็ว ข้าคิดว่าคงไม่รอดเสียแล้ว” นางเล่า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเหมือนยังรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวในตอนนั้น“แต่ขาพุ่งเข้ามา ดึงข้าออกจากถนนไว้ทัน”ภาพในความทรงจำปรากฏชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ชายหนุ่มในชุดสีเข้ม ยื่นมือมาคว้าแขนนาง แล้วดึงเข้าหาตัว แววตาของเขาในยา
สายลมเย็นยะเยือกในฤดูใบไม้ผลิพัดต้องกระดาษหน้าต่างบางเบา ส่งเสียงกรอบแกรบไม่ขาดสายภายในเรือนพักอันเงียบสงัด เผิงเหยียนเฉิงลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่คมที่เคยเปล่งประกายบัดนี้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า มือข้างขวาของเขาขยับเพียงเล็กน้อยก็พลันรู้สึกชาดั่งไม่ใช่ร่างกายของตนเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล แผ่วเบาแต่ชัดเจนไม่นานนัก ประตูเรือนก็ถูกผลักเปิดออกอย่างไม่เบามือนัก ร่างงามในชุดแพรไหมสีแดงลายดอกโบตั๋นเยื้องย่างเข้ามา ใบหน้าเรียวที่แต่งแต้มอย่างประณีตมีเพียงความเย็นชาปรากฏอยู่ในดวงตา“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” น้ำเสียงของโจวจิงหยูเยียบเย็นราวหยดน้ำค้างยามรุ่งสาง นางไม่ได้เอ่ยถามไถ่ ไม่ได้เอื้อมมือสัมผัสหน้าผากเขาเช่นภรรยาทั่วไป ทว่ากลับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้ากระดาษบางเบาถูกประทับตราประจำตระกูลโจวเอาไว้อย่างชัดเจน“หนังสือหย่า!” เผิงเหยียนเฉิงเบิกตากว้างขึ้นเพียงนิด ดวงตาที่ขุ่นมัวยิ่งหมองหม่นลง“เพราะเหตุใดเล่าฮูหยิน” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว ทั้งที่แม้แต่เปล่งเสียงยังรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน โจวจิงหยูหัวเราะเบาๆ แต่แฝงด้วยความเยาะหยัน“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมใช้ชีวิตอยู่กับบุรุษพิการเช่นเจ้าหรือ มื
เมืองหลวงของแคว้นสือในยามนี้ยังคงคลุมด้วยหมอกบางๆ ท้องฟ้าสีเทาซีดเย็นชา ราวกับมิได้ต้อนรับการจากไปของผู้ใดเผิงเหยียนเฉิงก้าวเท้าออกจากตรอกเล็กๆ ด้วยไม้เท้า เสียงกระทบพื้นหินดังกึกกักไปตามจังหวะฝีเท้าที่ไม่สม่ำเสมอผ้าคลุมเก่าๆ บนร่างเขาปลิวไหวตามแรงลม ร่างที่เคยยืดตรงอย่างองอาจ บัดนี้โค้งงอเดินไม่มั่นคงอย่างมิอาจขัดขืนทุกย่างก้าวช่างหนักอึ้ง ทุกลมหายใจเจือกลิ่นอับชื้นของความพ่ายแพ้ ไม่มีใครหันมามอง ไม่มีใครเอ่ยถาม ในเมืองหลวงแห่งนี้ ผู้ล้มลงย่อมไร้ค่าดั่งฝุ่นผงที่ถูกเหยียบย่ำบัณฑิตตกอับกำหมัดซ้ายแน่น ฝ่ามือทั้งสอง นั้นเต็มไปด้วยรอยแตกจากความหนาวเหน็บ เขาเดินผ่านจัตุรัสใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงขจรไกลเมื่อสอบได้ที่หนึ่ง วันนี้ผู้คนในจัตุรัสยังคงพลุกพล่านแต่ไม่มีใครจดจำเขาได้อีกแล้ว“ดูนั่นสิ ขอทานเร่ร่อนอีกคน” เสียงกระซิบดังมาจากกลุ่มคนในร้านชา เขาได้ยินแต่เลือกที่จะเมินเฉยที่ไหล่ขวาของเขา มีห่อผ้าผืนเล็กที่เก็บข้าวของเพียงน้อยนิด ไม่มีแม้แต่ของมีค่าชิ้นใด ทุกสิ่งที่เคยมี ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเช่นเดียวกับความศรัทธาของเขาในวันวานเมื่อเดินถึงประตูเมือง เสียงลั่นเอี๊ยดของประตูที่
ยามค่ำคืน แสงจันทร์สาดทอผ่านหน้าต่างโปร่งบาง ลู่ซือหนานนั่งอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่ ผ้าห่มไหมสีอ่อนคลุมตักนางเอาไว้ ดวงหน้าเปล่งปลั่งยามไร้เครื่องประดับใดๆ กลับยิ่งดูอ่อนเยาว์น่ามองยิ่งกว่าเคยในมือนางกำลังถือหวีไม้สางผมช้าๆ ขณะปล่อยให้ความคิดล่องลอย“เสี่ยวหลาน” เสียงนุ่มนวลเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิทที่กำลังพับเสื้อผ้าอยู่อีกมุมหนึ่งเสี่ยวหลานรีบเดินเข้ามาหา “คุณหนูมีอะไรจะรับสั่งเจ้าคะ”ลู่ซือหนานยิ้มนิดๆ สายตาเหมือนมีแววฝันลอยอยู่ในนั้น“เจ้าจำได้หรือไม่ ตอนข้าเจอคุณชายไป๋ครั้งแรก” นางเอียงหน้าพิงเสาเตียง พลางมองไปยังหน้าต่างที่เปิดแง้มรับลมเย็นเบาๆเสี่ยวหลานยิ้มตาม ก่อนพยักหน้า “จำได้เจ้าค่ะ คุณหนูตกใจจนหน้าเผือดเชียว”ลู่ซือหนานหัวเราะคิก รอยยิ้มงดงามดุจดอกไม้แรกแย้ม“วันนั้น รถม้าคันใหญ่วิ่งมาอย่างรวดเร็ว ข้าคิดว่าคงไม่รอดเสียแล้ว” นางเล่า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเหมือนยังรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวในตอนนั้น“แต่ขาพุ่งเข้ามา ดึงข้าออกจากถนนไว้ทัน”ภาพในความทรงจำปรากฏชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ชายหนุ่มในชุดสีเข้ม ยื่นมือมาคว้าแขนนาง แล้วดึงเข้าหาตัว แววตาของเขาในยา
บริเวณศาลาชมสวน ไป๋ซื่ออันยืนรออยู่ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยเช่นเคย สวมชุดผ้าแพรสีเทาอ่อน ห้อยหยกแกะสลักที่เอว“ขออภัยที่ทำให้ท่านคอย” ลู่ซือหนานเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มกว้าง“ไม่เป็นไร ข้าเองเพิ่งมาไม่นาน” ไป๋ซื่ออันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผายมือให้นางเดินไปพร้อมกันทั้งสองนั่งสนทนากันที่ศาลา ท่ามกลางเสียงใบไม้ไหวเบาๆ ลู่ซือหนานชำเลืองมองถุงผ้าที่ชายหนุ่มถือมาในมือ ใจเต้นระส่ำอย่างตื่นเต้น นางนึกถึงเครื่องประดับที่อีกฝ่ายเลือกซื้อในตลาดวันนั้น แต่รอแล้วรอเล่า ไป๋ซื่ออันกลับไม่ได้เอ่ยถึงเลยแม้แต่น้อยบทสนทนาไหลไปเรื่อยๆ ถึงแผนการส่งของหมั้นที่กำลังจะมาถึง ไม่มีคำพูดใดเกี่ยวกับปิ่นหยกชิ้นนั้นที่นางกำลังรอรับจากเขาแม้ในใจจะมีคำถามค้างคา แต่ลู่ซือหนานก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา นางเพียงยิ้มและหัวเราะอย่างสุภาพ ตอบโต้ด้วยถ้อยคำเรียบง่าย‘หรือเขาลืมพกติดตัวมาด้วย’ นางปลอบใจตัวเองในใจ แต่ก็ยังยิ้มแย้มพูดคุยกับเขาด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอ่อนหวานอีกด้านหนึ่ง เผิงเหยียนเฉิงเดินอย่างไม่มั่นคงนักเพราะเพิ่งหัดเดินโดยไม่ใช้ไม้เท้าเป็นวันแรก เขาค่อยๆพาตัวเองมายืนอยู่หลังแนวไม้พุ่ม ชำเลืองสายตาไปยังร่างเล็กที่กำลังยืน
เช้าวันหนึ่ง ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ริมลานเรือนรองมีการจัดโต๊ะยาวคลุมด้วยผ้าขาวสะอาด บนโต๊ะวางเครื่องเขียนอย่างพู่กัน กระดาษไผ่ และจานหมึกไว้อย่างเป็นระเบียบอาจารย์หวัง หัวหน้าผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสำนักศึกษา สวมชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อน เดินเข้ามาในเรือนด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้ามีริ้วรอยบางเบาแต่ดวงตากลับยังคมกริบเผิงเหยียนเฉิงในชุดบัณฑิตสีคราม เดินด้วยท่าทางที่ไม่ถนัดนัก แม้ท่าเดินยังไม่มั่นคงแต่เขาก็มีความตั้งใจ เดินไปหยุดต่อหน้า ประสานมือคำนับด้วยความเคารพ“ข้าน้อยเผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะอาจารย์”อาจารย์หวังพยักหน้าช้าๆ สีหน้าเคร่งขรึมอย่างนักปราชญ์ผู้มากประสบการณ์“นายท่านลู่ฝากฝังเจ้ากับข้า หวังว่าเจ้าจะตั้งใจเล่าเรียน เพื่อไม่ให้เสียชื่อผู้ที่เมตตาเจ้า”“ข้าน้อยย่อมเต็มกำลัง” เผิงเหยียนเฉิงตอบหนักแน่นหลังจากนั้นบทเรียนก็เริ่มขึ้น อาจารย์หวังเริ่มจากการทบทวนศาสตร์พื้นฐาน ทั้งวรรณคดี ปรัชญาขงจื๊อ เมิ่งจื้อ ตลอดจนข้อสอบแบบประเมินความรู้ในชั้นสูงเผิงเหยียนเฉิงแม้เพิ่งฟื้นตัวไม่นาน แต่สมาธิกลับแน่วแน่ พู่กันในมือเขาเขียนตัวอักษรได้มั่นคงและสวยงามกว่าที่อาจารย์หวังคาดคิดขณะที่เขาเขียน อาจารย์ห
อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เหลือเพียงแสงจันทร์สีเงินที่เริ่มสาดส่องลงมายังสวนกว้าง สายลมเย็นโชยพัดกลีบดอกไม้ปลิวไสว กลิ่นหอมบางเบาแผ่ซ่านในอากาศยามราตรีลู่ซือหนานเดินเคียงข้างบัณฑิตหนุ่มที่พยุงตัวด้วยไม้เท้าตรงไปที่ศาลา โดยมีบ่าวคนสนิทติดตามอยู่ด้านหลังลู่ซือหนานเหลือบมองเขาอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเผิงเหยียนเฉิงดูสดชื่นกว่าก่อนหน้านี้มาก สีหน้าซีดเซียวก็มีเลือดฝาดขึ้น“ท่านดูดีขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ พี่เหยียนเฉิง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจแท้จริงเผิงเหยียนเฉิงหัวเราะเบาๆ เอียงหน้าหลบสายตาอ่อนโยนนั้น“ขอบคุณคุณหนูลู่ที่ดูแลข้ามาตลอด หากมิใช่เพราะครอบครัวของเจ้า ข้าคงมิอาจมีวันนี้”ลู่ซือหนานส่ายหน้าเบาๆ “อย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ ข้า...ข้าเพียงแต่...อยากให้ท่านดีขึ้นเร็วๆ เท่านั้น”คำพูดของนางอ่อนหวานและจริงใจนัก จนเผิงเหยียนเฉิงรู้สึกใจอ่อนยวบเขาก้าวข้างกันไปช้าๆ กับนางโดยไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ปล่อยให้เสียงลมและกลิ่นหอมของดอกไม้ยามเย็นคลอเคล้าเป็นเพื่อนในใจของเขาได้แต่ภาวนาเงียบๆ ขอเพียงให้ช่วงเวลานี้ ยืดยาวออกไปอีกสักนิด ก็ยังดีเมื่อไปถึง เผิงเหยียนเฉิงนั่งอยู่บนศาลา
ตลาดเมืองเจียงเฉินครึกครื้นไปด้วยเสียงผู้คน ร้านรวงเปิดเรียงราย กลิ่นขนมอบใหม่และเครื่องหอมลอยตลบไปทั่วลู่ซือหนานเดินทอดน่องไปตามถนนกลางตลาด ดวงตาเปล่งประกายสดใส นางเดินชมข้าวของอย่างเพลิดเพลิน โดยมีเสี่ยวหลานสาวใช้เดินอย่างใกล้ชิด และห่างออกไปเป็นบ่าวอีกสองคนที่ติดตามห่างๆ ตามคำสั่งของลู่ฮูหยินขณะกำลังมองดูร้านเครื่องหอมอยู่นั้น ดวงตาก็พลันเหลือบเห็นเงาคุ้นตาอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับ เขาสวมอาภรณ์สีดำทอง ท่าทางหรูหราโอ่อ่า นั่นคือไป๋ซื่ออัน คู่หมายของนางนั่นเองหัวใจของลู่ซือหนานพองโตทันที นางก้าวเท้าจะเข้าไปหา ทว่าในชั่วเวลาถัดมาฝีเท้าก็หยุดชะงักลงไป๋ซื่ออันกำลังยื่นมือเลือกปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งจากแผง สายตาของเขาเปล่งประกายราวกับมองของล้ำค่าอย่างหวงแหนเสี่ยวหลานที่เดินตามมา เห็นท่าทีผิดปกติของคุณหนู จึงเอียงคอถามเสียงเบา“คุณหนู เหตุใดไม่เข้าไปทักล่ะเจ้าคะ”“ไม่เป็นไร คุณชายไป๋คงกำลังเลือกของขวัญให้ข้า หากข้าเข้าไปตอนนี้ก็จะรู้ล่วงหน้าเสียก่อน จะไม่ตื่นเต้นเมื่อได้รับน่ะสิ” นางหัวเราะเบาๆ แล้วเดินอมยิ้มไปอีกทาง“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นตอนได้รั
ขณะที่ภายในห้องโถงใหญ่ยังเต็มไปด้วยบรรยากาศของการพูดคุยอย่างดุเดือดด้วยความมุ่งหวังและความโกรธแทนเผิงเหยียนเฉิง เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นที่ประตูลู่ซือหนานในชุดผ้าแพรสีอ่อน เดินยิ้มแย้มเข้ามาอย่างร่าเริง นางก้มตัวคารวะอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยเสียงใส“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขออนุญาตออกไปเดินชมตลาดกับเสี่ยวหลานสักครู่เจ้าค่ะ วันนี้ตลาดกลางเมืองคึกคักนัก”ลู่หยวนฉีจึงปรับสีหน้าให้อารมณ์ดีขึ้นจากการพูดคุยกับเผิงเหยียนเฉิง เขาหัวเราะเสียงดัง ลูบเคราไปพลางกล่าว“ไปเถิดๆ แต่พาเหยียนเฉิงไปเดินผ่อนคลายด้วยกันเสียหน่อยสิ เห็นอยู่ว่าข้าสั่งให้พักฟื้นนานแล้ว ออกไปเดินสูดอากาศย่อมดีต่อร่างกาย”ลู่ซือหนานชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเผิงเหยียนเฉิงที่นั่งนิ่งอยู่ไม่ไกลนางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าอย่างสุภาพ“ท่านพ่อเจ้าคะ... ข้าว่าให้พี่เหยียนเฉิงพักผ่อนต่อเถิดเจ้าค่ะ เขาเพิ่งหายดี ยังเดินไม่สะดวก หากต้องฝืนเดินกลางตลาดอาจเหนื่อยเปล่าๆ อีกอย่างข้ากับเสี่ยวหลานก็เดินซื้อของตามประสาสตรี พี่เหยียนเฉิงอาจจะเบื่อเอาได้”“ใช่แล้ว ปล่อยให้เขาพักผ่อนเถอะ อีกสองสามวันร่างกายแข็งแรงกว่านี้ค่อยว่ากัน” อันเหม่ยฉ
เผิงเหยียนเฉิงในชุดผ้าแพรเนื้อดีสีฟ้า ถือถาดน้ำชาด้วยมือที่กลับมาแข็งแรงมั่นคง เดินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของเรือนหลักอย่างสง่างามลู่หยวนฉีและอันเหม่ยฉินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ท่าทางเรียบง่ายทว่ามีอำนาจอย่างสงบ เผิงเหยียนเฉิงหยุดอยู่หน้าโต๊ะ ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม ก่อนยกถ้วยน้ำชาขึ้น“เผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะท่านลุงลู่ ท่านป้าลู่ ขอขอบคุณท่านทั้งสองที่เมตตาช่วยเหลือ ให้ที่พักพิง และให้โอกาสข้าได้เริ่มต้นใหม่ ข้าจะจดจำพระคุณนี้ไปชั่วชีวิต”ลู่หยวนฉีหัวเราะเบาๆ รับถ้วยน้ำชา ยกขึ้นจิบเล็กน้อย จากนั้นก็วางลง“เป็นเรื่องที่ควรกระทำ เจ้าคือบุตรชายของผู้มีพระคุณเก่าแก่ของข้า” เขาหันไปมองภรรยาของตนอย่างอบอุ่นอันเหม่ยฉินยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นบ้าง“ตอนพวกเราเพิ่งย้ายมาเมืองเจียงเฉิน ยังเป็นครอบครัวเล็กๆ ไม่มีแม้กระทั่งเรือนใหญ่โตอย่างในตอนนี้” นางมองใบหน้าของเผิงเหยียนเฉิงด้วยสายตาเอ็นดู เหมือนมองเด็กคนหนึ่งที่เคยรู้จักมานาน“จำได้ว่าตอนนั้น...เจ้ามักจะตามพ่อเจ้ามาเรือนข้าอยู่เสมอ อยู่เป็นเพื่อนหนานเอ๋อร์ของข้า เล่นกันอยู่ใต้ต้นไม้หน้าเรือน” เสียงหัวเราะนุ่มนวลแฝงด้วยความคิดถึง“ข้าไม่เคยลืมเ
ภายในห้องพักที่อบอวลด้วยกลิ่นยาสมุนไพรอ่อนๆ เผิงเหยียนเฉิงนั่งลงช้าๆ บนตั่งไม้ หันหน้าออกไปยังหน้าต่างที่เปิดรับลมเย็นสบายยังไม่ทันได้หลับตาพักผ่อน เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นหน้าห้อง“พี่เหยียนเฉิง” ลู่ซือหนานก้าวเข้ามาพร้อมถาดไม้ในมือ ในนั้นวางกาน้ำต้มยาอยู่“ข้าให้ห้องครัวเตรียมยาตามใบสั่งของหมอไว้ให้ท่านดื่ม ข้าอยากต้มด้วยตัวเอง จึงมาเองเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงนุ่ม ดวงตาใสบริสุทธิ์เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยเผิงเหยียนเฉิงมองนางเงียบๆ แวบหนึ่งในดวงตาคมกริบมีแววอ่อนโยนผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นางค่อยๆ รินน้ำยาอุ่นร้อนลงในถ้วย แล้วยื่นให้เขาด้วยมือของตนเอง“ยานี้แม้จะขมหน่อย แต่หมอบอกว่าดื่มเป็นประจำจะฟื้นฟูเส้นเอ็นได้เร็วขึ้นเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มให้กำลังใจเผิงเหยียนเฉิงยื่นมือไปรับถ้วยยามา ดวงมือที่สัมผัสกับปลายนิ้วของนางเพียงแผ่วเบา แต่กลับส่งผ่านความอบอุ่นที่ทำให้ใจเขาสั่นสะท้านเขารับยามาเงียบๆ ดื่มยาขมเฝื่อนนั้นจนหมดโดยไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย“เจ้าควรกลับไปพักผ่อนเถอะ” เขาเอ่ยเบาๆ หลบสายตาอ่อนโยนของนางอย่างระมัดระวังลู่ซือหนานพยักหน้า ยิ้มอ่อนหวาน “เช่นนั้นข้าจะไปดูหม้อยาอีกที ว่
ที่สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ท้องฟ้าสดใสปราศจากเมฆหมอก ลมอ่อนพัดโชยกลิ่นหอมของดอกเหมยกระจายไปทั่วบริเวณบัณฑิตหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น เขาใช้ไม้เท้าที่ถูกสั่งทำให้เป็นพิเศษในการช่วยพยุงเดิน โดยมีบ่าวข้างกายนามว่าอาหมิง ช่วยพาออกจากห้องไปรับลมที่สวนดอกไม้ขณะก้าวเดินอย่างเชื่องช้า มือจับไม้เท้าแน่น เขาสูดกลิ่นหอมของดอกไม้เข้าสู่ปอด รู้สึกว่าร่างกายที่อ่อนแรงเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นบ้างเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากศาลากลางสวน เรียกความสนใจจากบัณฑิตหนุ่ม ดวงตาเรียวคมของเขาเหลือบมองไปเห็นลู่ซือหนาน นางยืนเคียงข้างกับบุรุษผู้หนึ่ง ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขเผิงเหยียนเฉิงยืนนิ่ง มองภาพนั้นเงียบๆ ใต้เงาไม้ ทันใดนั้นเอง ขณะที่ลู่ซือหนานก้มหน้าด้วยความเขินอาย ไป๋ซื่ออันที่นั่งอยู่กลับเลื่อนสายตาไปมองสาวใช้คนหนึ่งที่ถือป้านน้ำชาอยู่ใกล้ๆเพียงชั่วพริบตา เผิงเหยียนเฉิงก็เห็นได้ชัดเจนสายตาคู่นั้น เต็มไปด้วยความเจ้าชู้ ลึกซึ้งผิดวิสัยชายที่ควรเอาใจจดจ่ออยู่กับคู่หมายของตนเอง แม้ว่าสาวใช้คนนั้นจะหลบตาอย่างสุภาพ แต่ไป๋ซื่ออันกลับอมยิ้ม ส่งสายตาเชิงเกี้ยวพาอย่างไม่ปิดบังเผิงเหยียนเฉิงหลุบตาลงช้