ภายในเรือนใหญ่ของสกุลลู่ อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้แห้งและกลิ่นไหมหอมอ่อนๆ จากผ้าชุดมงคล
ช่างฝีมือหลายคนกำลังเร่งมือตกแต่งเรือนให้สมเกียรติขบวนเกี้ยวเจ้าสาวที่กำลังจะมาถึง ทุกห้องทุกซุ้มถูกประดับด้วยผ้าสีแดงสด ปักลายเมฆมงคลด้วยด้ายทอง
ลู่ซือหนานยืนอยู่หน้าชุดเจ้าสาวสีแดงเพลิงที่ถูกส่งมาพร้อมจดหมาย ลายปักบนไหมทำจากดิ้นทองและประดับอัญมณีเล็กละเอียดลออ เมื่อมือลูบผ่านผืนผ้า เนื้อสัมผัสนุ่มราวกับขนนก
เสี่ยวหลานผู้ติดตามคนสนิทกำลังจัดเตรียมสินเดิมที่จะขนไปเมืองหลวงอย่างขะมักเขม้น พอเงยหน้าขึ้นเห็นลู่ซือหนานยืนนิ่งมองชุด ก็หัวเราะคิกพลางว่า
“คุณหนูเจ้าขา ชุดนี้พอดีตัวท่านยิ่งกว่าช่างวัดเสียอีกเจ้าค่ะ มิทราบว่าท่านโหวเผิงสายตาดีถึงเพียงไหน ถึงรู้ว่าสะโพกท่านงามเท่าใด เอวคอดเท่าไร
หรือว่าคืนที่ท่านอยู่เรือนจวนโหวนั้น...”ลู่ซือหนานหันขวับมาในทันที แก้มแดงปลั่งขึ้นมาทันตา
“เสี่ยวหลาน เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล”
“เหลวไหลหรือเจ้าคะ บ่าวยังไม่ได้พูดเลยว่าอะไร แต่ใบหน้าท่านแดงขนาดนี้ บ่าวก็พอดูออกแล้วเจ้าค่ะ&rd
ในจวนปลัดอำเภอเมืองตุนโจว เช้าวันหนึ่งที่อากาศเย็นแต่ไม่ถึงกับหนาว โจวจิงหยูนั่งอยู่ในเรือนกลาง ลมหอบบางๆ พัดชายม่านผืนบางให้พลิ้วไหว แต่มิอาจทำให้อารมณ์ขุ่นเคืองของนางจางลงได้บนโต๊ะไม้ฝังลายมุกตรงหน้า นางวางกระดาษแผ่นหนึ่งที่เพิ่งอ่านจบ เป็นข่าวจากเมืองหลวง กล่าวถึงพิธีสมรสอันยิ่งใหญ่ของ “เผิงโหว” ผู้ได้รับพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ และเจ้าสาวผู้ได้เป็นถึง ฮูหยินขั้นสองแห่งจวนโหวใบหน้างดงามแต่เฉี่ยวคมของโจวจิงหยูบึ้งตึง ขณะที่นิ้วเรียวยังคงกำแน่นกับพัดในมือ เสียงพัดกระทบโต๊ะเป็นจังหวะ ขณะที่นางหรี่ตาลงแล้วเอ่ยเสียงเย็น“หึ ในที่สุดก็ได้ขึ้นแท่นฮูหยินสมบูรณ์แบบ สมกับที่วางหมากมาดี”เสียงฝีเท้าดังขึ้นช้าๆ ก่อนที่สามีของนางซ่งจื่ออวี้ จะเดินเข้ามาในห้อง สีหน้าชายหนุ่มเรียบนิ่ง แต่แฝงด้วยความไม่พอใจ เขาเดินตรงเข้ามาหานาง แล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา“เจ้าจะโมโหเรื่องเผิงเหยียนเฉิงอีกทำไม ในเมื่อเจ้าก็เป็นภรรยาข้าแล้ว”โจวจิงหยูเชิดหน้าเล็กน้อย กล่าวเสียงห้วน“ข้ามิได้โมโหเพราะคิดถึงเขา”&l
ดึกแล้วเสียงครื้นเครงของงานเลี้ยงเริ่มซาลง แขกเหรื่อทยอยกลับ บ่าวไพร่ทยอยเก็บโต๊ะ เหลือเพียงเสียงดนตรีเบาๆ ที่ยังเล่นเพื่อเป็นมงคลให้บ่าวสาวคืนนี้จันทร์เต็มดวงส่องแสงนวลเหนือฟ้าเมืองหลวง ทอแสงลงมาบนเรือนหอหลังใหญ่ในจวนโหว เรือนที่วันนี้ถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยโคมแดง ผ้าม่านลายมงคล และเทียนที่สว่างไสวอยู่สองมุมห้องในห้องหอ ลู่ซือหนานนั่งสงบอยู่ข้างเตียงในชุดเจ้าสาวสีแดง ผมเงางามถูกเกล้าอย่างพิถีพิถัน ติดปิ่นทองลายบุปผา ดวงหน้าแดงเรื่อเพราะไออุ่นในห้องและความเขินอายที่ยากจะระงับเบื้องหน้าโต๊ะกลมขนาดเล็กมีถ้วยเหล้าชุนถังเจียวเป่ย เหล้ามงคลสำหรับคู่บ่าวสาววางอยู่พร้อมจอกทองหนึ่งคู่ เสี่ยวหลานที่รู้เวลายิ้มแล้วถอยออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ เหลือเพียงลู่ซือหนานกับเสียงหัวใจของตนเองไม่นาน บานประตูไม้สลักก็เปิดออกเบาๆ เผิงเหยียนเฉิง ในชุดเจ้าบ่าวสีแดง ก้าวเข้ามาช้าๆ ใบหน้าเขายิ้มอ่อน แต่นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งจนแทบกลั้นไม่อยู่“ข้ามาช้าไปหรือไม่” เขาถามเสียงนุ่ม น้ำเสียงไม่มั่นใจนักลู่ซือหนานหลบตานิดหนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ &
ขบวนเจ้าสาวเคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูเมืองหลวงในยามสาย ขบวนมงคลยาวเหยียดนำโดยขบวนนักดนตรีส่งเสียงเป็นจังหวะรื่นเริง ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองที่ออกมายืนแน่นสองฝั่งถนนเพื่อชมขบวนเจ้าสาวอันทรงเกียรติของจวนโหวเผิงเกี้ยวเจ้าสาวสีแดงเข้มตัดขอบทองประดับด้วยพู่ไหมสีแดงสดและกระดิ่งเงินเบาๆ ที่สั่นไหว เคลื่อนไปอย่างช้าๆ ข้างเกี้ยวเผิงเหยียนเฉิงในชุดเจ้าบ่าวเต็มยศควบม้าคู่ใจอย่างมั่นคง ดวงตาแน่วแน่มุ่งหน้าสู่ประตูใหญ่ของจวนโหวซึ่งเพิ่งได้รับพระราชทานอย่างเป็นทางการจากฮ่องเต้เมื่อขบวนมาถึงหน้าเรือนโหว เสียงประทัดยาวชุดใหญ่ก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณต้อนรับเกี้ยวเจ้าสาว เสียงประทัดแดงปลิวว่อนเต็มพื้นประหนึ่งโรยด้วยกลีบดอกไม้แดง ตำรับพิธีแต่งงานของขุนนางชั้นสูงถูกปฏิบัติอย่างครบถ้วน เหล่าข้ารับใช้สกุลเผิงออกมายืนเรียงรายสองข้างประตูคารวะเจ้าสาวเมื่อถึงหน้าประตูจวน ขันทีหลวงที่รับมอบหมายจากในวังเดินออกมาเปิดม่านเกี้ยวชั้นนอก เสี่ยวหลานช่วยประคองลู่ซือหนานลงจากเกี้ยวในขณะที่นางยังคงคลุมหน้าเผิงเหยียนเฉิงเดินเข้ามาพร้อมถาดทองเล็กที่มีผลทับทิมสองผล และเชิญลู่ซือหนานเข้าเรือนด้วยตั
ขบวนเกี้ยวเคลื่อนออกจากเจียงเฉินท่ามกลางเสียงประโคมกลองมงคลและเสียงโห่ร้องอวยพรของชาวบ้าน ขบวนอันสง่างามเดินทางผ่านเส้นทางเลียบแม่น้ำและป่าเขาเป็นเวลาหนึ่งวัน จนกระทั่งถึงเมืองซินหลิน เมืองเล็กๆ ที่เป็นจุดพักระหว่างทางก่อนเข้าสู่เขตเมืองหลวงเมื่อถึงโรงเตี๊ยมใหญ่ใจกลางเมืองซินหลิน บ่าวไพร่ต่างช่วยกันจัดห้องพักให้คู่บ่าวสาวแยกกันอย่างเคร่งครัดตามธรรมเนียม ลู่ซือหนานถูกพาไปยังห้องฝั่งในที่ตกแต่งด้วยผ้าม่านสีแดงจาง กลิ่นกำยานหอมอ่อนๆ ลอยคลุ้ง เสี่ยวหลานจัดแจงทุกอย่างเสร็จก็ยิ้มแย้ม พลางแซวเบาๆ ด้วยเสียงขบขัน“คุณหนูเจ้าคะ อีกเพียงวันเดียวก็จะได้อยู่กับท่านโหวแล้วอดใจรออีกนิดเถิดเจ้าค่ะ อย่าทำตาเศร้าเช่นนั้นเลย”ลู่ซือหนานหัวเราะน้อยๆ แก้มแดงซ่านแต่ก็พยักหน้าเบาๆในอีกมุมหนึ่งของโรงเตี๊ยม ฝั่งห้องพักของเผิงเหยียนเฉิง อาหมิงยืนกอดอกมองนายตนเดินไปเดินมาอย่างกระสับกระส่าย ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ อย่างคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว“นายท่าน อย่าคิดอะไรแผลงๆ นะขอรับ”“เจ้าบอกว่าอะไร”
ภายในเรือนใหญ่ของสกุลลู่ อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้แห้งและกลิ่นไหมหอมอ่อนๆ จากผ้าชุดมงคลช่างฝีมือหลายคนกำลังเร่งมือตกแต่งเรือนให้สมเกียรติขบวนเกี้ยวเจ้าสาวที่กำลังจะมาถึง ทุกห้องทุกซุ้มถูกประดับด้วยผ้าสีแดงสด ปักลายเมฆมงคลด้วยด้ายทองลู่ซือหนานยืนอยู่หน้าชุดเจ้าสาวสีแดงเพลิงที่ถูกส่งมาพร้อมจดหมาย ลายปักบนไหมทำจากดิ้นทองและประดับอัญมณีเล็กละเอียดลออ เมื่อมือลูบผ่านผืนผ้า เนื้อสัมผัสนุ่มราวกับขนนกเสี่ยวหลานผู้ติดตามคนสนิทกำลังจัดเตรียมสินเดิมที่จะขนไปเมืองหลวงอย่างขะมักเขม้น พอเงยหน้าขึ้นเห็นลู่ซือหนานยืนนิ่งมองชุด ก็หัวเราะคิกพลางว่า“คุณหนูเจ้าขา ชุดนี้พอดีตัวท่านยิ่งกว่าช่างวัดเสียอีกเจ้าค่ะ มิทราบว่าท่านโหวเผิงสายตาดีถึงเพียงไหน ถึงรู้ว่าสะโพกท่านงามเท่าใด เอวคอดเท่าไร หรือว่าคืนที่ท่านอยู่เรือนจวนโหวนั้น...”ลู่ซือหนานหันขวับมาในทันที แก้มแดงปลั่งขึ้นมาทันตา“เสี่ยวหลาน เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล”“เหลวไหลหรือเจ้าคะ บ่าวยังไม่ได้พูดเลยว่าอะไร แต่ใบหน้าท่านแดงขนาดนี้ บ่าวก็พอดูออกแล้วเจ้าค่ะ&rd
หลายวันต่อมา รุ่งเช้าในเมืองเจียงเฉิน ขบวนราชโองการจากเมืองหลวงก็มาถึงหน้าประตูเรือนสกุลลู่ ขุนนางผู้นำราชโองการแต่งกายเต็มยศ ควบม้าขาวมาพร้อมขันทีหลวงและเหล่าทหารองครักษ์ ขบวนธงหลวงโบกสะบัดกลางลมเช้า เป็นที่จับตามองของชาวเมืองซึ่งต่างพากันออกมาดูด้วยความตื่นตระหนกเสียงฆ้องดังสามครั้ง ขันทีผู้ถือราชโองการลงจากรถม้า แล้วประกาศเสียงดังกังวาน“ราชโองการจากใต้หล้าผู้ยิ่งใหญ่ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งแคว้นสือทรงมีพระราชประสงค์ให้ประกาศแด่ สกุลลู่ เมืองเจียงเฉิน”คหบดีลู่หยวนฉีและภรรยาต่างรีบพาบุตรีออกมาต้อนรับ พอลู่ซือหนานคุกเข่าลงรับราชโองการ เสียงขันทีหลวงก็อ่านต่อด้วยเสียงมั่นคง“ด้วยลู่ซือหนาน บุตรีแห่งลู่หยวนฉี แม้เป็นสตรีแต่มีน้ำใจกล้าหาญ มุ่งมั่นเสียสละเพื่อบ้านเมือง ยอมลำบากไปยังเมืองเห่ยโจว ดูแลผู้ตรวจราชการเผิงเหยียนเฉิงยามเจ็บป่วยขณะสร้างเขื่อน และอุทิศกายใจดูแลผู้คน อีกทั้งมีปัญญา จัดตั้งสำนักศึกษาสำหรับเยาวชนในถิ่นกันดาร มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ต่อราชสำนัก” เสียงประกาศเกียรติคุณดังก้องไปทั่วถนนหน้าเรือน ก่