อีกครั้งที่ร่างของ ซูหลิง ถูกทิ้งลงบนเตียงอย่างไม่ใยดี เสื้อผ้าที่เคยสวมใส่ขาดวิ่นเผยให้เห็นรอยถลอกและรอยแดงช้ำที่เกิดขึ้นจากการดิ้นรนเมื่อครู่ ดวงตาของเธอพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำตาแห่งความพ่ายแพ้ ความสิ้นหวังกัดกินหัวใจจนเธอแทบจะไม่มีแรงหายใจ ร่างกายสั่นระริกด้วยความอ่อนล้าและหวาดกลัว แต่สิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าคือประกายไฟในดวงตาของ หลงเฟย ที่ลุกโชนด้วยโทสะและแรงปรารถนาอันดิบเถื่อน "ปล่อยฉันนะ...หลงเฟย" หลงเฟยทาบทับร่างของซูหลิงไว้ เขามองสำรวจใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตาของเธอด้วยแววตาเย็นชา แต่ในความเย็นชานั้นกลับแฝงไว้ด้วยความคลั่งไคล้ที่น่าสะพรึงกลัว มือหนาของเขาเลื่อนไปบีบปลายคางของซูหลิงอย่างแรง บังคับให้เธอเงยหน้าขึ้นสบตา"เธอคิดว่าเธอจะหนีจากฉันไปได้งั้นเหรอ ซูหลิง" เสียงของหลงเฟยแหบพร่าและดุดัน "ความพยายามของเธอ... มีแต่จะทำให้ฉันยิ่งต้องการครอบครองเธอมากขึ้นเท่านั้น"ก่อนที่ซูหลิงจะได้ทันตอบอะไร ริมฝีปากของหลงเฟยก็บดเบียดลงมาบนริมฝีปากที่บวมช้ำของเธออย่างรุนแรง จูบนี้เต็มไปด้วยความโกรธ การลงโทษ และการครอบครอง เขาดูดเม้ม กลืนกินลมหายใจของเธออย่างบ้าคลั่ง ลิ้นร้อนรุกล้ำเข้ามาในโพรงปา
รุ่งเช้ามาถึงพร้อมกับความมุ่งมั่นครั้งใหม่ในใจของ ซูหลิง แม้ร่างกายจะยังคงระบมและจิตใจเต็มไปด้วยความสับสนจากค่ำคืนที่ผ่านมา แต่ประกายไฟแห่งการแก้แค้นและอิสรภาพกลับลุกโชนขึ้นอีกครั้ง รอยจูบและรอยแดงช้ำบนผิวของเธอไม่เพียงเป็นหลักฐานการถูกครอบครอง แต่ในสายตาของซูหลิง มันคือรอยสักแห่งความแค้นที่สลักลึกลงไปในวิญญาณ เตือนให้เธอต้องแข็งแกร่งและหลบหนีออกไปจากกรงทองของ หลงเฟย ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตามเธอจัดการตัวเองอย่างรวดเร็ว กินอาหารเช้าเพียงเล็กน้อยเพื่อเติมพลัง รสชาติจืดชืดของอาหารไม่อาจกลบความขมปร่าในลำคอ จากนั้นจึงเริ่มสำรวจเพนท์เฮาส์อีกครั้งอย่างละเอียดถี่ถ้วน เธอรู้ว่าหลงเฟยไม่ได้ประมาท เขาวางระบบรักษาความปลอดภัยไว้แน่นหนา ทุกย่างก้าวของเธอบ่งบอกถึงความระมัดระวัง แต่ในแววตากลับฉายชัดถึงความมุ่งมั่นที่ไม่อาจสั่นคลอน เธอเชื่อว่าทุกอย่างย่อมมีช่องโหว่เสมอ ซูหลิงเดินไปตามระเบียงทางเดินยาวที่เชื่อมแต่ละห้องเข้าหากัน เธอใช้มือลูบไล้ไปตามผนัง ตรวจสอบทุกจุดที่สงสัย จนกระทั่งเธอรู้สึกถึงรอยต่อเล็กๆ บนผนังใกล้กับห้องเก็บของที่เธอไม่เคยสังเกตมาก่อนซูหลิงใช้เวลานานในการพยายามแกะรอยต่อ
ซูหลิง รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงลึกของมหาสมุทรที่มืดมิด ไร้ทางกลับขึ้นสู่ผิวน้ำ สายตาของ หลงเฟย ที่จ้องมองมาเมื่อครู่ยังคงตรึงติดอยู่ในความทรงจำ มันเป็นแววตาที่ทั้งน่ากลัวและน่าเย้ายวนใจไปพร้อมกัน คำพูดของเขาที่ว่า "คืนนี้เธอต้องใส่ชุดที่ฉันเลือกไว้ให้" ยังคงก้องอยู่ในหูของเธอราวกับคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้เธอใช้ความคิดอย่างหนักในขณะที่เดินไปยังห้องแต่งตัวอย่างเชื่องช้า ซูหลิงรู้ดีว่าเธอไม่สามารถปฏิเสธความต้องการของหลงเฟยได้ แต่ลึกๆ แล้วเธอก็ไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ เธอจึงเลือกที่จะเปลี่ยนชุดด้วยตัวเองเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้ถูกบังคับให้ทำอะไรตามที่เขาต้องการทั้งหมด เธอก้าวเข้าไปในห้องแต่งตัวอย่างเงียบเชียบและใช้เวลาในการพิจารณาเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ภายในตู้ในตู้เสื้อผ้ามีชุดราตรีมากมายหลายแบบ ทั้งชุดที่เรียบร้อยและชุดที่เซ็กซี่เกินกว่าที่เธอจะกล้าใส่ เธอจ้องมองไปที่ชุดเดรสที่หลงเฟยเลือกไว้ให้ก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่ชุดอื่นเพื่อค้นหาชุดที่เหมาะสมกว่าสุดท้าย เธอก็พบชุดที่ถูกใจ เป็นชุดเดรสผ้าไหมสีชมพูอ่อนที่ดูเรียบง่ายแต่กลับให้ความรู้สึกหรูหรา ซูหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
รุ่งเช้าของอีกวัน ซูหลิงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความอ่อนล้าทั้งทางกายและใจ แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ้าม่านเข้ามาเพียงเล็กน้อย ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศในห้องสดใสขึ้นเลยแม้แต่น้อย ร่างกายของเธอยังคงระบมจากค่ำคืนที่ผ่านมา รอยจูบและรอยแดงช้ำปรากฏอยู่ทั่วผิวเนื้อขาวเนียนราวกับหลักฐานการถูกครอบครองที่ไม่อาจลบเลือนได้หลงเฟยจากไปแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขามักจะหายตัวไปอย่างเงียบเชียบเสมอ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นกายและรอยประทับที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำและบนร่างกายของเธอ แม้จะรู้สึกขยะแขยงตัวเองที่อ่อนไหวต่อสัมผัสของเขา แต่ลึกๆ แล้ว ซูหลิงก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไปก่อตัวขึ้นในใจ มันทั้งน่ากลัวและน่าสับสนหลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย ซูหลิงเดินไปที่ห้องครัว อาหารเช้าถูกจัดเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพเหมือนเช่นเคย เธอพยายามฝืนกินเข้าไปเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังชีวิต สมองของเธอสั่งการให้คิดหาทางออกตลอดเวลา เธอไม่อาจปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่ในความสิ้นหวังได้นานกว่านี้ ความแค้นคือเชื้อเพลิงเดียวที่ทำให้เธอยังคงหายใจอยู่ในเวลาเดียวกัน ห่างออกไปไม่กี่ไมล์ ณ อาคารสำนักงานใจกลางเมือง หลงเฟยกำลังนั่งอ
รุ่งเช้ามาเยือนพร้อมกับความปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กายของ ซูหลิง แสงแดดอ่อน ๆ เล็ดรอดผ้าม่านเข้ามาเพียงเล็กน้อย ทำให้ห้องนอนยังคงอยู่ในบรรยากาศสลัว ๆ ซูหลิงขยับตัวช้า ๆ ความเจ็บแปลบแล่นไปทั่วร่างกาย บ่งบอกถึงค่ำคืนอันยาวนานที่ผ่านมา เธอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันเป็นห้วงเวลาที่ร่างกายของเธอถูกครอบครองอย่างสมบูรณ์เธอหันมองไปยังที่ว่างข้างกาย หลงเฟย หายไปแล้ว ไม่มีร่องรอยของการมีอยู่ของเขา ยกเว้นความรู้สึกราวกับมีไฟแผดเผาอยู่ในกายของเธอ และรอยแดงช้ำจาง ๆ ตามผิวเนื้อที่บอบบาง ความรู้สึกโล่งใจเพียงชั่วครู่ก็ถูกแทนที่ด้วยความอ้างว้างและเคว้งคว้างอย่างประหลาด เธอเกลียดที่ร่างกายของตัวเองตอบสนองต่อเขา แต่ลึก ๆ แล้ว เธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสัมผัสของเขา... เร้าใจอย่างที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ซูหลิงลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก เธอเดินโซซัดโซเซไปยังห้องน้ำขนาดใหญ่ สายตาจับจ้องไปที่ภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ ดวงตาคู่สวยยังคงฉายแวววาวของความดื้อรั้น แต่รอบดวงตานั้นคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากอิ่มบวมเจ่อจากการจูบอย่างเร่าร้อนเมื่อคืน รอยแดงช้ำบนผิวขาวเนียนคือหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ถึ
แสงจันทร์สีเงินนวลทอดผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามาในห้องนอนกว้างขวางของเพนท์เฮาส์ยามวิกาล บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจของ ซูหลิง ที่ยังคงสะท้อนก้องอยู่ในความว่างเปล่า เธอพลิกตัวไปมาบนเตียงขนาดคิงไซส์ พยายามข่มตาหลับแต่ก็ไร้ผล ภาพใบหน้าของ หลงเฟย วนเวียนอยู่ในหัว ดวงตาคมกริบที่เต็มไปด้วยอำนาจและรอยยิ้มเย้ยหยันยังคงตามหลอกหลอนกว่าสองวันแล้วที่เธอถูกกักขังอยู่ในกรงทองแห่งนี้ ทุกนาทีคือความทรมานทางจิตใจ เธอรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องตลอดเวลา แม้จะไม่มีใครอยู่ในห้อง แต่ความรู้สึกไร้อิสรภาพนั้นหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก อาหารที่จัดเตรียมอย่างดีถูกแตะต้องเพียงเล็กน้อย เธอนอนไม่หลับอย่างรุนแรง ดวงตาคล้ำลง และผิวพรรณที่เคยสดใสก็ดูซีดเซียวลงไปบ้าง แต่กระนั้นความสวยก็ยังไม่จืดจาง ความมุ่งมั่นในการแก้แค้นยังคงอยู่ แต่ร่างกายของเธอกำลังส่งสัญญาณประท้วงถึงความอ่อนล้าเสียงคลิกเบาๆ ที่ประตูห้องนอนทำให้ซูหลิงสะดุ้งสุดตัว เธอหันขวับไปมอง ประตูไม้เนื้อดีเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นเงาร่างสูงใหญ่ของหลงเฟยในกรอบประตู แสงไฟจากโถงทางเดินสาดเข้ามาจากด้านหลัง ทำให้ใบหน้าของเขาดูมืดมิดและน่าเกรงขามยิ่งขึ้นไปอีก เขาก้าว