จากนั้นยมบาลเมฆาก็อ่านรายละเอียดอีกสองภพชาติ ที่เหมาะแก่การกลับภพไปเกิดของหญิงสาวอย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่รายละเอียดเดียว
“คนที่ทำกรรมดีไว้มากและกตัญญูรู้คุณอย่างนาง ไม่ควรไปอยู่กลางวงล้อมสงครามกลางเมืองแบบนั้น” ที่สำคัญเวลานางทำบุญนางจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลเผื่อแผ่ถึงพญามัจจุราชอย่างเขาด้วยเสมอ เขาจึงอยากให้นางได้ไปเกิดใหม่ในภพที่ดีที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นต้าหมิงคือสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดแล้วขอรับท่านยมราช ที่นั่นสงครามชิงดินแดนกำลังจะสงบพอดี”
“เอาอย่างนั้นก็ได้” ในเมื่อตัดสินใจและได้รับความเห็นชอบจากลูกสมุนแล้ว ท่านพญายมราชจึงกระแอมเบาๆ สองครั้ง “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะวิญญาณรนิดา”
“เอายังไงค่ะท่านมัจ”
“เรียกชื่อเราให้เต็มๆ หน่อยไม่ได้เหรอวิญญาณรนิดา”
“ก็ได้ค่ะท่านพญามัจ มีอะไรก็ว่ามาสิคะ”
ท่านพญามัจของวิญญาณสาวถอนหายใจกลัดกลุ้ม นึกอยากจะส่งนางไปในดงสงครามให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ไม่ใช่วิสัยของตัวเอง
“ถ้าเจ้าไม่ยอมกลับไปเกิดในภพภูมิที่จากมา เรามีอีกหนึ่งข้อเสนอให้เจ้า คือส่งเจ้าไปยังภพภูมิที่บิดาเจ้ายังมีชีวิตอยู่ และเจ้าก็จะได้ไปเป็นลูกของเขาอีกครั้ง แต่เจ้าต้องไปสวมร่างของเด็กสาวอายุสิบเก้านะ ซึ่งเด็กสาวคนนั้นก็คือตัวเจ้าในภพภูมินั้นนั่นเอง”
“ฉันอยากรู้ว่าภพภูมินั้นมันคือที่ไหน”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ เจ้ารู้แต่เพียงว่าจะได้อยู่กับบิดาของเจ้าก็พอ พ่อของเจ้าในภพภูมินั้นเพิ่งจะอายุห้าสิบ เท่ากับว่าเขาจะได้อยู่กับเจ้าอีกสิบสองปีถึงจะสิ้นอายุขัย”
“แล้วฉันจะจำตัวเองได้ไหมคะ ฉันจะคุยกับพวกเขารู้เรื่องหรือเปล่า ถ้าส่งฉันไปแบบครึ่งๆ กลางๆ เหมือนเป็นตัวประหลาดในสายตาของพวกเขาไม่ต้องส่งฉันไปนะคะ”
“วิญญาณรนิดาเอ๋ยทำไมเจ้าถึงเรื่องมากแบบนี้นะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ เราจะมอบความจำในภพนี้และภพนั้นให้เจ้าเป็นการชดเชยอย่างสมน้ำสมเนื้อ ไม่ให้เจ้ากลายเป็นตัวประหลาดหรอก”
แต่หลังจากนั้นเราจะทำให้เจ้าค่อยๆ ลืมภพชาติเดิมของเจ้า ถึงแม้พฤติกรรมจะหลงเหลือ แต่เจ้าจะไม่รู้เลยว่าเจ้าเคยเป็นใครมาก่อน พญามัจจุราชเก็บความลับนี้ไว้กับตัวเองเพราะไม่อยากโดนต่อว่า
“ดีค่ะ”
“ตอบแบบนี้หมายความว่าเจ้าจะไปรึ” ท่านพญามัจจุราชถามเสียงสูงด้วยความแปลกใจ “เราถามเจ้าหน่อยเถอะ ทำไมเจ้าถึงไม่อยากกลับไปเกิดในภพภูมินี้ เจ้าไม่คิดถึงครอบครัวเจ้าแล้วรึ”
“ครอบครัวของฉันมีพี่น้องหลายคน พวกเขาขาดฉันไปหนึ่งคนคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันอยากอยู่กับพ่อมากกว่า” ร่างของเธอถูกเผาไปแล้ว คนรักของเธอก็นอกใจเธอไปแล้ว กลับไปก็ไร้ความหมายสิ้นดี สู้ไปอยู่ชาติภพอื่นกับบิดาดีกว่า
“แค่นี้รึเหตุผลของเจ้า”
นางไม่อยากกลับไปเจอผู้ชายคนนั้น ถึงเธอไม่บอกท่านพญามัจจุราชก็ได้ยินสิ่งที่ใจเธอคิด
“ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก ยมทูตปาณะส่งนางไปเดี๋ยวจะไม่ทันการณ์อีก โชคดีนะวิญญาณรนิดา”
“ขอบคุณท่านที่เมตตาฉันกับพ่อค่ะ” รนิดายกมือไหว้พญามัจจุราชแล้วยื่นมือให้ยมทูตที่พาตนมา
“เจ้าจะให้เรามัดเจ้ารึ” ยมทูตปาณะข้องใจ
“ฉันกลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจกะทันหันแล้วหนีท่านไปอีก ทางที่ดีจับฉันไปแล้วรีบพาฉันไปสิงร่างชาวบ้านสักทีเถอะ” นางประชดนิดๆ
“ได้ๆๆ” เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ยมทูตตอบรับคำขอของดวงวิญญาณอย่างรวดเร็ว
‘ทำไมถึงอึดอัดอย่างนี้นะ แล้วใครกันนะมาร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่ข้างๆ หูฉันเนี่ย’ รนิดาได้ยินเสียงคร่ำครวญปานขาดใจของใครคนหนึ่งชัดเจนแจ่มแจ้ง ขณะที่อีกหลายเสียงกำลังแสดงความเสียใจแบบเยาะๆ เต็มสองรูหูเหมือนกัน
เธอพยายามจะลืมตาขึ้นดู พยายามจะขยับตัวแต่ก็ทำไม่ได้สักที สุดท้ายจึงนอนนิ่งๆ อยู่สักพัก
‘ท่านพญามัจผู้ยิ่งใหญ่ สรุปท่านเต็มใจส่งฉันมาสิงร่างผู้หญิงคนนี้หรือเปล่าคะ ถ้าเต็มใจก็กรุณาทำให้ฉันเป็นปกติด้วยค่ะ ไม่ใช่ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้’ เธอต่อว่าผู้ยิ่งใหญ่ในนรกภูมิอย่างหงุดหงิดอยู่ในใจ
‘ใจเย็นๆ สิวิญญาณรนิดา ตอนนี้วิญญาณของเจ้ากำลังสร้างความคุ้นเคยกับร่างใหม่อยู่นะ ระหว่างนี้เจ้าก็นอนฟังคนรอบข้างไปก่อนก็แล้วกันนะแล้วเจ้าก็ไม่ต้องเรียกหาเราแล้วนะ เพราะต่อไปนี้เราถือว่าเจ้าเป็นมนุษย์แล้ว เราไม่สามารถยุ่งกับเจ้าได้อีก’
‘อย่าเพิ่งไป.. ท่านมัจจุราชได้ยินฉันไหม.. ท่านมัจจุราช..’ เขาไปแล้วจริงๆ เขาส่งเธอมาอยู่ในร่างของครอบครัวชาวจีนแล้วก็จากไป แต่บิดาเธอในชาตินี้คงมีฐานะร่ำรวยมากสินะ เธอถึงถูกเรียกว่าคุณหนูๆ แบบนี้
“ร้องไห้คร่ำครวญอยู่แบบนี้ก็มีแต่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ทางที่ดีเจ้ารีบเอาศพของคุณหนูกลับไปที่บ้านของนางดีกว่านะอาหลี่”
“แต่คุณหนูสั่งข้าไว้ว่าให้รออ๋องใหญ่กลับมาแล้วฟังคำสั่งของอ๋องใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำสั่งของอ๋องใหญ่เท่านั้น”
“กว่าอ๋องใหญ่จะกลับมาศพนางคงขึ้นอืดจนดูไม่ได้ แค่นี้ก็อืดจนน่าเกลียดอยู่แล้ว”
คิกๆๆ หลายเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน ไม่ได้สลดกับการจากไปของคนๆ หนึ่งเลยสักนิด
วันต่อมา วันต่อมา และวันต่อมาที่โต๊ะอาหารเช้าภายในจวนใต้เท้าเฟิ่งจะมีแขกพิเศษมาร่วมด้วยทุกวัน และคนที่ฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียดด้วยความไม่พอใจมากที่สุดก็คือเฟิ่งต้าชวี่ เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาไม้นี้เมื่อสี่วันก่อนหลังจากที่นางยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่กลับไปกับเขา เขาก็ยอมเดินออกจากจวนของนางไปอย่างสงบ นางก็คิดว่าทุกอย่างจะจบแล้ว แต่นางคิดผิดถนัด เพราะนางจะถูกปลุกให้ตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิมเป็นเวลาสามวันติดกันแล้ววันนี้เป็นวันที่นางโมโหมากที่สุด เพราะถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยามเหม่า ต้องตื่นก่อนพระอาทิตย์เริ่มทำงานเสียอีก ที่น่าโมโหยิ่งกว่าก็คือสาวใช้ตัวแสบจะปิดประตูขังนางไว้กับเขาเพียงสองต่อสองทุกวันจนถึงเวลาอาหาร และนางก็ต้องเสียจูบให้เขาทุกครั้งที่เจอหน้า“ถ้าวันนี้เจ้าไม่กลับไปกับท่านอ๋อง ข้ากับแม่ของเจ้าจะไปส่งเจ้าด้วยตนเอง” ใต้เท้าเฟิ่งบอกกับธิดาหัวแก้วหัวแหวนที่ไม่รู้ไปเอาความดื้อรั้นแบบนี้มาจากไหน“ท่านพ่อกำลังไล่ลูกหรือเจ้าคะ” ฝ่ายลูกสาวถามบิดาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเฟิ่งเจิงจงปวดใจกับคำตัดพ้อของธิดายิ่งนัก แต่ก็ไม่ยอ
อ๋องใหญ่เกาหรงซานกระตุกยิ้มมุมปากแทบจะมองไม่เห็น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอันสับสนวิ่งแว่วมาแต่ไกล ซึ่งถ้าไม่ใช่คนที่ฝึกวิทยายุทธ์ และมีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งจะก็ไม่รู้สึกได้เร็วแบบเขารับรู้ถึงกลิ่นกายหอมกรุ่นที่คุ้นจมูกใกล้เข้ามาเต็มที จึงลุกขึ้นยืนรอท่าเฟิ่งต้าชวี่หยุดนิ่งที่ด้านหน้าของบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนาง จ้องเขาตาไม่กะพริบ“เจ้าคงดีใจที่ได้เห็นหน้าข้า” แม้แต่กระเซ้านางเล่นหน้าตาก็ยังดุดันไม่แสดงอารมณ์“ใช่ ข้าดีใจมาก” พูดจบนางก็รัวกำปั้นใส่แผ่นอกหนากว้างของเขาไม่ยั้ง ดับอารมณ์โกรธแค้นที่เขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วย แต่ทั้งหมดก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุแม่ทัพผู้เกรียงไกรปล่อยให้นางที่อยู่ในดวงใจตลอดหลายสิบวันลงมือทำร้ายจนเรี่ยวแรงของกำปั้นน้อยๆ นั้นเริ่มแผ่วลง เขายอมนางเพราะคิดว่านางโกรธแค้นที่ไม่เคยเอาใจใส่มาตลอดสองปีกว่าที่ได้แต่งงานกัน หลังจากนั้นจึงรวบร่างระหงเอาไว้กับอก อยากจะฝังปลายจมูกลงไปที่ไหล่กลมกลึงกับไหปลาร้างามได้รูป แต่ก็ต้องยั้งใจเอาไว้“เจ้าโกรธข้าหรือ”“ข้าเกลีย
เรือนร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งสะดุดตาหายลงไปในน้ำอีกครั้งเหลือเพียงแต่ศีรษะ คำพูดเงียบไปชั่วเวลาครึ่งเค่อ มีแต่เสียงหายใจของเจ้านายกับบ่าวเท่านั้น ตลอดระยะเวลานั้นต้าชวี่คิดทบทวนคำพูดของสาวใช้คู่ใจอย่างรอบคอบ และสรุปกับตัวเองว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดนางจะยอมรับชะตากรรมทุกอย่างแต่โดยดี แต่นางจะไม่ยอมยกโทษให้เขาคนนั้นง่ายๆ เหมือนที่ใครอีกคนเคยเป็น ถ้าต้องกลับไปอยู่ด้วยกันจริงๆ นางจะสั่งสอนให้เขารู้ว่านางไม่ใช่ของตาย นางก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเหมือนที่เขามีต้าชวี่ลุกขึ้นแล้วยื่นแขนให้หลี่ประคองออกจากอ่างอาบน้ำ จากนั้นกางแขนให้นางช่วยซับตัวจนแห้ง แล้วจึงสวมเสื้อคลุมเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ลงมือประทินโฉมให้ตัวเอง เพราะไม่ชอบการแต่งหน้าที่เหมือนงิ้วของสาวใช้“เจ้าทำอะไรของเจ้า” ผู้เป็นนายถามสาวใช้ที่เริ่มเกล้าผมขึ้นกลางศีรษะ“วันนี้คุณหนูจะมวยผมง่ายๆ เหมือนเดิมไม่ได้นะ คุณหนูต้องมวยผมแบบสตรีที่ออกเรือนแล้วเจ้าค่ะ”“พอเลย เจ้าไม่ต้องทำให้ข้าแล้ว ข้าจะทำของข้าเอง” พูดจบนางก็แย่งหวีจากมือสาวใช้ ใช้มือสางผมให้สยายแล้วค่อยเ
ถึงแม้ภายนอกจะดูเป็นคนแข็งกระด้าง แววตาไม่เคยสื่อความรู้สึกใดๆ สามารถฆ่าคนได้ในพริบตา แต่จิตใจข้างในนั้นมีแต่ความห่วงใยและความจงรักภักดี ยอมพลีชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด ไม่ยอมอยู่อย่างสุขสบายเช่นองค์ชายองค์อื่นๆ เป็นพี่ชายที่ไม่เคยมีความอิจฉาริษยามีแต่ความรักและเอาใจใส่ให้พระองค์มาตลอด พระองค์จึงรักและเคารพในตัวพี่ชายคนนี้มาก“เข้าใจก็ควรรีบปราม อย่าปล่อยให้นางหลงระเริงจนลืมตัวมากไปกว่านี้”“ข้าจะบอกกับพี่สาวของนางให้ตักเตือน เช่นนี้พี่ใหญ่พอใจหรือยัง”“พี่กับน้องก็ไม่ต่างกันหรอก” เกาหรงซานตำหนิผู้เป็นพระมเหสีต่อหน้าพระสวามีของนาง“เรื่องนั้นข้าก็รู้พี่ใหญ่ แต่นางคงไม่กล้าให้ท้ายน้องสาวของนางจนออกนอกหน้าหรอกพี่ใหญ่ อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องของตำหนักฝ่ายใน ข้าไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายมากนัก” โอรสสวรรค์บอกเหตุผลแก่พี่ชาย เพราะกลัวเขาจะคิดว่าพระองค์ไม่ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น“ข้าเตือนเพราะกลัวพระองค์จะลืมว่าพวกนางเป็นพี่น้องกัน แต่ในเมื่อพระองค์มั่นใจว่าพระมเหสีจะจัดการอย่างเป็นธรรมข้าก็พอใจ ข้าจะกลับล
“ทำไมพี่สะใภ้ถึงดุนักล่ะพี่ใหญ่” องค์หญิงสามที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์ด้วยความบังเอิญ กระซิบถามบุรุษที่อำพรางกายเพื่อชมเหตุการณ์อยู่หลังพุ่มไม้“นางไม่ได้ดุหรอก นางแค่ปกป้องเกียรติของนางเท่านั้น เจ้าก็เห็นอย่างที่ข้าเห็นมิใช่หรือ” เขาตั้งใจมาดักพบนางตรงนี้ เพราะรู้ว่าเส้นทางนี้คือเส้นทางหลัก ที่ทุกคนต้องไปยังที่จอดรถม้าก่อนออกจากกำแพงวังหลวงแต่ขณะที่นางกำลังจะเดินมาถึงทางแยกแห่งนี้ หมินหมิ่นก็ตามมาหาเรื่องนางเสียก่อน ตอนที่เห็นนางถูกตบเขาแทบจะออกไปฆ่าหญิงสาวคนนั้นด้วยมือของตนเอง แต่เมื่อเห็นนางสวนกลับไปทันควันอย่างไม่น้อยหน้า เขาจึงหักห้ามใจเอาไว้ แล้วน้องสาวคนนี้ก็เดินเข้ามาสะกิดถามว่าทำอะไรอยู่ตรงนี้ เขาจึงบอกให้นางเงียบๆ และชวนให้ดูด้วยกัน“ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าหมินหมิ่นจะร้ายได้ขนาดนี้ ที่แท้นางแสร้งทำเป็นอ่อนโยนหรือเพราะว่านางโมโหกันแน่พี่ใหญ่”“เจ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกันเจ้าดูไม่ออกหรือ” นางก็เหมือนกับพี่สาวของนางนั่นแหละ ต่อหน้าพระสวามีผู้เป็นโอรสสวรรค์ก็แสร้งทำเป็นจิตใจงดงามอ่อนโยนต่อพระสนมองค์อื่น แต่พอล
หลี่รีบวิ่งไปหาคุณหนูของตนพร้อมรอยยิ้มกว้าง เมื่อเห็นนางเดินลงมาจากศาลาวิหคเหิน“งานเลี้ยงสนุกไหมเจ้าคะ.. คุณหนูได้กำไลเป็นรางวัลหรือเจ้าคะ” คำถามของนางเปลี่ยนไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อมองเห็นกำไลหยกขาวที่ข้อมือซ้ายของเจ้านาย“อือ” ตอบสั้นๆ แล้วดึงสาวใช้ไปยังมุมหนึ่งของสวนหย่อม “เจ้าจำแม่ทัพใหญ่เกาหรงซานได้หรือไม่”ใบหน้าที่คลี่ยิ้มสดใสเปลี่ยนเป็นตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะพยายามคลี่ยิ้มกลบเกลื่อน“ทำไมหรือเจ้าคะ”“เขาแต่งงานแล้วหรือยัง”“แต่ง.. แต่งแล้วๆ เจ้าค่ะ คุณหนูรู้อะไรมาหรือเจ้าคะ” หรือว่านางจำได้แล้วว่าชื่อเกาหรงซานที่คุ้นหูนักคุ้นหูหนานั้นชื่อเหมือนสามีของตัวเอง และเขาคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือสามีของนาง“แล้วฮูหยินของเขามาร่วมงานวันนี้ด้วยหรือไม่”“ไม่.. ไม่นี่เจ้าคะ ข้าไม่เห็นนางเลย เรารีบกลับจวนกันเถอะเจ้าค่ะ หิมะเริ่มตกแล้ว เสื้อคลุมก็ไม่ได้หยิบลงมาจากรถม้า เดี๋ยวคุณหนูจะไม่สบายเอานะเจ้าคะ” หลี่รีบบอกปัดเพื่อไม่ให้นางสนใจคนผู้นั้นมากไปกว่านี้ ไม่ได้รู้เลยว่าคนผู้นั้นทำให้คุณหนูของนางใจเต้นไม่เป็นจังหวะไปหลายรอบแล้วตอนที่อยู่บนศาลาวิหคเหินจิตใจของต้าชวี่เหี่ยวเฉาลงไปเล็กน