“หนูไปแล้วจ้ะ ที่บ้าน ที่วัด หนูไปมาหมดแล้ว เห็นแต่วิญญาณคนอื่น แต่ไม่เห็นพ่อหนูเลยค่ะคุณตา หนูก็เลยกลับมาหาที่นี่อีกครั้ง โอ๊ย.. โอ๊ยยย.. โอ๊ยยย..ยย ร้อนจังเลย โอ๊ยร้อน” พูดยังไม่ทันจบเธอก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั่วทั้งร่าง ล้มลงนอนกลิ้งบิดไปบิดมาด้วยความทรมาน “คุณตาช่วยหนูด้วย ทำไมหนูถึงร้อนเหมือนถูกใครเอาไฟมาเผาแบบนี้ โอ๊ยยย..ยย...ยย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที ร้อนเหลือเกิน ฮือๆๆ ฮือๆๆ..” บิดตัวไปมาด้วยความทรมานเหลือแสน ขณะที่ปากร้องขอความช่วยเหลือจากคุณตาชุดขาว
“ตาไม่รู้จะช่วยหนูยังไงเหมือนกัน ตาขอโทษนะ” คุณตาเจ้าของที่หายวับไปกับตา เมื่อรับรู้ถึงอำนาจแห่งความดุดันกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“ในที่สุดก็จับได้แล้ว” ยมทูตปาณะเอ่ยเสียงดุดันแล้วใช้บ่วงจับวิญญาณแตะไปที่แขนของดวงวิญญาณสาว กลายเป็นเชือกไฟสีแดงรัดข้อมือกลมกลึงนั้นไว้ทันที
อาการทรมานจากการปวดแสบปวดร้อนดั่งถูกไฟแผดเผา หายเป็นปลิดทิ้งทันทีที่แขนของรนิดาถูกเชือกไฟจากชายรูปร่างสูงใหญ่น่ากลัว ดวงตาเรียวโตมองจ้องที่เชือกรัดข้อมือ ซึ่งมองแบบนี้เหมือนเหล็กเส้นที่หลอมไฟจนแดงฉาน แต่มันกลับไม่มีความร้อนแม้สักนิด
“ท่านเป็นคนทำเหรอ” เธอหมายถึงทำให้เธอร้อนแทบตายเมื่อสักครู่
“เราไม่ได้ทำ เป็นเจ้าต่างหากที่ทำตัวเอง” ส่วนเราก็อาจต้องกลับไปรับโทษเพราะเจ้าเป็นคนทำ เขามองเธออย่างไม่พอใจแล้วรีบพากลับไปที่นรกภูมิด้วยวิธีลัดเป็นกรณีพิเศษ หวังอย่างยิ่งว่าร่างของเธอจะยังไม่กลายเป็นเถ้าธุลี
รนิดามองบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ผิวพรรณดำทะมึนที่ไม่เคยเจอในโลกมนุษย์ ก่อนจะมองไปบนบัลลังก์สีดำรูปร่างแปลกตาที่มีคนตัวแดงหน้าตาโหดยิ่งกว่าคนตัวดำนั่งอยู่“ชุ่ย!” ถึงแม้จะกลัวแต่ความโมโหก็ครอบงำจิตใจเธอไว้หมดแล้ว คำแรกที่เธอตะโกนใส่พวกเขาหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจบจึงเป็นคำตำหนิ “พวกท่านทำงานกันแบบนี้เหรอ ฉันหลงเข้าใจผิดมาตั้งนานว่ามีแต่ในโลกมนุษย์ ที่แท้ในนรกก็ชุ่ยไม่แพ้โลกมนุษย์เลยสักนิด”
“ใจเย็นๆ วิญญาณรนิดา เรารู้ว่าเราผิด” พญามัจจุราชอยากจะยกมือขึ้นอุดหูแต่ก็กลัวขายหน้า จึงได้แต่นั่งหน้าเชิดหลังแข็งอยู่บนบัลลังก์ “เราจะให้ยมทูตปาณะส่งเจ้ากลับไปใหม่เพื่อเป็นการลบล้างความผิด เจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ”
“กลับไปยังไงคะท่านมัจผู้สูงส่ง” ถามแดกดันท่านพญามัจจุราชหรือท่านยมราชของลูกสมุน ด้วยการเรียกชื่อสั้นๆ อย่างโมโหพร้อมกับยื่นกระดาษเนื้อหยาบๆ แปลกๆ แผ่นนั้นไปข้างหน้า “ร่างของฉันถูกเผาไปแล้ว วิธีที่จะกลับไปได้คือเกิดใหม่ หรือไปสิงร่างของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เพิ่งตายไปไม่ถึงสามชั่วโมงในโลกมนุษย์ วิธีลบล้างความผิดของท่านมีแค่นี้เหรอคะ”
“แล้วเจ้าจะให้เราทำอย่างไรล่ะวิญญาณรนิดา”
“ฉันไม่ยอมถ้าฉันไม่ได้ฟื้นในร่างเดิมของฉัน ท่านต้องหาวิธีมา”
“ร่างเดิมของเจ้ากลายเป็นเถ้าถ่านเหมือนพ่อเจ้าไปแล้ว เราส่งเจ้ากลับไปที่ร่างเดิมไม่ได้จริงๆ”
ได้ยินพญามัจจุราชเอ่ยถึงบิดาขึ้นมารนิดาก็นึกบางอย่างขึ้นได้
“ฉันไม่กลับไปร่างเดิมก็ได้ แต่ท่านต้องยอมให้พ่อฉันกลับไปพร้อมกับฉันด้วย ไม่งั้นฉันไม่ยอม”
ท่านพญามัจจุราชยกมือคลึงขมับ สักพักจึงสบสายตากับดวงวิญญาณสาว
“พ่อของเจ้าถึงฆาตแล้ว เขากลับไปกับเจ้าไม่ได้หรอก มันผิดกฎนรกภูมิ”
“ถ้าฉันไม่ได้กลับไปกับพ่อ ฉันก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะยืนประจานความชุ่ยของท่านอยู่แบบนี้แหละ”
“โธ่เอ๋ย..” ตั้งแต่รับตำแหน่งพญามัจจุราช ณ นรกภูมิแห่งนี้ ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขายังไม่เคยเจอดวงวิญญาณดวงไหนกล้าขู่เขาอย่างไม่เกรงกลัวแบบนี้เลยสักดวง ถึงแม้เขาจะเป็นฝ่ายผิดก็มีแต่ดีใจจนน้ำตาไหลพราก ที่ได้รับโอกาสให้กลับไปเกิดใหม่กันทั้งนั้น
“กระผมมีข้อเสนอครับท่านยมราช” ยมบาลเมฆาใช้กระแสจิตคุยกับนายใหญ่ของตน เพื่อหลีกเลี่ยงให้ดวงวิญญาณรนิดาได้ยิน
“ข้อเสนออะไรรึยมบาลเมฆา” พญามัจจุราชตอบโต้ด้วยกระแสจิตที่มีเพียงพวกตนได้ยิน
“ทำไมเราไม่ส่งวิญญาณรนิดาไปยังภพภูมิอื่น เพื่อให้นางได้อยู่กับบิดาของนางแทนเล่าขอรับ”
“เจ้าหมายถึงย้อนไปยังภพภูมิในอดีตชาติรึ”
“ขอรับ ในเมื่อนางกล้าเรียกร้องเราก็ต้องกำราบซะให้เข็ด ลองยื่นข้อเสนอให้นางดูสิขอรับ กระผมคิดว่าสุดท้ายนางต้องยอมลงชื่อในกระดาษกลับไปในโลกปัจจุบันของนางแน่ขอรับ” ยมบาลเมฆามั่นใจว่าวิญญาณดวงนี้ไม่กล้าย้อนภพไปยังอดีตชาติแน่นอน
“แล้วท่านค้นพบภพใดที่เหมาะจะให้นางไปบ้างล่ะยมบาลเมฆา” พญามัจจุราชเห็นด้วยกับการแก้เผ็ดดวงวิญญาณจอมเรียกร้อง “แต่ก่อนอื่นช่วยตรวจดูกรรมดีกรรมชั่วของนางก่อนนะ แล้วค่อยเลือกภพชาติที่เหมาะสมให้กับนาง อย่าคิดแต่เรื่องกำราบนาง” ท่านเตือน
“ขอรับท่านยมราช” เป็นยมบาลมัจฉาที่ตอบรับคำพูดประโยคสุดท้ายของพญามัจจุราช... “กรรมดีของนางเยอะมากขอรับท่านยมราช นางควรไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี”
ข้อมูลกรรมดีกรรมชั่วของวิญญาณสาว ถูกส่งผ่านทางกระแสจิตไปให้ยมบาลเมฆาอย่างรวดเร็ว ไม่นานสถานที่สามแห่งที่ถูกเลือกขึ้นมาก็ถูกส่งต่อไปยังผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
“ครอบครัวของเฟิ่งเจิงจง อาจารย์ของฮ่องเต้ฉางลั่วในราชวงศ์หมิงเหมาะสมกับนางมากที่สุดขอรับ เพราะเฟิ่งต้าชวี่ซึ่งเป็นบุตรสาวของเจิงจงดวงกำลังจะมรณะขอรับ ถ้านางกลับไปเกิดในภพนี้ นางได้จะอยู่กับบิดาของนางอีกสิบสองปีก่อนที่บิดาของนางจะถึงฆาต ส่วนนางจะได้ไปอยู่ในร่างของหญิงสาววัยสิบเก้าปี และจะมีอายุยืนยาวถึงเจ็ดสิบสี่ปีตามฆาตของนางแต่เดิมขอรับ”
บทส่งท้าย (ตอนที่ 2)ตอนนั้นนายหญิงของนางแทบจะพลิกแคว้นหม่าตามหาลูกเหมือนคนบ้า หาในแคว้นหม่าไม่เจอก็ยังกลับไปที่เมืองหลวงของต้าหมิง เพื่อไปถามเกาอ๋องและชายาของเขาว่ารู้เห็นกับเรื่องนี้หรือไม่คุกเข่าขอความเมตตาขอลูกคืนจากเขา ขอโทษสำหรับเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดที่เคยทำไว้กับครอบครัวเขา เพราะคิดว่าพวกเขาขโมยลูกของนางไป แต่สุดท้ายฝ่ายนั้นก็ยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีส่วนรู้เห็นใด ๆ ตั้งแต่วันที่นางหนีออกไปจากจวน ถ้าไม่เชื่อก็ให้คนค้นจวนได้เลยด้วยความเป็นห่วงลูกน้อย นางจึงทำตามที่เกาอ๋องบอกอย่างไม่กริ่งเกรงใจ ค้นหาทั่วทุกซอกทุกมุมอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่เจอ นางจึงคว้าน้ำเหลวกลับมาอีกครั้งกลับมาจากเมืองหลวงนางก็เอาแต่เศร้าโศกเสียใจอยู่เป็นปี แต่ก็ยังส่งคนคอยตามสืบตามหาคุณหนูอันอันจนทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิก ด้วยหวังว่าจะได้เจอนางในสักวันความเศร้าโศกเสียใจของนางในครั้งนั้นเดือดร้อนถึงฮ่องเต้และฮองเฮาของแคว้นหม่า ต้องเรียกนางเข้าไปพบและพูดคุยให้สติ เยียวยาจิตใจนางด้วยคำพูดและความหวังจากนั้นนา
บทส่งท้าย (ตอนที่1)สิบสองปีผ่านไป“ซินเอ๋อร์”“เจ้าค่ะท่านพ่อ” สาวน้อยวัยสิบสองขานรับคำเรียกบิดาแล้วรีบวิ่งออกจากกระท่อม “โอ้ว! น่ารักจังเลยท่านพ่อ” บอกบิดาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี รีบเอาลูกสุนัขที่ท่านอุ้มไว้มาอุ้มแทน “มันชื่ออะไรหรือเจ้าคะ”“พ่อหามาให้เป็นของขวัญวันเกิดแก่ลูก ลูกตั้งชื่อตามใจลูกได้เลย”“เช่นนั้นลูกขอตั้งชื่อมันว่าซิงน้อยได้หรือไม่เจ้าคะ ลูกอยากให้มันเป็นน้องชายของลูกมากกว่าสัตว์เลี้ยงเจ้าค่ะ”“แต่พ่อไม่ค่อยชอบชื่อนี้เลย” อาซิงหรือในอดีตที่มีชื่อว่าตงไห่ทำท่าไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว “เพราะมันบังอาจชื่อเหมือนลูกสาวคนเดียวของพ่อ”“เช่นนั้นลูกเปลี่ยนเพื่อท่านพ่อก็ได้” เด็กน้อยยอมเปลี่ยนใจง่ายดายเพื่อท่านพ่อของนาง“เจ้าไม่เสียใจหรือลูกซิน”“ไม่เลยเจ้าค่ะ ลูกเป็นลูกของท่านพ่อ สิ่งไหนที่ทำให้
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้านะ เอาไว้ข้าจะให้ป้าเซียวทำอาหารแห้งมาฝากเจ้าด้วยก็แล้วกัน”“ขอบคุณลุงเซียวมาก ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก”“มีเด็กก็ต้องมียาติดบ้านไว้บ้างนะ บ้านข้าก็มีลูกอ่อนเหมือนเจ้า เดี๋ยวข้าจะให้เมียข้าฝากป้าเซียวมาให้นะ”“ขอบคุณพี่ชายมาก” ตงไห่กล่าวอย่างซาบซึ้งน้ำใจ แต่ความจริงเขาก็มียาหลายเทียบติดตัวมาแล้ว“พวกข้าไปก่อนนะอาซิง มีอะไรก็ไปบอกพวกเราได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ”ตงไห่พยักหน้ารับ ยืนส่งจนพวกเขาเดินจากไปไกลจึงเดินเข้าไปในกระท่อมเขาเดินไปที่เปลที่มีทารกเพศหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มนอนหลับสบายอุรา ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนใด ๆ“ลูกเอ๋ย พ่ออยากฆ่าแม่ของเจ้านัก แต่เห็นแก่ความดีที่นางยอมคลอดเจ้าออกมา พ่อจึงไว้ชีวิตนาง ให้นางได้อาศัยอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความทุกข์ไปตลอดชีวิตแทน ส่วนเจ้า..พ่อขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องกำพร้าแม่ ต่อจากนี้ไปเราสองคนจะเป็นคนใหม่ พ่อไม่ใช่ตงไห่แต่เป็นอาซิง ส่วนเจ้าไม่ใช่ลูกหลานตระกูลฉง
ฉงเถียนค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก แข้งขาแทบไม่มีแรงแต่ก็ยังฝืนประคองตัวเอาไว้ แล้วเดินโซซัดโซเซออกไปจากห้องตามหลังเสี่ยวผิงยืนมองสาวใช้ที่กำลังไล่ถามทุกคนในร้านด้วยความร้อนใจ แต่ทุกคนต่างก็ส่ายหน้าให้นาง“ทุกคนฟังทางนี้” นางรวบรวมเรี่ยวแรงแล้วตะเบ็งเสียงออกไปอย่างดังที่สุดเท่าที่ทำได้ เห็นทุกสายตามองมาก็พอใจยิ่ง “เมื่อคืนนี้ลูกสาวที่เพิ่งเกิดของข้าหายไปจากห้อง ถ้าใครสามารถชี้เบาะแสแก่ข้าได้ ข้าจะมอบบ้านและเงินให้เป็นรางวัล” พูดพร้อมกับชูตราประจำตระกูลขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนเชื่อมั่นเสียงของคนในโรงเตี๊ยมดังระเบ็งเซ็งแซ่แทบจะทันทีเมื่อได้ยินและได้เห็นป้ายที่หญิงสาวถือไว้“ท่านคือธิดาของแม่ทัพฉงเหรอ” ชาวบ้านผู้หนึ่งตะโกนถามสตรีที่ยืนอยู่ชั้นบนของโรงเตี๊ยม“ใช่ ข้ามีนามว่าฉงเถียน เป็นธิดาเพียงคนเดียวของฉงเฉิน แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นนี้ ถ้าใครให้เบาะแสแก่ข้าได้ ท่านสามารถเลือกเอาได้เลยว่าอยากมีบ้านอยู่ในเมืองไหน ข้าจะเนรมิตให้ท่านทันที&rdquo
น้ำตาสาวใช้เอ่อล้นตา ต่อให้อีกฝ่ายใช้คำพูดสวยหรูเพียงใด นางก็ไม่สบายใจเลยสักนิด แต่ก็ยอมพยักหน้ารับคำขอ“ได้เจ้าค่ะ บ่าวสัญญาว่าจะเลี้ยงดูคุณหนูอย่างดีที่สุด”“ขอบใจมากนะเสี่ยวผิง” ฉงเถียนยิ้มกว้างด้วยความสบายใจ มองสาวใช้ด้วยความซาบซึ้ง ‘ข้าจะไม่ให้เจ้ากับลูกของข้าต้องอยู่อย่างลำบากหรอก ข้าจะต้องพาพวกเจ้ากลับถึงจวนของบิดาข้าให้ได้ ข้าถึงจะยอมตาย’ คิดในใจโดยไม่พูดออกไปเมื่อทำสำเร็จอย่างที่ตั้งใจแล้ว ต่อให้ตงไห่หรือคนของเกาอ๋องตามมาเอาชีวิต นางก็ยินดีก้มรับชะตากรรม“ท่านหญิง บ่าวขอถามได้หรือไม่ เหตุใดท่านจึงต้องแบกท้องแก่หนีมายังแคว้นหม่าด้วย ทำไมไม่คลอดลูกที่จวนเกาอ๋องเล่า ก่อนหน้านี้บ่าวเคยชวนท่านหนีท่านก็ไม่เห็นด้วย ยืนกรานว่าจะคลอดลูกที่จวนเกาอ๋องให้ได้ แต่ทำไมตอนหลังถึงเปลี่ยนใจง่ายดาย”“.....” ถึงแม้จะคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องถูกถาม แต่มันก็ยากที่ต้องตอบความจริงออกไป ฉงเถียนจึงได้แต่นิ่งเงียบเหมือนคนเป็นใบ้ไปชั่วขณะ
“หยุดพูดเรื่องนี้กันเถิดเจ้าค่ะ บ่าวยอมพาท่านเสี่ยงชีวิตข้ามแดนมาคลอดลูกที่แคว้นของเราแล้ว ต่อไปนี้ก็เชื่อฟังบ่าวบ้างเถิดนะเจ้าคะ” เมื่ออยู่ในแคว้นบ้านเกิดแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องพูดจาปกปิดฐานะเพราะกลัวใครจะจับได้อีก“แต่ข้ายังไม่สบายใจจนกว่าจะกลับถึงบ้านของข้า”“ท่านหญิงกำลังกลัวอะไรกันแน่ บอกให้บ่าวเข้าใจหน่อยเถิด” เสี่ยวผิงเริ่มสงสัย“เปล่าหรอก ข้าก็แค่อยากพาลูกกลับบ้าน จะได้มีแม่นมช่วยดูแลนางเร็ว ๆ ก็เท่านั้น” ฉงเถียนสร้างเรื่องโกหก“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าได้ใช้พิราบสื่อสารส่งข่าวไปทางบ้านแล้ว อีกไม่เกินสามถึงสี่วัน คนของเราน่าจะมาถึงที่นี่ ก็น่าจะเป็นเวลาที่ท่านรักษาตัวจนแข็งแรงพอที่จะเดินทางได้พอดี และข้ายังได้บอกให้พวกเขาพาแม่นมมาด้วย”“..เจ้าช่างรอบคอบนัก ขอบใจนะเสี่ยวผิง” เจอความรอบคอบของสาวใช้ นางก็จนปัญญาจะแต่งเรื่องมาโกหก จึงได้แต่ดื่มยาในถ้วยจนหมด“อมบ๊วยแก้ขมสักหน่อยนะเจ้าค