ในฐานะหมอเธอเข้าใจความหมายของคำพูดท่านดีว่าไม่ได้หมายถึงพี่สาวจะปลอดภัย แต่ท่านจะช่วยดูแลจนสุดความสามารถต่างหาก
“วันนี้เธอพาครอบครัวกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ปล่อยเรื่องทางนี้ให้เป็นหน้าที่ของหมอดีกว่า เชื่อใจหมอนะครับคุณพ่อ คุณพ่อกลับไปพักผ่อนก่อนนะครับ”
“พ่อไม่กลับ พ่อจะอยู่เฝ้าหงส์จนกว่าเขาจะฟื้น”
“กลับบ้านกันเถอะเฮีย พรุ่งนี้เราค่อยมาเยี่ยมลูกกันใหม่นะ” เมตตาบอกกับสามีด้วยเสียงสั่นเครือ เจ็บปวดใจที่ลูกสาวอยู่ในอาการโคม่าไม่พอ ยังต้องมาเจ็บปวดใจกับอาการหัวใจสลายของสามีอีกคน
“แล้วถ้าลูกฟื้นขึ้นมาคืนนี้ล่ะ ลูกอาจจะกลัวที่ไม่เห็นใครอยู่เป็นเพื่อนนะตา”
“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนหงส์เองครับเตี่ย” ธนายุทธรับอาสาเพื่อให้บิดาของคนรักกลับบ้านไปพักผ่อน
“เตี่ยกลับไปพักผ่อนเถอะจ้ะ คืนนี้นกจะอยู่กับติ๊กเอง ถ้าพี่หงส์ฟื้นนกจะรีบโทรไปบอกเตี่ยทันทีเลยดีไหมจ๊ะ” อารียาถือโอกาสอยู่เฝ้าพี่สาวด้วยอีกคน เพราะมีเรื่องข้องใจที่ต้องการคุยกับธนายุทธให้ได้
“กลับเถอะเตี่ย ถ้าเตี่ยไม่กลับแม่ก็คงไม่กลับเหมือนกัน” ลูกชายคนโตที่เป็นห่วงน้องสาวไม่ต่างจากบุพการีทั้งสองเอ่ยขึ้น “เราอยู่ก็ช่วยอะไรคุณหมอเขาไม่ได้หรอก พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะเตี่ยนะ”
ลูกๆ ทุกคนต่างช่วยกันเกลี้ยกล่อมบิดาคนละประโยคสองประโยคจนเป็นผลสำเร็จ และเดินทางกลับไปพร้อมกันยกเว้นอารียา
เมื่อทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว อารียาจึงชวนคนรักของพี่สาวออกไปที่สวนหย่อมของโรงพยาบาล เธอมองเขาด้วยสายตาคลางแคลงใจอย่างเปิดเผย
“ตอนนี้ทุกคนไม่อยู่แล้ว บอกฉันมาตรงๆ ดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนายกับพี่หงส์ก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น”
“ฉันไม่เข้าใจคำถามของเธอ”
“อย่ามาไขสือนะติ๊ก ฉันเคยเห็นกับตาว่านายนอกใจพี่สาวฉัน”
“เธอเป็นคนบอกหงส์เหรอ”
“ใช่ฉันบอกพี่หงส์เอง ทำไม ฉันบอกพี่หงส์ไม่ได้เหรอ”
“เธอบอกเขาทำไม แล้วมันมีอะไรดีขึ้นมาไหม หรือว่าเธอพอใจที่เห็นพี่สาวเธอเป็นแบบนี้” เขาระเบิดอารมณ์ใส่เพื่อนเรียนร่วมรุ่นอย่างเดือดดาล “ถ้าเธอไม่บอกหงส์เขาก็คงไม่สะกดรอยตามฉัน และมันคงไม่กลายเป็นแบบนี้”
ฉาด!
“นายยังมีหน้ามาโทษฉันอีกเหรอติ๊ก ถ้านายไม่นอกใจพี่หงส์ เรื่องพวกนี้มันจะเกิดขึ้นไหม” เธอตบเขาสุดแรงแล้วต่อว่าด้วยความโมโห “ที่ฉันถามนายก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะโทษนายที่พี่หงส์ต้องกลายเป็นแบบนี้ ฉันแค่อยากรู้ว่านายทะเลาะกับพี่สาวฉันหรือเปล่าเท่านั้น ทะเลาะอะไรกันทำไมพี่หงส์ถึงได้นั่งมอเตอร์ไซค์วินแทนที่จะขับรถของตัวเอง ฉันถามนายไม่ได้เหรอติ๊ก”
“เราไม่ได้ทะเลาะกัน หงส์เขามาหาฉันพอจะกลับรถก็สตาร์ทไม่ติด ฉันจะไปส่งเขาก็ไม่ให้ไปส่ง บอกว่าจะกลับเอง แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ” ธนายุทธไม่กล้าบอกความจริง เพราะกลัวจะถูกกีดกันจากครอบครัวของคนรัก
แต่อารียาไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่าย เพราะเธอได้โทรคุยเรื่องนี้กับพี่สาวทุกวัน และรู้ความเคลื่อนไหวของเขามากพอในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
“ฉันไม่เชื่อคำพูดของนาย แต่ฉันก็ไม่คาดคั้นเอาความจริงจากนายเหมือนกัน พี่หงส์เป็นคนจำฝังใจ ถ้านายรู้ตัวว่าทำผิดต่อเขาก็อย่ามาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเขาเลยนะ บางทีที่พี่หงส์เขาไม่ยอมฟื้นขึ้นมาอาจเป็นเพราะว่าเขาไม่อยากเจอหน้านายก็ได้” พูดจบเธอก็เดินจากไปทันที
ธนายุทธทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนอย่างอ่อนแรง แผ่นหลังที่เคยยืดตรงงองุ้มลงไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก แล้วปล่อยให้น้ำตาแห่งความเสียใจร่วงรินออกมาเงียบๆ คนเดียว
“หมดเวลาเยี่ยมแล้วค่ะคุณพ่อ”
“ครับคุณพยาบาล” ไช่ถินตอบรับคำพูดของพยาบาลเบาๆ ยกมือไหว้พระพุทธรูปที่เอามาตั้งไว้ตรงข้างเตียงของลูกสาว ‘ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองลูกสาวของผมด้วยนะครับ’ แล้วกระซิบบอกที่ข้างหูของเธอเบาๆ ว่า “หงส์พ่อมารอรับลูกกลับบ้านทุกวันเลยนะ ลูกรีบตื่นมานะลูก” แล้วค่อยเดินออกไป
“สวัสดีคุณพ่อ” อาจารย์หมอกล่าวทักทายคุณพ่อของลูกศิษย์เมื่อเจอกันที่หน้าห้องไอซียู
“คุณหมอครับลูกสาวของผมดีขึ้นบ้างไหมครับ” สามวันแล้วที่ไช่ถินตั้งคำถามเดิมๆ กับอาจารย์หมอที่เป็นเจ้าของไข้
“หมอบอกคุณพ่อแล้วนะว่าให้ทำใจ” อาจารย์หมอยังย้ำคำตอบเดิมด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม
“ผมขอความหวังสักหนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ยังดีครับคุณหมอ”
“ตอนนี้ยังไม่มีอาการที่ส่อแววไปในทางที่ดีขึ้นนะคุณพ่อ” เขาเก็บคำพูดที่อยากจะบอกว่าคนเจ็บอาการทรุดลงอีกเอาไว้ “คุณพ่อมาเฝ้าอยู่หน้าห้องไอซียูแบบนี้ทั้งวันไม่มีประโยชน์หรอก กลับไปพักผ่อนซะ เมื่อมีอาการคืบหน้าหมอจะรีบแจ้งให้ทราบทันที”
“ลูกสาวยังอยู่ในนั้นทั้งคนผมพักไม่ได้หรอกครับคุณหมอ” ถึงแม้จะมีเวลาที่ทางโรงพยาบาลกำหนดให้เข้าไปเยี่ยมได้ไม่นานนัก เขาก็พอใจที่จะปักหลักอยู่หน้าห้องไอซียูแบบนี้เป็นเพื่อนของลูกสาว
“ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อควรทานอาหารให้เป็นเวลานะ อย่าให้อารียาเขามาต่อว่าผมว่าไม่ช่วยดูแลพ่อเขาเลยนะ”
“ครับคุณหมอ”
“แต่พยาบาลบอกหมอว่า พวกเธอไม่เห็นคุณพ่อไปไหนเลยนอกจากเข้าห้องน้ำ.. อย่าห่วงแต่ลูกจนลืมดูแลตัวเองสิคุณพ่อ คุณพ่ออายุมากแล้วนะ ถ้าไม่ดูแลสุขภาพให้ดีจะทรุดได้ง่ายๆ นะ ถ้าไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงคนอื่นๆ ในครอบครัวบ้าง ทุกคนเขาเป็นห่วงคุณพ่อมากนะ” อาจารย์หมอให้สติอย่างใจเย็น
“ขอบคุณครับคุณหมอที่ให้สติผม ผมจะลงไปกินข้าวแล้วขึ้นมาใหม่นะครับ แต่ถ้าลูกสาวผมเป็นอะไรขึ้นมาก็รีบโทรเรียกผมนะครับ”
“ได้ครับ” อาจารย์หมอรับปากแล้วเดินจากไป
บทส่งท้าย (ตอนที่ 2)ตอนนั้นนายหญิงของนางแทบจะพลิกแคว้นหม่าตามหาลูกเหมือนคนบ้า หาในแคว้นหม่าไม่เจอก็ยังกลับไปที่เมืองหลวงของต้าหมิง เพื่อไปถามเกาอ๋องและชายาของเขาว่ารู้เห็นกับเรื่องนี้หรือไม่คุกเข่าขอความเมตตาขอลูกคืนจากเขา ขอโทษสำหรับเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดที่เคยทำไว้กับครอบครัวเขา เพราะคิดว่าพวกเขาขโมยลูกของนางไป แต่สุดท้ายฝ่ายนั้นก็ยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีส่วนรู้เห็นใด ๆ ตั้งแต่วันที่นางหนีออกไปจากจวน ถ้าไม่เชื่อก็ให้คนค้นจวนได้เลยด้วยความเป็นห่วงลูกน้อย นางจึงทำตามที่เกาอ๋องบอกอย่างไม่กริ่งเกรงใจ ค้นหาทั่วทุกซอกทุกมุมอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่เจอ นางจึงคว้าน้ำเหลวกลับมาอีกครั้งกลับมาจากเมืองหลวงนางก็เอาแต่เศร้าโศกเสียใจอยู่เป็นปี แต่ก็ยังส่งคนคอยตามสืบตามหาคุณหนูอันอันจนทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิก ด้วยหวังว่าจะได้เจอนางในสักวันความเศร้าโศกเสียใจของนางในครั้งนั้นเดือดร้อนถึงฮ่องเต้และฮองเฮาของแคว้นหม่า ต้องเรียกนางเข้าไปพบและพูดคุยให้สติ เยียวยาจิตใจนางด้วยคำพูดและความหวังจากนั้นนา
บทส่งท้าย (ตอนที่1)สิบสองปีผ่านไป“ซินเอ๋อร์”“เจ้าค่ะท่านพ่อ” สาวน้อยวัยสิบสองขานรับคำเรียกบิดาแล้วรีบวิ่งออกจากกระท่อม “โอ้ว! น่ารักจังเลยท่านพ่อ” บอกบิดาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี รีบเอาลูกสุนัขที่ท่านอุ้มไว้มาอุ้มแทน “มันชื่ออะไรหรือเจ้าคะ”“พ่อหามาให้เป็นของขวัญวันเกิดแก่ลูก ลูกตั้งชื่อตามใจลูกได้เลย”“เช่นนั้นลูกขอตั้งชื่อมันว่าซิงน้อยได้หรือไม่เจ้าคะ ลูกอยากให้มันเป็นน้องชายของลูกมากกว่าสัตว์เลี้ยงเจ้าค่ะ”“แต่พ่อไม่ค่อยชอบชื่อนี้เลย” อาซิงหรือในอดีตที่มีชื่อว่าตงไห่ทำท่าไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว “เพราะมันบังอาจชื่อเหมือนลูกสาวคนเดียวของพ่อ”“เช่นนั้นลูกเปลี่ยนเพื่อท่านพ่อก็ได้” เด็กน้อยยอมเปลี่ยนใจง่ายดายเพื่อท่านพ่อของนาง“เจ้าไม่เสียใจหรือลูกซิน”“ไม่เลยเจ้าค่ะ ลูกเป็นลูกของท่านพ่อ สิ่งไหนที่ทำให้
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้านะ เอาไว้ข้าจะให้ป้าเซียวทำอาหารแห้งมาฝากเจ้าด้วยก็แล้วกัน”“ขอบคุณลุงเซียวมาก ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก”“มีเด็กก็ต้องมียาติดบ้านไว้บ้างนะ บ้านข้าก็มีลูกอ่อนเหมือนเจ้า เดี๋ยวข้าจะให้เมียข้าฝากป้าเซียวมาให้นะ”“ขอบคุณพี่ชายมาก” ตงไห่กล่าวอย่างซาบซึ้งน้ำใจ แต่ความจริงเขาก็มียาหลายเทียบติดตัวมาแล้ว“พวกข้าไปก่อนนะอาซิง มีอะไรก็ไปบอกพวกเราได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ”ตงไห่พยักหน้ารับ ยืนส่งจนพวกเขาเดินจากไปไกลจึงเดินเข้าไปในกระท่อมเขาเดินไปที่เปลที่มีทารกเพศหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มนอนหลับสบายอุรา ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนใด ๆ“ลูกเอ๋ย พ่ออยากฆ่าแม่ของเจ้านัก แต่เห็นแก่ความดีที่นางยอมคลอดเจ้าออกมา พ่อจึงไว้ชีวิตนาง ให้นางได้อาศัยอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความทุกข์ไปตลอดชีวิตแทน ส่วนเจ้า..พ่อขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องกำพร้าแม่ ต่อจากนี้ไปเราสองคนจะเป็นคนใหม่ พ่อไม่ใช่ตงไห่แต่เป็นอาซิง ส่วนเจ้าไม่ใช่ลูกหลานตระกูลฉง
ฉงเถียนค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก แข้งขาแทบไม่มีแรงแต่ก็ยังฝืนประคองตัวเอาไว้ แล้วเดินโซซัดโซเซออกไปจากห้องตามหลังเสี่ยวผิงยืนมองสาวใช้ที่กำลังไล่ถามทุกคนในร้านด้วยความร้อนใจ แต่ทุกคนต่างก็ส่ายหน้าให้นาง“ทุกคนฟังทางนี้” นางรวบรวมเรี่ยวแรงแล้วตะเบ็งเสียงออกไปอย่างดังที่สุดเท่าที่ทำได้ เห็นทุกสายตามองมาก็พอใจยิ่ง “เมื่อคืนนี้ลูกสาวที่เพิ่งเกิดของข้าหายไปจากห้อง ถ้าใครสามารถชี้เบาะแสแก่ข้าได้ ข้าจะมอบบ้านและเงินให้เป็นรางวัล” พูดพร้อมกับชูตราประจำตระกูลขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนเชื่อมั่นเสียงของคนในโรงเตี๊ยมดังระเบ็งเซ็งแซ่แทบจะทันทีเมื่อได้ยินและได้เห็นป้ายที่หญิงสาวถือไว้“ท่านคือธิดาของแม่ทัพฉงเหรอ” ชาวบ้านผู้หนึ่งตะโกนถามสตรีที่ยืนอยู่ชั้นบนของโรงเตี๊ยม“ใช่ ข้ามีนามว่าฉงเถียน เป็นธิดาเพียงคนเดียวของฉงเฉิน แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นนี้ ถ้าใครให้เบาะแสแก่ข้าได้ ท่านสามารถเลือกเอาได้เลยว่าอยากมีบ้านอยู่ในเมืองไหน ข้าจะเนรมิตให้ท่านทันที&rdquo
น้ำตาสาวใช้เอ่อล้นตา ต่อให้อีกฝ่ายใช้คำพูดสวยหรูเพียงใด นางก็ไม่สบายใจเลยสักนิด แต่ก็ยอมพยักหน้ารับคำขอ“ได้เจ้าค่ะ บ่าวสัญญาว่าจะเลี้ยงดูคุณหนูอย่างดีที่สุด”“ขอบใจมากนะเสี่ยวผิง” ฉงเถียนยิ้มกว้างด้วยความสบายใจ มองสาวใช้ด้วยความซาบซึ้ง ‘ข้าจะไม่ให้เจ้ากับลูกของข้าต้องอยู่อย่างลำบากหรอก ข้าจะต้องพาพวกเจ้ากลับถึงจวนของบิดาข้าให้ได้ ข้าถึงจะยอมตาย’ คิดในใจโดยไม่พูดออกไปเมื่อทำสำเร็จอย่างที่ตั้งใจแล้ว ต่อให้ตงไห่หรือคนของเกาอ๋องตามมาเอาชีวิต นางก็ยินดีก้มรับชะตากรรม“ท่านหญิง บ่าวขอถามได้หรือไม่ เหตุใดท่านจึงต้องแบกท้องแก่หนีมายังแคว้นหม่าด้วย ทำไมไม่คลอดลูกที่จวนเกาอ๋องเล่า ก่อนหน้านี้บ่าวเคยชวนท่านหนีท่านก็ไม่เห็นด้วย ยืนกรานว่าจะคลอดลูกที่จวนเกาอ๋องให้ได้ แต่ทำไมตอนหลังถึงเปลี่ยนใจง่ายดาย”“.....” ถึงแม้จะคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องถูกถาม แต่มันก็ยากที่ต้องตอบความจริงออกไป ฉงเถียนจึงได้แต่นิ่งเงียบเหมือนคนเป็นใบ้ไปชั่วขณะ
“หยุดพูดเรื่องนี้กันเถิดเจ้าค่ะ บ่าวยอมพาท่านเสี่ยงชีวิตข้ามแดนมาคลอดลูกที่แคว้นของเราแล้ว ต่อไปนี้ก็เชื่อฟังบ่าวบ้างเถิดนะเจ้าคะ” เมื่ออยู่ในแคว้นบ้านเกิดแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องพูดจาปกปิดฐานะเพราะกลัวใครจะจับได้อีก“แต่ข้ายังไม่สบายใจจนกว่าจะกลับถึงบ้านของข้า”“ท่านหญิงกำลังกลัวอะไรกันแน่ บอกให้บ่าวเข้าใจหน่อยเถิด” เสี่ยวผิงเริ่มสงสัย“เปล่าหรอก ข้าก็แค่อยากพาลูกกลับบ้าน จะได้มีแม่นมช่วยดูแลนางเร็ว ๆ ก็เท่านั้น” ฉงเถียนสร้างเรื่องโกหก“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าได้ใช้พิราบสื่อสารส่งข่าวไปทางบ้านแล้ว อีกไม่เกินสามถึงสี่วัน คนของเราน่าจะมาถึงที่นี่ ก็น่าจะเป็นเวลาที่ท่านรักษาตัวจนแข็งแรงพอที่จะเดินทางได้พอดี และข้ายังได้บอกให้พวกเขาพาแม่นมมาด้วย”“..เจ้าช่างรอบคอบนัก ขอบใจนะเสี่ยวผิง” เจอความรอบคอบของสาวใช้ นางก็จนปัญญาจะแต่งเรื่องมาโกหก จึงได้แต่ดื่มยาในถ้วยจนหมด“อมบ๊วยแก้ขมสักหน่อยนะเจ้าค