ระหว่างทางที่เดินไปเรือนอี้ เจียงเยี่ยนฟางก็ได้เห็นว่าภายในจวนได้จุดคบเพลิงและโคมไฟไว้ทั่วทุกหนแห่ง แสงไฟเหล่านั้นช่วยส่องสว่างเปิดทางให้บรรดาบ่าวรับใช้ที่ต่างวิ่งกันไปมาให้วุ่น บางคนยกน้ำ บางคนถือผ้า ส่วนคนที่เพิ่งกลับมาจากทางเรือนอี้ก็มีผ้าเปื้อนเลือดหอบใหญ่วิ่งจากไป
ท่ามกลางความโกลาหล มีเพียงนางที่เดินทอดน่องอย่างเชื่องช้า ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน ประหนึ่งเดินชมบุปผาในวสันต์ฤดู [1] รับแสงแดดอันอ่อนโยน ไม่สนความตายผู้อื่นอยู่ในสายตา
กระทั่งมาถึงหน้าเรือนอี้ เจียงเยี่ยนฟางก็เอ่ยขึ้นว่า "จับตัวข้าไว้ แล้วลากข้าเข้าไป" ไม่พูดเปล่า นางยังยกมือขึ้นยีผมของตัวเองให้ฟูจนดูไม่ได้อีกด้วย
"..." สามคนที่คราแรกเดินตามหลังมาด้วยจิตใจร้อนรน และทำได้เพียงมองแผ่นหลังเหยียดตรงของพระชายาพระนางใหม่มาตลอดทาง เวลานี้ก็ต่างมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจอีกครา
เมื่อครู่ในแววตาของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยเพลิงแห่งโทสะระคนหงุดหงิดใจ หากเปลี่ยนความเคียดแค้นในดวงตาของพวกเขาเป็นเปลวไฟได้จริง แผ่นหลังของเจียงเยี่ยนฟางยามนี้คงลุกไหม้จนได้กลิ่นเกรียมไปแล้ว ทว่าตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นความสับสนแทน มิหนำซ้ำผู้ที่เอ่ยออกมายังยกแขนเท้าเอว รอพวกเขาเข้าไปหาอีกด้วย!
"ถ้าไม่ทำแล้วโดนโบย ก็ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว" เจียงเยี่ยนฟางเอียงใบหน้าเพียงนิด หันไปบอกสามคนด้านหลัง ก่อนจะหันกลับไปมองบานประตูตรงหน้า ที่มีเสียงเท้าคนวิ่งเข้ามาจนใกล้จะถึงตัวพวกนางอยู่แล้ว
บ่าวชายสองคนเองก็ได้ยินว่าคนด้านในกำลังจะมาถึงแล้วเช่นกัน จึงรีบเข้าไปจับเจียงเยี่ยนฟางไว้ทันที ส่วนสาวใช้ก็ไม่รอช้า ก้าวนำไปก่อนแล้วเปิดประตูด้วยดวงตาที่ยังเจือแววสับสน
พลันนั้นที่ประตูถูกเปิดออก สาวใช้คนที่อยู่ด้านในเรือนอี้ก็วิ่งสวนออกไปพอดี ในมือของนางถืออาภรณ์ผ้าไหมสีฟ้าอ่อนซึ่งชุ่มไปด้วยโลหิตสีคล้ำ
เจียงเยี่ยนฟางปรายตามองเพียงนิด แต่ก็ทันได้เห็นว่าสตรีตัวเล็กผู้นั้นยามที่ได้สบตาเข้ากับตนตอนวิ่งผ่านไป อีกฝ่ายมีสีหน้าหวาดผวามากเพียงไร ที่แท้ก็เป็นสาวใช้นางนั้นที่ตนเพิ่งจะขู่ให้พาคนไปทำความสะอาดเรือนให้เมื่อวาน
แต่เจียงเยี่ยนฟางก็หันกลับไปมองทางเดินตรงหน้า ไม่ใส่ใจผู้อื่นอีก "ท่านอ๋อง! ท่านอ๋อง..." ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปในเรือน นางก็ตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือประหนึ่งคนร้องไห้มานาน ทว่าใบหน้ากลับไร้ซึ่งความเสียใจ ด้วยเพราะทางเข้าห่างไกลจากห้องด้านในสุดอยู่บ้าง จึงไม่มีทางที่คนผู้นั้นจะมองเห็นนาง ซ้ำยังมีฉากกั้นไว้ตลอดทาง ดังนั้นนางเลยเสแสร้งเพียงแค่น้ำเสียงก็พอ ครั้นตอนที่เอ่ยเรียกเซียวลี่หยางออกไปแขนก็กระตุกเป็นเชิงสั่งการสองคนที่ประกบนางทั้งซ้ายและขวาอยู่ ให้ออกเดินไปด้วยกัน
ภายในห้องไม่ได้มีคนมากอย่างที่คิด แตกต่างจากความวุ่นวายด้านนอกอยู่บ้าง เวลานี้หลงเหลือเพียงท่านหมอที่กำลังตรวจอาการของเซียวลี่หยางซึ่งนั่งพิงขอบเตียงอยู่หลังผ้าม่านโปร่ง ตามติดด้วยหงเปาที่ยืนอยู่ไม่ห่าง และกู่เยว่ชิงกับคนสนิทของนางเท่านั้น
เมื่อมาถึงแล้วเจียงเยี่ยนฟางก็กระโจนตัวลงไปที่พื้นเอง แต่ท่าทางนั้นราวกับถูกบ่าวชายสองคนผลักลงไปก็ไม่ปาน
"อึก" นางส่งเสียงร้องอึกอักอย่างน่าสงสาร ผมลู่ลงตามแรงเหวี่ยงปิดหน้าปิดตา สภาพดูไม่ได้
"ออกไปให้หมด!" เวลาเดียวกัน เสียงแหบแห้งก็ดังออกมาจากหลังผ้าม่านบนเตียงนอน
ท่านหมอที่นั่งตรวจชีพจรอยู่ถึงขั้นสะดุ้งตกใจ ต่อให้คนบนเตียงเป็นเพียงคนพิการและเพิ่งถูกวางยาพิษมา หากแต่วันวานก็เป็นถึงเทพสงครามที่ผู้คนต่างยกย่อง ความน่าเกรงขามในกาลก่อนย่อมไม่ได้ลดน้อยถอยลง
"พี่ลี่หยาง ถนอมร่างกายด้วย..." กู่เยว่ชิงที่ยืนห่างจากเตียงเล็กน้อยก็เอ่ยเสียงสั่นคล้ายเป็นผู้ถูกพิษเสียเอง นางยกมือที่ถือผ้าเช็ดหน้าอยู่ซับน้ำตาไปหนึ่งที ข้างกายยังคงมีจูหลิงคอยช่วยประคองอยู่ตลอดเวลา ราวกับดอกไม้งามที่ไม่อาจต้านลม ไม่แน่ว่าหากมีแค่ดอกไม้บอบบางเช่นนางเพียงดอกเดียวอยู่กลางลานกว้าง เมื่อลมพัดมาก็สามารถหักและตายไปเพียงลำพังได้เลย
"ออกไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ" หงเปาเอ่ยกับกู่เยว่ชิง ก่อนจะหันไปผายมือเชิญท่านหมอหลวงให้จากไปพร้อมกันด้วยเลย
'...แล้วเรียกข้ามาทำไม' เจียงเยี่ยนฟางคิดเช่นนั้นในใจ พลางทำท่าจะลุกขึ้นยืน หูสดับฟังก็รู้ว่าบ่าวสามคนด้านหลังได้ขยับตัวจากไปแล้วเช่นกัน
หงเปาเห็นเจียงเยี่ยนฟางกำลังจะจากไปก็ตวัดตามองด้วยความไม่พอใจ "พระชายาเจียงโปรดอยู่ก่อนพ่ะย่ะค่ะ" ใครสั่งให้สตรีผู้นี้ไปได้กัน
ตุบ
เจียงเยี่ยนฟางทิ้งตัวนั่งลงที่พื้นตามเดิมทันที "ท่านอ๋อง..." นางเรียกเขาเสียงยาวเลียนแบบกู่เยว่ชิง พลางขยับคลานเข่าไปด้านหน้า ด้านหลังยังรู้สึกถึงสายตาอีกสองคู่ที่กำลังมองมายังตน กระนั้นเจียงเยี่ยนฟางก็ไม่ได้สนใจสองนายบ่าวคู่นั้น เพียงขยับตัวไปจนถึงหน้าเตียง คิดจะจับตัวคนบนเตียงให้ได้ ทว่าก็ถูกหงเปาเดินมาขวางทางไว้เสียก่อน
[1] วสันต์ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ
ยามนี้ผ่านไปนานเกือบสิบเอ็ดปี จดหมายฉบับแรกนอกเหนือจากเงินที่เขาส่งมาให้ ก็คือเรียกข้ากลับไปแต่งงาน แต่ข้าไม่อยากแต่ง ข้ามีคนที่ข้ารัก...คนผู้นั้นเป็นเหมือนดั่งพี่ชายของข้า เป็นเหมือนดั่งสหายของข้า พวกเราเจอกันตั้งแต่ข้าอยู่ที่เมืองหลวง จนข้าจากไปไกลจึงทำได้เพียงเขียนจดหมายกลับไปหาเขา นับแต่นั้นมา ก็มีเขาที่ยังคอยห่วงหาข้าตลอด เราให้สัญญากัน ข้าเองก็รับปากแล้วว่าจะเป็นภรรยาของเขา" เวลามีเรื่องคิดไม่ตก เจียงเยี่ยนฟางมักจะติดนิสัยเดิม โดยชอบหยิบผ้าผูกผมที่ป้าซูทำให้มาจับเล่นอย่างเผลอตัว ในตอนนี้เองก็เช่นกันเสวี่ยหว่านมองตามมือของนางไปก็พบว่าสิ่งที่นางจับอยู่คือผ้าผูกผมรูปดอกไม้ที่มีปักลายเฉพาะ ผ้าผูกผมชิ้นนั้นดูไม่เข้ากับชุดที่เจียงเยี่ยนฟางขอสลับของนางไปใส่แม้แต่น้อย จังหวะต่อมาจึงเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายแล้วถาม "...แล้วคนผู้นั้นตอนนี้เขารู้หรือไม่ว่าท่านกำลังจะไปแต่งงาน"เสวี่ยหว่านเป็นหมอยาพิษ การทำงานในจุดนี้ของนางย่อมพบเจอคนตายมาไม่น้อย จิตใจนับว่าด้านชาจนแทบไร้ความรู้สึก ยิ่งไม่สนใจเรื่องความรัก ยิ่งเมื่อได้ฟังก็เกิดสับสน บุรุษผู้นั้นดูแล้วน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาที่สามารถเข้าออกจวนขุนนางจ
เรื่องนี้เป็นความลับของนาง แต่ก็ไม่คิดจะปิดบังคนที่ช่วยชีวิตตนเองไว้ อีกทั้งนางก็ทะนงตนว่า สตรีตัวเล็กเช่นคนตรงหน้าไม่มีทางทำอะไรตนเองได้ หรือต่อให้อีกฝ่ายเอาเรื่องนางไปป่าวประกาศบอกผู้อื่นจนนางเดือดร้อน นางก็คิดว่านางสามารถแบกรับไหว"!!!" สองคนในรถม้าต่างตกใจ คนที่จะทำงานด้านนี้ได้มือต้องแปดเปื้อนมาไม่น้อย แต่สตรีตรงหน้าถึงจะไม่ค่อยยิ้ม ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงกลับน่าฟัง ท่าทางไม่ถึงขั้นอ่อนหวานเหมือนสตรีที่ได้รับการอบรม แต่ท่าทางก็ดูนุ่มนวลไม่หยาบกระด้าง การพูดการจาก็ดูมีมารยาทไม่ทำตัวโผงผาง หากบอกว่าเป็นบุตรสาวตระกูลร่ำรวยพวกนางก็เชื่อ ไหนเลยจะถูกอีกฝ่ายใช้รูปลักษณ์ภายนอกมาตบตาเข้าให้แล้ว"คุณหนูทั้งสองไม่ต้องตกใจไป ผู้ที่มีบุญคุณ เสวี่ยหว่านผู้นี้ ย่อมไม่คิดร้ายด้วย อีกทั้งก็เป็นเพียงผู้ทำยาพิษและยาแก้พิษ ไม่ใช่ผู้ใช้พิษเสียหน่อย" เรื่องหลังนั้น... แน่นอนว่า ย่อมโกหกไปเจ็ดส่วน!อีกสองสามวันต่อมา เสวี่ยหว่านผู้นี้ก็ไม่ยอมจากไปเสียที จนซูเจียวเริ่มทนไม่ไหว ในตอนที่อยู่บนรถม้าก่อนจะลงไปเช่าโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านกวนพักผ่อน นางก็เอ่ยปากถามด้วยตนเอง"พี่เสวี่ยหว่าน ท่านคิดจะไปที่ใดกันแน
"เป็นคน เมื่อครู่ ข้ามั่นใจ!" เจียงเยี่ยนฟางตะโกนบอกไประหว่างทาง ดวงตาจ้องมองมือที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำเพียงสองครั้งแล้วจมหายไป แต่ใต้ผืนน้ำที่ไหลแรงก็ยังพอมองเห็นเงาร่างสีม่วงเข้มได้เลือนราง"คน? คนอะไรไปอยู่... ไม่ ๆ ๆ คนที่ไหนจะโดนน้ำพัดขนาดนี้แล้วยังรอด คุณหนู อย่า ไม่!" ซูเจียวเพิ่งจะรู้สึกไปเมื่อครู่เองว่า สายน้ำเส้นนี้นั้นไหลแรงเกินไปจนน่ากลัวไม่อยากเข้าใกล้ และไม่อยากแม้แต่จะข้ามสะพานไม้นั้นอีกรอบอยู่เลย แต่คุณหนูของนางพูดแค่ 'เป็นคน' แล้วก็กระโจนลงน้ำไปได้อย่างไร!ซูเจียววิ่งตามไปหยุดอยู่ตรงจุดที่เจียงเยี่ยนฟางเพิ่งจะกระโดดลงไปเมื่อครู่ "คุณหนู คุณหนู!" นางตะโกนหาอีกฝ่ายพร้อมดวงตาก็กวาดมองไปทั่วผืนน้ำ หัวใจเต้นไม่หยุดด้วยความกลัว ถึงแม้นางจะบอกว่าตนไม่ค่อยชอบเจียงเยี่ยนฟางเพราะรู้สึกว่าตนอยู่ต่ำกว่าเสมอ แต่เมื่อถึงเวลาคับขันแห่งความเป็นความตาย นางกลับรู้สึกเป็นห่วงคนที่โตมาด้วยกันอย่างน่าประหลาดซูเจียวถอดรองเท้าและเสื้อตัวนอกออก หวังกระโดดลงน้ำไปดึงเจียงเยี่ยนฟางขึ้นมา ในระหว่างที่กำลังถอดเสื้อตัวนอกออกอยู่นั้น ก็ไม่หยุดสายตาสอดส่องมองหาคนไปทั่วผืนน้ำแต่ไม่ทันที่นางจะกระโดดลงไป
บทที่ 17วาสนาได้พานพบผู้มีบุญคุณเพียงชั่วครู่สารทฤดูเริ่มต้นไปได้ครึ่งทางแล้ว ใบไม้รอบด้านเริ่มเปลี่ยนสียามเมื่อออกเดินทางเวลานี้ ถือว่าเป็นผลพลอยได้ที่จะได้ชื่นชมธรรมชาติไปในตัวแต่คนบนรถม้าคันหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงกลับดูเป็นกังวลไม่น้อย"คุณหนู ท่านจะแต่งเข้าจวนอ๋องจริงหรือเจ้าคะ" ซูเจียวนั่งอยู่บนพื้นของรถม้าก็เอ่ยถามสตรีอีกคนที่นั่งอยู่บนเบาะ ที่ผ่านมาตัวนางถูกเลี้ยงดูมากับสตรีตรงหน้า อยู่ด้วยกันในบ้านหลังเล็กที่เมืองลี่เจียง ดุจดั่งเป็นครอบครัวเดียวกันทว่าตั้งแต่เยาว์วัย มารดาของนางชอบบังคับให้นางเรียกอีกฝ่ายว่าคุณหนูอยู่ตลอด คราแรกนางไม่เข้าใจ และทุกครั้งที่ตีตัวเสมอเจียงเยี่ยนฟาง นางก็จะถูกมารดาดุด่าเป็นประจำ ตักเตือนให้นางนอบน้อมกับเจียงเยี่ยนฟางให้มากหน่อย นางก็ต้องทำโดยไม่สามารถอิดออดได้ ทั้งที่เจียงเยี่ยนฟางก็ถูกมารดาใช้งานหนักพอ ๆ กัน ไม่เคยปล่อยปละละเลยให้อีกฝ่ายทำเพียงแค่นอนและกินเหมือนคุณหนูจริง ๆ ต่างต้องทำงานทุกอย่างให้เป็นกระทั่งไม่กี่วันก่อนคุณหนูของนางได้รับจดหมายจากบิดาที่ทอดทิ้งตัวเองไปนาน เรียกตัวกลับเมืองหลวงเพื่อแต่งงานเข้าจวนชินอ๋อง!ชินอ๋อง
เจียงเยี่ยนฟางกลับมายังร้านน้ำชาอีกครั้งพร้อมถุงซาลาเปาในมือ คนที่รอนางอยู่ก็ได้ย้ายตัวเองไปบนรถม้าอยู่ก่อนแล้ว พอนางมาถึง บรรยากาศก็ผิดแผกไปอย่างเห็นได้ชัด เซียวลี่หยางไม่พูดไม่จาอันใดแม้ครึ่งคำแต่...ไม่พูดไม่จาก็แล้วไปเถิด นางอาจมาช้าทำให้เขารอนานจนเกิดไม่พอใจขึ้นมา เรื่องนั้นก็พอเข้าใจได้ ทว่าแววตารังเกียจที่เหมือนคราแรกพานพบกันในห้องหอนั้น กลับมาปรากฏบนสายตาเขาอีกครั้งนี่สิ นางถึงได้รู้สึกแปลกใจขึ้นมาคนผู้นี้เช้าเป็นอย่าง ดวงตะวันคล้อยบ่ายก็เป็นอีกอย่าง นางคาดเดาเขาไม่ได้เลยยามเมื่อเดินทางกลับมาถึงจวนแล้ว คนในรถม้าที่นั่งมากับนางนานสองนานก็ไม่รอให้นางออกไปก่อน เขารีบเรียกหงเปามาพาตัวเองเข็นรถลงไปทันทีที่รถม้าหยุดลง ประหนึ่งว่าไม่อยากใช้ลมหายใจในรถม้าร่วมกับนางนานกว่านี้ จึงทิ้งนางไว้เบื้องหลังไม่ใส่ใจ"เมื่อเช้ายังไปด้วยกันดี ๆ อยู่เลย ยามนี้ท่านอ๋องเหมือนจะกำลังไม่พอใจอยู่..." สาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลก็พากันซุบซิบนินทา คิดว่าระยะขนาดนี้พระชายาเจียงน่าจะไม่ได้ยิน"แปลกอันใดกัน ที่ผ่านมาท่านอ๋องกับพระชายากู่ที่มักตัวติดกันตลอด แต่ท่านอ๋องก็นิ่งสงบปานท่อนไม้ขนาดนั้น ดูอย่างไรก็ไม่เหม
"เร็วหน่อยก็ดี แล้วเร็วที่สุดของเถ้าแก่ราวกี่วัน""สองชิ้นก็เจ็ดวัน ข้าจะหาช่างฝีมือสองคนทำก็แล้วกัน จะได้รอไม่นานเกินนี้""เงินในถุงพอค่ามัดจำหรือไม่" เจียงเยี่ยนฟางหันมองถุงเงินที่หายไปอยู่ในมือเถ้าแก่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้"พอ ๆ ๆ ๆ แม่นาง...อยากเน้นส่วนไหนเป็นพิเศษ แจ้งมาได้เลย" เถ้าแก่พอได้จับถุงเงินแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นอีกห้าส่วน ดวงตาสะท้อนไปด้วยเงินทองอยู่ภายใน"เถ้าแก่จัดการได้เลย อีกเจ็ดวันข้าจะมารับ" เจียงเยี่ยนฟางกล่าวเสร็จก็เตรียมจากไป"แม่นางเดินทางปลอดภัย" เถ้าแก่ร้านมีท่าทีกระตือรือร้นกว่าตอนแรกที่เจียงเยี่ยนฟางเข้ามามากนัก ถึงขั้นเดินออกมาส่งด้วยตัวเองเจียงเยี่ยนฟางพอออกมาจากร้านเครื่องประดับแล้วก็ยังคงแวะไปอีกหลายแห่งเพื่อสั่งของที่นางอยากได้ กระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับแผงลอยข้างทางร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็ก ๆ ที่เน้นไปทางเชือกผูกผมกับปิ่นที่ทำมาจากไม้ หากแต่สิ่งที่สะดุดตานางมากที่สุดไม่ใช่ผ้าไหมซึ่งถูกทออย่างประณีต แต่เป็นลายปักบนผ้าผูกผมอันแสนคุ้นตานั่นต่างหาก"คุณหนู สนใจผ้าผูกผมสักชิ้นหรือไม่ ลองดูก่อนได้ ไม่เสียหายอะไร"เจียงเยี่ยนฟางเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ค