3 ถูกวางยาแล้ว
เช้ามืดวันต่อมา เจียงเยี่ยนฟางก็ได้ยินเสียงความวุ่นวายตั้งแต่ตอนที่นางเพิ่งจะตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน ขนาดว่านางอยู่ไกลถึงท้ายจวน ก็ยังได้ยินเสียงผู้คนได้อย่างชัดเจน ดูท่าคงกำลังเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
เมื่อประติดประต่อเสียงเหล่านั้นได้แล้วคิ้วเรียวยกขึ้น "คนผู้นั้นถูกวางยาพิษ?"
หวนนึกถึงเรื่องเมื่อวานภายหลังกลับมาจากเรือนอี้ พอนางเดินเข้ามาในเรือนไม้แล้ว ก็พบว่ามีคนมาแอบอยู่ข้างนอกอีกฝั่งของหน้าต่าง และเอ่ยถามถึงเรื่องสุรามงคลกับนาง ครั้นเมื่อนางตอบว่าส่งมอบเรียบร้อยแล้ว แต่คนยังไม่ได้ดื่ม คนผู้นั้นก็เพียงบอกให้รอดูไปก่อน แล้วก็จากไปทันที
เจียงเยี่ยนฟางขยับขาลงจากเตียง นั่งย่อตัวลง ยื่นมือเข้าไปภายในความมืดมิดใต้เตียง คว้าบางอย่างออกมา เมื่อมือของนางโผล่พ้นความมืดมาแล้ว ก็พบว่า สิ่งที่อยู่ในมือคือขวดสุราแบบเดียวกันกับเมื่อวานที่นางได้มอบให้คนสนิทของเซียวลี่หยางไป
นางเปิดฝาออกและสูดดมกลิ่นของสุราที่ลอยขึ้นมา
"ก็ไม่ได้มอบขวดที่มียาพิษให้เสียหน่อย" เจียงเยี่ยนฟางพึมพำเสียงเบากับตนเอง
สุรามงคลที่ใส่ยาพิษมาในคืนเข้าหอนั้น คราแรกนางคิดว่ามีคนจงใจทำร้ายตน ตอนเช้าถึงได้ไปขออีกรอบ ทว่าขวดที่ได้มาจากบ่าวรับใช้คนแรกนั้นกลับเป็นสุราธรรมดา แต่ขวดที่ได้มาจากในซอกลังไม้ต่างหากที่เป็นสุราแบบเดียวกันกับคืนในวันเข้าหอ
เรื่องที่ไม่เข้าใจก็คือ คนวางยาผู้นั้นกลับมอบมันให้นาง เพื่อให้ไปวางยาพระสวามีของตนแทน ครานั้นคำตอบถึงได้กระจ่างชัดแล้วว่าเป้าหมายมิใช่ตนเอง
ที่นางจงใจวางขวดสุราใบแรกไว้ที่ลังไม้ ก็เพราะต้องการหลอกคนที่มอบสุราพิษให้นางอีกทีว่าในมือนางมีเพียงขวดเดียว ขากลับจึงแวะเข้าไปในห้องครัวอีกรอบ เพื่อไปขอสุราแบบเดิมเพื่อมาสับเปลี่ยน อ้างว่าไม่ทันระวังทำแตกไป พอถึงกลางทางระหว่างไปหาเซียวลี่หยาง นางก็แอบสลับขวดที่มียาพิษไว้กับตนเองแทน
ดูท่าแล้ว คนที่ถูกจ้างมาคงเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นพวกของตน จากการที่นางจงใจคะยั้นคะยอจะเอาสุราแบบเดิมให้ได้ตอนที่อยู่หน้าห้องครัว มิหนำซ้ำนางยังพูดเสียงดังว่าขวดเก่าในห้องหอได้ทำแตกไปแล้วอีกด้วย แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นแผนของนางตั้งแต่แรกที่ตั้งใจพูดออกไปแบบนั้น
เหตุผลที่เจียงเยี่ยนฟางตบแต่งเข้าจวนอ๋องช่างแสนธรรมดา ทั้งยังไม่มีอันใดเกี่ยวกับเซียวลี่หยางแม้แต่น้อย นางไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับการลอบสังหารเขา ถึงเขาจะไม่ใช่สวามีที่ดีสำหรับนาง หากแต่มือของนางให้คนอื่นยืมใช้ฆ่าคนได้หรือ?
ชั่วขณะที่ตกลงไปในความคิดของตนเอง ด้านนอกก็มีคนมารัวมือเคาะประตูเรือนของนางอย่างแรง เรือนไม้แห่งนี้เล็กจนนับก้าวเดินได้ เมื่อประตูถูกเคาะแรงขนาดนี้ เสียงของมันก็ก้องไปทั่วห้องอันคับแคบจนพาให้เจียงเยี่ยนฟางหนวกหูขึ้นมา ใบหน้าพลันไม่สบอารมณ์ทันที
"ท่านอ๋องเรียกพบเจ้า! เปิดประตูเดี๋ยวนี้!" คนด้านนอกตะโกนมาพร้อมกับเสียงประตูที่ยังคงถูกทุบไม่หยุด "พังเลย!" ยิ่งไม่รอให้คนด้านในเดินมาเปิด อีกฝ่ายก็ส่งเสียงให้บ่าวชายที่ตามมาด้วยลงมือพังประตูเรือนของผู้อื่นเสียแล้ว
เจียงเยี่ยนฟางรีบเก็บขวดสุราคืนที่เดิม ลุกขึ้นคว้าเสื้อตัวนอกและผ้าปิดหน้ามาสวม ก่อนจะเดินไปเปิดประตู ด้วยความเร็วของนาง ก็ทำเอาเท้าของใครบางคนที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศหวังจะถีบประตูอยู่นั้น ได้แหวกผ่านตัวนางซึ่งเบี่ยงตัวหลบได้ทัน คนผู้นั้นจึงเสียการทรงตัวหน้าทิ่มลงพื้นอย่างแรงแทน
"จวนอ๋องอบรมบ่าวเช่นนี้หรือไร โหวกเหวกโวยวายไม่พอ เพียงรอนิดรอหน่อยก็จะพังประตูเรือนผู้อื่นเล่นเสียแล้ว หากอยากอวดรวย ทำทีเป็นว่าพวกตนมีกำลังพังประตูได้ก็มีเงินซ่อมได้ มิสู้ ปรับปรุงเรือนไม้พัง ๆ นี่เสียก่อน แล้วค่อยว่ากัน" เจียงเยี่ยนฟางเก็บซ่อนรอยยิ้มที่เผยออกมาหลังจากเห็นท่าทางไม่น่าดูของบ่าวชายที่ล้มลงไป อีกฝ่ายก็กำลังพยายามลุกขึ้นมาทำทีเหมือนไม่เจ็บ แต่ไหนเลยจะปกปิดสีหน้าไว้ได้
สาวใช้คนที่ส่งเสียงสั่งผู้อื่นคราแรกชะงัก แต่สุดท้ายก็ออกปากสั่งการอีกรอบ "พาตัวนางไป!"
"อย่าแตะต้องตัวข้า" เจียงเยี่ยนฟางเบี่ยงตัวหลบบ่าวชายอีกคนที่มาด้วยกัน พลางกดตามองลงอย่างหยามเหยียดผู้อื่น "ข้าไม่ถูกท่านอ๋องของพวกเจ้าโปรดปรานจนพวกเจ้ามองข้ามข้าก็แล้วไปเถอะ แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นถึงบุตรสาวคนโตของขุนนางเจียง หากเขาได้รู้ว่าข้าถูกหยามเกียรติเช่นไรในจวนอ๋องของพวกเจ้า พาลทำให้เขาต้องขายหน้าผู้คน คิดหรือว่าท่านพ่อของข้าจะปล่อยพวกเจ้าไว้!"
บ่าวชายสองคนหันมองหน้ากันแล้วก็เริ่มกังวลขึ้นมา ส่วนสาวใช้ที่คิดจะมาข่มเหงผู้อื่นแต่โดนข่มเหงกลับก็เพิ่งจะคิดได้ว่า สตรีตรงหน้าแม้คนในจวนบอกว่าบ้านเดิมของนางไม่มีใครชื่นชอบนาง แต่ข่าวลือก็คือข่าวลือ ไม่มีสิ่งใดแน่นอน จึงลังเลไม่กล้าบุ่มบ่ามอีก
เวลานี้ที่ไม่มีใครตัดสินใจได้ว่าจะเอาอย่างไรดี ร่างสูงของเจียงเยี่ยนฟางก็ออกเดินนำไปก่อนแล้ว
ด้วยความที่กู่เยว่ชิงยืนบังมือของคุณหนูใหญ่เจียงอยู่ หงเปาจึงมองไม่เห็นว่าหยกในมือของเจ้าตัวเป็นของจริงหรือของปลอม อีกทั้งบริเวณเรือนเก่าทรุดโทรมแห่งนี้ก็มีคบไฟแค่ตรงหน้าเรือนเท่านั้นและเสียงของกำไลหยกที่ตกกระทบพื้นเมื่อครู่ ก็ช่างแตกต่างจากเสียงกำไลหยกของคุณหนูใหญ่เจียงที่แตกไปเมื่อคราก่อนมากนัก จึงรู้ว่าคุณหนูใหญ่เจียงไม่ได้โกหก ทว่า...คำพูดพวกนั้นกล่าวกับกู่เยว่ชิงหรือกล่าวกับเจ้านายของเขากันแน่ เรื่องนี้มีเพียงคนพูดเท่านั้นที่รู้ต่อจากนั้นเจียงเยี่ยนฟางก็รับปิ่นสีทองในมือเจินเจินมาใส่ในกล่องไม้ไว้แทน "แต่กล่องไม้นี่เป็นของจริงแน่นอน พระชายากู่ รบกวนฝากทิ้งด้วย ของของท่าน ข้าไม่ต้องการ" ครั้นพูดเสร็จเจียงเยี่ยนฟางก็กระแทกกล่องไม้ไปให้อีกฝ่ายรับไว้ ดวงตามองผ่านศีรษะของกู่เยว่ชิงไปด้านหลัง สบตาเข้ากับคนที่นั่งหน้านิ่งแต่มือกำพนักพิงแขนแน่น ก่อนจะดึงสายตากลับมา ก้มลงไปกระซิบเสียงเบากับคนตรงหน้าที่ยืนถือกล่องไม้ตัวสั่นว่า "ฝากความคิดถึง ถึงบิดาของท่านด้วย หวังว่าขุนนางกู่จะสุขภาพแข็งแรง""เจ้า!!!" กู่เยว่ชิงตกใจผงะถอยหลัง เซไปหลายก้าวจนจูหลิงต้องเข้ามาช่วยประคอง ในขณะที่กำลังจะออกปาก
เวลานี้สีหน้าของกู่เยว่ชิงซีดเผือดลงพานดูไม่ได้ แม้แต่แสงของคบไฟที่สาดกระทบใบหน้าจนเป็นสีส้มนวลตา ก็มิอาจทำให้ใบหน้าของนางดูมีสีสันขึ้นมาได้แม้แต่น้อย กู่เยว่ชิงไหนเลยจะคาดเดาได้ว่าเรื่องราวจะถูกพลิกมาในทางนี้ และไม่รู้ว่าสาวรับใช้ผู้นี้ที่ตนให้เป็นคนถือปิ่นไว้จะซ่อนปิ่นไว้อย่างดีก่อนมาที่นี่หรือไม่ เพราะก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเจียงเยี่ยนฟางจะให้คนของตนมาค้นผู้อื่นก่อนเข้าไปในเรือนและยิ่งไม่อาจคาดเดาได้ว่าหม่าเจินจะค้นเพียงสองคนก็เจอกับดักที่ตนแอบซ่อนเข้าแล้ว นางพาสาวใช้มาเกือบยี่สิบคน แต่หม่าเจินกลับเดาถูกได้อย่างแม่นยำในเวลาอันสั้น ไม่ทันได้รอให้นางได้คิดหาทางออก นางก็ใกล้ตกม้าตายแล้ว!"หยุดนะ! ปล่อยข้า" สาวใช้นางนั้นพยายามผลักหม่าเจินออก แต่ไม่รู้หม่าเจินไปเอาแรงมาจากไหน นางสู้ไม่ไหวเลย"น้องหญิง กำไลนั้นอาจแค่เหมือนของเจ้าก็ได้ คงเป็นของที่ทำขึ้นมาเลียนแบบเท่านั้น" กู่เยว่ชิงพยายามห้ามเสียงของตนเองไม่ให้สั่น แต่ใครที่รับใช้นางมาสักพักก็คงจะมองออกได้อย่างง่ายดายว่านางกำลังตื่นกลัว"พี่หญิงกู่ ท่านก็ช่างเข้าข้างคนของตนจนเกินเหตุ กำไลนั้นเป็นหยกหายากที่มีสามสีในชิ้นเดียว ต่อให้ทำเลียนแบ
คราแรกที่เห็นเพียงใบหน้าด้านข้างก็ทำให้เจินเจินตกใจมากพอแล้ว แต่เมื่อได้เห็นเต็มดวงหน้าก็ยิ่งมอบความประหลาดใจให้นางมากกว่าเก่า หากแต่ในช่วงจังหวะนั้น ใบหน้าสวยสะคราญดุจดั่งเทพเซียนลงมาจุติบนโลกมนุษย์ของอีกฝ่ายก็ค่อย ๆ บวมขึ้น บวมขึ้น... ก่อนจะปูดโปนไร้รูปแบบ จนดูคล้ายเจ้านายคนเดิมของนาง!'เรียกได้ทั้งวี่ทั้งวัน มีเรื่องอันใดอีก!'ครั้นน้ำเสียงติดจะหงุดหงิดดังออกมาจากผู้ที่นั่งอยู่ เจินเจินก็กระจ่างแจ้งแล้ว 'พระชายา เหตุใดใบหน้าของท่าน...'เจียงเยี่ยนฟางกัดขนมเข้าไปอีกคำ หาได้ใส่ใจใบหน้าตื่นตระหนกของสาวใช้ไม่ '...ไม่เคยเห็นคนแพ้ถั่วหรือไร' กระทั่งอีกฝ่ายเดินมาแย่งขนมจากในมือไป แล้วฟาดขนมลงตะกร้าอย่างไม่ใยดี แถมยังคว้าตะกร้าไปถือไว้ในมือ ขยับเท้าถอยกรูไปไกล นางถึงได้ให้ความสนใจอีกฝ่ายขึ้นมา 'ดีใจจนเสียสติไปแล้ว?' เจียงเยี่ยนฟางเคี้ยวขนมคำสุดท้ายเสร็จก็พูดออกไปเช่นนั้น'พระชายา ทรงรู้แต่แรกว่าแพ้ แต่ก็ยังจะกิน...ท่าน ท่าน''ปกติข้าก็กินถั่วตอนเช้าทุกวันอยู่แล้ว' เจียงเยี่ยนฟางไม่คิดจะสั่งให้เจินเจินเอาขนมมาคืน เพราะรู้สึกว่าหน้าบวมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงยกน้ำชาขึ้นมาจิบและเช็ดปากเช็ดมือ
'เลิกเรียกเสียที ยังไม่รีบเช็ดน้ำตาแล้วรีบไปอีก!' น้ำเสียงนั้นดูรำคาญเหลือทน มือก็โบกไล่คนจากไป'เพคะ เพคะ! ' ยามลุกขึ้นมาย่อตัวลา เจินเจินก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วรัว ไม่เคยตื่นเต้นด้วยความดีใจขนาดนี้มาก่อน และยังเป็นครั้งแรกตั้งแต่บิดามารดาจากไป ที่มีคนให้นางได้ลองพึ่งพิงสักครั้ง เวลานี้ไม่ว่าหนทางเบื้องหน้าน้องชายจะหายดีหรือไม่ แต่ขอเพียงแค่มีคนคิดจะช่วยเหลือนางถึงขั้นนี้ ก็ดีเกินพอแล้วเจียงเยี่ยนฟางมองส่งคนจากไป ลอบถอนหายใจออกมาเพียงลำพังก่อนหน้านี้นางได้คำนวณทุกอย่างไว้แล้ว คิดว่าการตอบกลับมาจากฝั่งนั้นน่าจะไม่เกินวันที่นางต้องกลับบ้านเดิมหุบเขาเซียนกู่อยู่ห่างจากที่นี่มากนัก หากส่งจดหมายผ่านรถม้าก็เกือบสิบวัน ถ้าเป็นม้าเร็วไร้รถม้าก็ราวแปดวัน แต่ถ้าเพิ่มเงินให้เร่งเดินทางอีกหน่อย จดหมายก็ถึงในเจ็ดวันทว่าหากเป็นนกจะเร็วกว่า ใช้เวลาเพียงห้าวันไม่เกินหกวันก็ถึงที่หมายแล้ว และนางยังขอให้เร่งเวลาขึ้นอีก ดังนั้นก็จะลดเวลาลงไปได้อีกสองวัน หลังไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน นางจึงต้องให้คนของเขาเซียนกู่มารับน้องชายของเจินเจินคนละครึ่งทาง ถึงได้ให้น้องชายของเจินเจินเดินทางไปรอที่โรงเตี๊ยมเฟยฉีแ
'ข้าไม่มีเงินพอจะช่วยเจ้าได้' สินเดิมของเจียงเยี่ยนฟางก็ถูกเซียวลี่หยางยึดไปยังไม่ยอมคืน แต่อย่างไรเสีย แรกเริ่มเดิมทีของมีค่าเหล่านั้นก็ไม่ใช่ของนางอยู่แล้ว นางจึงไม่ต้องการแตะต้องแม้แต่น้อย เพียงแค่ต้องการนำกลับคืนมาให้ได้เท่านั้น ถึงมันไม่ใช่ของนางก็จริง ทว่าก็หาใช่ของเขาเช่นกัน'...' เจินเจินพยักหน้าเข้าใจ ไม่เรียกร้องสิ่งใดอีกหากแต่เมื่อกลับมาถึงเรือน คุณหนูใหญ่เจียงกลับถามนามของน้องชายนาง ก่อนจะเขียนจดหมายให้สองฉบับ ฉบับหนึ่งส่งให้นางไปมอบให้คุณชายกั่วที่มายืนรอเจอคุณหนูใหญ่เจียงอยู่ที่ประตูหน้าของจวนมาสามวันติดแล้ว กับอีกฉบับมอบให้นางไปส่งให้ใครบางคน'หากเจ้าจะออกไปข้างนอกก็ต้องทำเช่นนี้ ฉบับนี้เป็นจดหมายที่ข้าส่งให้กั่วหลีหมิ่น นำไปส่งที่จวนของเขา เวลานี้เขาคงกลับจวนไปแล้ว' เจียงเยี่ยนฟางยื่นจดหมายให้ดูว่าอันไหนเป็นอันไหน ซึ่งตัวซองจดหมายของกั่วหลีหมิ่นเป็นซองจดหมายธรรมดาที่ใช้ทั่วไป ต่างแค่ไม่ได้ปิดผนึกไว้ส่วนอีกอันไม่ได้ใส่ในซอง เป็นเพียงกระดาษแผ่นเล็ก ๆ เท่าสองนิ้วมือ ดูคล้ายจดหมายลับ 'เจ้าต้องไปรายงานท่านอ๋องก่อนเพื่อไม่ให้โดนจับได้ บอกว่าข้าให้ไปส่งจดหมายให้คุณชายรองตระ
ย้อนไปสองวันหลังจากที่เจินเจินมาอยู่กับเจียงเยี่ยนฟางพอเจียงเยี่ยนฟางได้รู้ว่าสามารถออกไปข้างนอกได้ ก็มักจะพาเจินเจินไปนั่งที่ร้านน้ำชาใกล้ ๆ กับตลาด เฝ้ามองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจากบนชั้นสองของร้าน พลางใช้ความคิดไปอยู่นานสองนาน แต่ช่วงจังหวะหนึ่งก็หันกลับมามองสาวใช้ของตน 'เจินเจิน''เจ้าค่ะคุณหนู' เจินเจินที่ยืนอยู่ข้างกายก็ขานรับออกไป นางจำต้องเรียกอีกฝ่ายต่างจากปกติ เพราะท่านอ๋องบัญชาลงมาว่า เมื่ออยู่ภายนอกจวนไม่อาจให้ใครรู้สถานะจริงของคุณหนูใหญ่เจียงได้ เพื่อกันเรื่องวุ่นวายในภายหลัง'เจ้าจะทำงานให้ใครข้าไม่สน แต่ถ้าเจ้าทำให้ข้าเดือดร้อนเมื่อไหร่ ข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่' นิ้วมือเรียวยาวกรีดกรายยกจอกน้ำชาขึ้นมาจรดริมฝีปาก อีกมือก็ยกผ้าปิดหน้าขึ้นเปิดออก็ย ท่าทางและกิริยางดงามจนพาให้ผู้มองหลงใหลแต่ผู้มองคนนั้นยามนี้กลับใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มแทนที่จะมัวมาหลงใหลในนิ้วมืองดงามของผู้อื่น!ดวงตาของเจินเจินยังคงเบิกโต ในหัวทบทวนว่านางพลาดไปจนถูกจับได้ตั้งแต่ตอนไหนกัน!แต่คิดหัวแทบแตกก็จำไม่ได้ จากที่ยืนอยู่จึงทรุดลงนั่งคุกเข่า เอาหัวโขกพื้นเสียงดังลั่น 'พระชายา ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย!!' เวลา