อีกฝั่งหนึ่ง
จูหลิงที่ขยับกายหลบไปข้างเสาอีกนิดก็เอ่ยขึ้นว่า "ดูเหมือนนางจะรู้ตัวว่าพวกเรามาแอบดูอยู่เลยนะเพคะพระชายา"
"ไกลขนาดนี้แถมเรายังอยู่ในที่มืด นางไม่น่าจะมองเห็น" กู่เยว่ชิงเข้าใจถูกแล้ว เจียงเยี่ยนฟางมิได้มองเห็นพวกนางชัดขนาดนั้น เพียงแค่คาดเดาจากเงาร่างเลือนรางก็เท่านั้น
"แล้วเหตุใดนางถึงยังไม่โดนจับไปขังคุกอีก มิใช่ว่าท่านอ๋องทรงแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าเป็นนางที่วางยา"
"บิดาของนางเป็นถึงขุนนางฝ่ายซ้าย ต่อให้ท่านอ๋องคาดการณ์ว่านางอาจเป็นคนของฮ่องเต้ส่งมา แล้วอยากจับนางโยนออกไปเสียเดี๋ยวนี้ก็คงเป็นเรื่องที่เกินกำลัง ตัวนางมีคนหนุน หลังถึงขนาดนั้น คงไม่อาจทำอะไรบุ่มบ่าม" กู่เยว่ชิงเอ่ยวาจานุ่มนวล ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ มือที่แอบซ่อนไว้ในแขนเสื้อก็บีบเข้าหากันแน่นเพื่อระบายอารมณ์ นึกน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง เพียงเพราะชาติกำเนิดของนางต้อยต่ำ หาไม่แล้วยามนี้นางคงได้ขึ้นเป็นพระชายาเอกไปนานแล้ว
สองปีก่อนที่ตบแต่งเข้ามา ท่านอ๋องยืนยันหนักแน่นว่าจะรับนางเป็นพระชายาเอกและจะไม่ตบแต่งผู้ใดอีก หากแต่ไทเฮาและฮ่องเต้ทรงเห็นพ้องต้องกันว่า ครอบครัวของนางเป็นเพียงแค่สามัญชนที่เพิ่งได้เข้ามาทำงานในราชสำนัก เป็นขุนนางชั้นปลายแถว มิใช่ตระกูลเก่าแก่ มิได้มั่งมี ไม่คู่ควรแก่ตำแหน่งพระชายาเอกในจวนชินอ๋อง นางจึงได้รับเพียงตำแหน่งพระชายารองมาแทน
อีกทั้งพระราชทานสมรสที่ฮ่องเต้ทรงประทานลงมาเมื่อไม่นานมานี้ ก็ได้วางคุณหนูตระกูลเจียงไว้ในตำแหน่งพระชายาเอกเรียบร้อยแล้ว แม้นท่านอ๋องจะคัดค้านอย่างเต็มที่ ก็ยังต้องยอมถอยให้ฮ่องเต้ไปในคราแรก
ต่อมาถึงจะผิดแผนเพราะตระกูลเจียงชักแม่น้ำทั้งห้า เล่นพลิกคำไปมา ถึงได้ส่งบุตรสาวที่ไม่เคยเป็นที่รู้จักมาแทน เวลานั้นท่านอ๋องจึงได้มีโอกาสต่อรองอีกครั้ง และถึงจะลดตำแหน่งเจียงเยี่ยนฟางลงไปได้แล้ว แต่ใครจะมั่นใจได้ว่าในอนาคตจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก เพราะตอนนี้สตรีผู้นั้นสุดท้ายก็ตบแต่งเข้ามาจนได้!
"คุณหนูของบ่าว อย่าน้อยใจไปเลยเจ้าค่ะ ท่านอ๋องตกปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่า จะมีเพียงคุณหนูเพียงคนเดียว" จูหลงเมื่ออยู่สองคน บางเวลาก็เผลอเรียกอีกฝ่ายตามแบบเดิมที่เคยชินโดยไม่รู้ตัว ซ้ำยังรู้ว่าเจ้านายตนเองกำลังไม่พอใจเรื่องอันใดอยู่
กู่เยว่ชิงพยักหน้าแผ่วเบา จ้องมองร่างสูงของเจียงเยี่ยนฟางที่เดินหลบเข้าไปในความมืด ผมของสตรีนางนั้นช่างดูยุ่งเหยิง ประหนึ่งไปฟัดกับเสือมา แต่แผ่นหลังกลับเหยียดตรงมั่นคง พานทำให้กู่เยว่ชิงรู้สึกไม่ชอบใจ
"ในเมื่อท่านอ๋องลงมือคนเดียวไม่สำเร็จ เราก็ต้องช่วยอีกแรง" กู่เยว่ชิงว่าพลางหันไปยกยิ้มอ่อนหวานที่ไปไม่ถึงดวงตาให้สาวใช้คนสนิทของตนเอง
༻❁༺
คืนวันมงคล
หลังจากที่จันทราเคลื่อนไปเกินครึ่งท้องฟ้า เซียวลี่หยางก็ได้รับรายงานว่าสาวใช้ที่เข้าไปเก็บกาสุราได้เสียชีวิตลง
สาวใช้อีกคนที่เข้าไปด้วยกันเอ่ยเล่าทั้งน้ำตาว่า 'ตอนที่พวกหม่อมฉันเก็บกวาดห้องหอเสร็จแล้ว ก็รีบห่อเศษกาสุราไว้ด้วยผ้า เตรียมจะเอาไปทิ้ง แต่เพราะหลังจากงานมงคลเลิกราไปแล้ว ยังเหลือของที่ต้องเก็บในโถงใหญ่ค่อนข้างมาก จึงวางห่อผ้าไว้ที่ห้องครัวก่อน ฮึก...
พอเก็บของในงานเลี้ยงเสร็จแล้วอาจือก็กลับมาจัดการกับเศษกาต่อ แต่นางไม่ทันระวังถูกบาดเข้า เริ่มแรกนางก็บ่นแค่ว่ารู้สึกแสบร้อน แต่คิดว่าคงเพราะเศษของกาอาจจะยังมีสุราเคลือบไว้อยู่ ทำให้พอโดนเข้ากับบาดแผลเลยแสบไปบ้างเท่านั้นเพคะ แต่พอผ่านไปไม่นานหลังจากที่เข้านอนไปสักพักแล้ว อาจือก็เริ่มทุรนทุราย เหงื่อไหลท่วมตัว หม่อมฉันมัวแต่ตกใจยังไม่ทันทำสิ่งใด ไม่ทันเรียกคนมาช่วยดู นางก็สิ้นใจแล้ว... คิดว่านางคงนอนทนทรมานมานาน จนกระทั่งทนต่อไปไม่ไหวถึงได้พยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายมาปลุกหม่อมฉันเพคะ'
เซียวลี่หยางได้ฟังแล้วก็ให้คนไปนำกาสุราที่ทิ้งไปแล้วมาตรวจสอบดู และก็ได้พบว่ามียาพิษติดค้างอยู่จริง ๆ เขาจึงสั่งให้คนไปจับตาดูเจียงเยี่ยนฟางไว้ตั้งแต่คืนนั้น
พอเช้ามาหลังจากที่เจียงเยี่ยนฟางนำสุราขวดใหม่มาให้เขา คนที่ไปจับตาดูก็ได้รายงานว่านางแอบนัดพบเจอกับใครบางคน และสลับขวดสุราที่คนผู้นั้นมอบให้มา ก่อนจะหายเข้าไปในห้องครัวอีกรอบ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาจึงสร้างเรื่องหลอกขึ้นมา ทำทีเป็นว่าท่านอ๋องดื่มยาพิษในสุราเข้าไป จัดฉากเพื่อที่จะกำจัดนางทิ้ง
แต่เวลานี้คนที่ต้องการกำจัดทิ้ง กลับรอดตัวไปได้!
"หากเติ้งอู๋อยู่ด้วย เขาคงรอบคอบกว่านี้" หงเปาเอ่ยตำหนิตัวเองเมื่อได้ยินเสียงของเจียงเยี่ยนฟางเดินออกไปพ้นประตูของเรือนอี้แล้ว เขาไม่เป็นวิชาดาบ เป็นเพียงเพื่อนเล่นในวัยเด็กของท่านอ๋องเท่านั้น ยามนี้ถึงได้มีโอกาสอยู่รับใช้ข้างกายเจ้านาย เมื่อครู่หากท่านอ๋องกำลังอ่อนแออยู่จริง และถูกพระชายาต้องการสังหาร ตอนนี้เรื่องราวคงต่างไปจากเดิมแล้ว
เมื่อวานพอหงเปาได้ตรวจสอบสุรามงคลขวดใหม่ที่นางมอบให้ ก็รู้แล้วว่าไม่มีสิ่งใดเจือปน จึงจงใจใช้เข็มเงินเล่มเก่าที่เคยถูกใช้ไปแล้วและมีรอยดำจากพิษมาใช้เพื่อใส่ร้ายเจียงเยี่ยนฟาง แต่สุดท้ายแผนกำจัดนางและตระกูลเจียงออกไปก็ล่มไม่เป็นท่า หากรู้ว่านางเอาตัวรอดเก่งเช่นนี้ เขาคงหายาพิษจริง ๆ มาใส่ไว้ในสุราขวดนี้แล้ว
และเพราะต้องตบตาหมอหลวง ท่านอ๋องจึงต้องดื่มยาพิษจริง ๆ เข้าไป ถึงแม้จะเป็นยาพิษชนิดอ่อน แต่อย่างไรเสีย ยาพิษก็คือสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปในพระวรกายอันล้ำค่าของท่านอ๋องตั้งแต่แรกอยู่ดี
"..." เซียวลี่หยางไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงหยิบยาแก้พิษที่เตรียมไว้รออยู่ก่อนแล้วมากินเข้าไปหนึ่งเม็ด เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าสตรีนางนั้นจะใจกล้าบ้าบิ่นถึงขั้นนี้ แถมนางยังเจ้าเล่ห์ไม่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บ ซ้ำตอนจะจากไปก็ไม่ลืมข่มขู่เขาทิ้งไว้อีกด้วย
"ท่านอ๋องจะกลับบ้านเดิมกับนางจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ หากกลับไปแล้วก็เหมือนเป็นการยอมรับนางอย่างเต็มตัว" หงเปากุมแขนที่ยังรู้สึกแสบไว้แน่น
"รอดูไปก่อน" เขาเอ่ยเสียงเบา เก็บดาบบนตักเข้าที่เดิม
ด้านหงเปาก็กำลังก้มหยิบเศษกำไลหยกที่ตนเผลอขยับเท้าไปเหยียบขึ้นมาดู ชิ้นนี้น่าจะเป็นส่วนตรงกลางของกำไลพอดี สีของกำไลหยกวงนี้พิเศษมากนัก ดูก็รู้ว่าเป็นของล้ำค่า ตัววงเป็นสีขาวโดยรอบ แต่ตรงกลางกลับเป็นสีม่วงและถูกแกะสลักด้วยลวดลายดอกไม้ที่ซับซ้อน ด้านข้างของดอกไม้ยังแซมด้วยใบไม้สีเขียวเข้มอย่างพอดิบพอดี "กำไลหยกคู่นี้ ดูท่าแล้วคงจะเป็นของหายาก" หงเปาเดินไปส่งมอบเศษกำไลหยกให้เจ้านายดู รู้สึกเสียดายที่มันแตกไปแล้วหนึ่งวง เพราะเมื่อครู่เขาจำได้ว่าบนข้อมือขาวซีดของเจียงเยี่ยนฟางยังเหลืออีกวงที่คล้ายกันอยู่
"..." เซียวลี่หยางไม่ได้มีความรู้สึกผิดที่ทำของมีค่าทางจิตใจของผู้อื่นแตก ในแววตาเต็มไปด้วยความเย็นชาเพราะกำลังนึกถึงตอนที่นางสัมผัสข้อมือของเขาขึ้นมาอีกรอบพอดี ยามนั้นเขาก็ทันได้เห็นมันแล้วเหมือนกัน เป็นกำไลหยกเนื้อดีดั่งที่หงเปาพูดไม่มีผิด บนข้อมือขาวเนียนนุ่มที่เขานึกรังเกียจนั้นได้สวมกำไลซ้อนกันไว้สองวงด้วยกัน ทั้งที่หน้าตานางก็ไม่ได้น่ามอง แต่กำไลหยกก็ช่างดูเข้ากับนางอย่างน่าประหลาด "สั่งคนจับตาดูนางไว้เหมือนเดิม หาต้นตอที่มาของสุราพิษในคืนวันแต่งงานให้ได้"
"พ่ะย่ะค่ะ"
'เลิกเรียกเสียที ยังไม่รีบเช็ดน้ำตาแล้วรีบไปอีก!' น้ำเสียงนั้นดูรำคาญเหลือทน มือก็โบกไล่คนจากไป'เพคะ เพคะ! ' ยามลุกขึ้นมาย่อตัวลา เจินเจินก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วรัว ไม่เคยตื่นเต้นด้วยความดีใจขนาดนี้มาก่อน และยังเป็นครั้งแรกตั้งแต่บิดามารดาจากไป ที่มีคนให้นางได้ลองพึ่งพิงสักครั้ง เวลานี้ไม่ว่าหนทางเบื้องหน้าน้องชายจะหายดีหรือไม่ แต่ขอเพียงแค่มีคนคิดจะช่วยเหลือนางถึงขั้นนี้ ก็ดีเกินพอแล้วเจียงเยี่ยนฟางมองส่งคนจากไป ลอบถอนหายใจออกมาเพียงลำพังก่อนหน้านี้นางได้คำนวณทุกอย่างไว้แล้ว คิดว่าการตอบกลับมาจากฝั่งนั้นน่าจะไม่เกินวันที่นางต้องกลับบ้านเดิมหุบเขาเซียนกู่อยู่ห่างจากที่นี่มากนัก หากส่งจดหมายผ่านรถม้าก็เกือบสิบวัน ถ้าเป็นม้าเร็วไร้รถม้าก็ราวแปดวัน แต่ถ้าเพิ่มเงินให้เร่งเดินทางอีกหน่อย จดหมายก็ถึงในเจ็ดวันทว่าหากเป็นนกจะเร็วกว่า ใช้เวลาเพียงห้าวันไม่เกินหกวันก็ถึงที่หมายแล้ว และนางยังขอให้เร่งเวลาขึ้นอีก ดังนั้นก็จะลดเวลาลงไปได้อีกสองวัน หลังไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน นางจึงต้องให้คนของเขาเซียนกู่มารับน้องชายของเจินเจินคนละครึ่งทาง ถึงได้ให้น้องชายของเจินเจินเดินทางไปรอที่โรงเตี๊ยมเฟยฉีแ
'ข้าไม่มีเงินพอจะช่วยเจ้าได้' สินเดิมของเจียงเยี่ยนฟางก็ถูกเซียวลี่หยางยึดไปยังไม่ยอมคืน แต่อย่างไรเสีย แรกเริ่มเดิมทีของมีค่าเหล่านั้นก็ไม่ใช่ของนางอยู่แล้ว นางจึงไม่ต้องการแตะต้องแม้แต่น้อย เพียงแค่ต้องการนำกลับคืนมาให้ได้เท่านั้น ถึงมันไม่ใช่ของนางก็จริง ทว่าก็หาใช่ของเขาเช่นกัน'...' เจินเจินพยักหน้าเข้าใจ ไม่เรียกร้องสิ่งใดอีกหากแต่เมื่อกลับมาถึงเรือน คุณหนูใหญ่เจียงกลับถามนามของน้องชายนาง ก่อนจะเขียนจดหมายให้สองฉบับ ฉบับหนึ่งส่งให้นางไปมอบให้คุณชายกั่วที่มายืนรอเจอคุณหนูใหญ่เจียงอยู่ที่ประตูหน้าของจวนมาสามวันติดแล้ว กับอีกฉบับมอบให้นางไปส่งให้ใครบางคน'หากเจ้าจะออกไปข้างนอกก็ต้องทำเช่นนี้ ฉบับนี้เป็นจดหมายที่ข้าส่งให้กั่วหลีหมิ่น นำไปส่งที่จวนของเขา เวลานี้เขาคงกลับจวนไปแล้ว' เจียงเยี่ยนฟางยื่นจดหมายให้ดูว่าอันไหนเป็นอันไหน ซึ่งตัวซองจดหมายของกั่วหลีหมิ่นเป็นซองจดหมายธรรมดาที่ใช้ทั่วไป ต่างแค่ไม่ได้ปิดผนึกไว้ส่วนอีกอันไม่ได้ใส่ในซอง เป็นเพียงกระดาษแผ่นเล็ก ๆ เท่าสองนิ้วมือ ดูคล้ายจดหมายลับ 'เจ้าต้องไปรายงานท่านอ๋องก่อนเพื่อไม่ให้โดนจับได้ บอกว่าข้าให้ไปส่งจดหมายให้คุณชายรองตระ
ย้อนไปสองวันหลังจากที่เจินเจินมาอยู่กับเจียงเยี่ยนฟางพอเจียงเยี่ยนฟางได้รู้ว่าสามารถออกไปข้างนอกได้ ก็มักจะพาเจินเจินไปนั่งที่ร้านน้ำชาใกล้ ๆ กับตลาด เฝ้ามองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจากบนชั้นสองของร้าน พลางใช้ความคิดไปอยู่นานสองนาน แต่ช่วงจังหวะหนึ่งก็หันกลับมามองสาวใช้ของตน 'เจินเจิน''เจ้าค่ะคุณหนู' เจินเจินที่ยืนอยู่ข้างกายก็ขานรับออกไป นางจำต้องเรียกอีกฝ่ายต่างจากปกติ เพราะท่านอ๋องบัญชาลงมาว่า เมื่ออยู่ภายนอกจวนไม่อาจให้ใครรู้สถานะจริงของคุณหนูใหญ่เจียงได้ เพื่อกันเรื่องวุ่นวายในภายหลัง'เจ้าจะทำงานให้ใครข้าไม่สน แต่ถ้าเจ้าทำให้ข้าเดือดร้อนเมื่อไหร่ ข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่' นิ้วมือเรียวยาวกรีดกรายยกจอกน้ำชาขึ้นมาจรดริมฝีปาก อีกมือก็ยกผ้าปิดหน้าขึ้นเปิดออก็ย ท่าทางและกิริยางดงามจนพาให้ผู้มองหลงใหลแต่ผู้มองคนนั้นยามนี้กลับใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มแทนที่จะมัวมาหลงใหลในนิ้วมืองดงามของผู้อื่น!ดวงตาของเจินเจินยังคงเบิกโต ในหัวทบทวนว่านางพลาดไปจนถูกจับได้ตั้งแต่ตอนไหนกัน!แต่คิดหัวแทบแตกก็จำไม่ได้ จากที่ยืนอยู่จึงทรุดลงนั่งคุกเข่า เอาหัวโขกพื้นเสียงดังลั่น 'พระชายา ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย!!' เวลา
บทที่ 6.3คราสามไหนเลยจะทนอีก!"ช้าก่อน เมื่อวานข้าเองก็หากำไลหยกไม่เจอ บางทีอาจถูกขโมยไปเช่นเดียวกัน และหัวขโมยก็อาจจะเป็นคนเดียวกันก็ได้ มิสู้ให้ข้าช่วยพี่หญิงหาอีกแรง จะได้หากำไลของข้าและหาปิ่นของท่านไปพร้อมกันด้วย เป็นอย่างไร" เจียงเยี่ยนฟางไม่พูดเปล่า ยกมือขึ้นแล้วปัดลงกลางอากาศเพื่อสั่งให้เจินเจินไปค้นทุกคนที่กำลังจะเข้าไปในเรือนของตน"เจ้า..." จูหลิงหยุดคำพูดไว้ได้ทัน ลืมไปว่าเวลานี้ท่านอ๋องก็อยู่ด้วย "พระชายาเจียงกำลังทำอะไรเพคะ" ปากพูดกับเจียงเยี่ยนฟางแต่สายตากับเหลือบมองไปทางเจินเจินที่เดินผ่านหน้าตนเองไปแทน"พระชายาของเจ้าอยากเข้ามาค้นของในเรือนข้า หากเจอก็ได้ของคืนไป หากไม่เจอก็คือไม่เจอ แต่กำไลหยกของข้าเล่า ถ้าพวกเขาเข้ามาแล้วก็กลับออกไป ข้าจะจับมือใครดมได้อีก บางทีปิ่นที่หายไปก็อาจจะเป็นคนของพวกเจ้าที่เอาไปก็ได้นี่น่า เช่นนั้นก็ค้นตัวพวกเจ้าเสียก่อนเข้าไปให้เสร็จเถิดเพราะเมื่อวานตอนที่ข้ากำลังลองกำไลข้อมือในคลังเก็บของ จำได้ว่าข้ายังสวมกำไลหยกวงที่หายไปไว้อยู่เลย มันเป็นของที่มารดามอบให้ ข้าจึงหวงมาก ไม่เคยถอดออกเลยสักครั้ง แต่เพราะตอนนั้นกลัวกำไลที่กำลังจะลองจะกระทบกัน
"คนเช่นเจ้า ไม่คู่ควรกับจวนของข้า" น้ำเสียงเย็นชานี้ จะว่าเบาก็เบา หากแต่ทุกผู้ทุกคนที่ยืนล้อมวงอยู่ในตอนนี้กลับได้ยินกันอย่างชัดเจนสาวใช้ของกู่เยว่ชิงต่างพากันมองหน้ากันไปมา คล้ายบอกว่าเจ้านายตนเองอย่างไรก็ต้องชนะ เรื่องในวันนี้ก็คงจะเงียบไป พวกนางก็ไม่ต้องเดือดร้อนแล้ว"..." กู่เยว่ชิงที่แสร้งตีหน้าน้อยใจยกผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากอยู่ก็แอบซ่อนรอยยิ้มน้อย ๆ ไว้อย่างพึงพอใจเช่นกันเวลานี้แม้นคนถูกขู่หย่าจะก้มหน้าลงเหมือนเสียใจ แต่ใครจะไปรู้ความจริงที่นางปกปิดไว้ ซ้ำนางยังสวมผ้าปิดหน้าตลอดเวลา และก่อนที่เจียงเยี่ยนฟางจะเอ่ยออกไป นางยังพยายามบีบเสียงให้สั่นเครืออีกนิดเพื่อให้สมจริงขึ้นด้วย "...เช่นนั้นก็ให้คนของท่านอ๋องเข้าไปค้นเถิดเพคะ"เหตุการณ์ครั้งก่อนเรื่องยาพิษ ดูอย่างไรก็รู้ว่าเซียวลี่หยางพยายามทำให้นางเป็นคนผิด ไม่ว่านางจะเป็นคนวางยาจริงหรือไม่ แต่ปลายทางก็ถูกกำหนดให้นางเป็นผู้ผิดตั้งแต่แรกแล้ว ในไม่ช้าเขาก็ต้องกำจัดนางออกไปอยู่ดีและด้วยรู้แต่แรกว่าชินอ๋องผู้นี้ไม่เคยไว้ใจนาง อีกฝ่ายคงส่งคนมาเฝ้าเรือนนางไว้ตลอดอยู่แล้ว คนมาเฝ้าย่อมต้องเห็นแน่ว่ามีใครมาที่เรือนของนางในช่วงเวลาที่นาง
"ที่เจินเจินตบเจ้า หาใช่เพราะเรื่องที่เจ้าอยากพาคนเข้ามาค้นของโดยไม่ขออนุญาตจากข้า แต่ตบสั่งสอนเพื่อให้เจ้ารู้ว่าเจ้าพูดโดยไม่ทันใช้หัวคิดต่างหาก จวนอ๋องมีกฎที่ต้องปฏิบัติ แต่คนในจวนที่อยู่มานานกลับหละหลวมเสียเอง ใช้ได้เสียที่ไหน" พูดมาถึงตรงนี้เจียงเยี่ยนฟางก็หาเรื่องให้คนอื่นเดือดร้อนเล่น โดยการหันมองสาวใช้ของกู่เยว่ชิงคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ตนที่สุด และเอ่ยถามว่า "เจ้าว่าสมควรแล้วหรือไม่ที่นางถูกตบ"โดยไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน สาวใช้ก็ตอบเสียงสั่นว่า "เพ... เพคะ สมควรแล้วเพคะ" แม้นจะถูกพระชายากู่หันมองหน้าในทันที แต่นางก็ทำเพียงหลบสายตาไป ไม่ยอมกลับคำ ก็จะให้นางตอบเช่นไรได้อีก ทางหนึ่งคือพระชายากู่ที่เป็นเจ้านายของตน และเป็นผู้ที่ชินอ๋องโปรดปรานที่สุด หากแต่อีกฝั่งก็มีบิดาเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายซ้ายคอยหนุนหลัง ซ้ำยังยกฮ่องเต้ขึ้นมาขู่ แน่นอนว่าน้ำหนักต้องเอนเอียงไปทางฝั่งหลังมากกว่าอยู่แล้ว หากยามนี้นางตอบว่า 'ไม่' ภายหลังก็ต้องถูกจับไปสอบสวน ใครจะทนความเจ็บปวดได้ไหว อย่างไรก็ต้องเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ออกไปอยู่ดี มิสู้โดนพระชายากู่ทำโทษทีหลังจะยังดีเสียกว่า อย่างน้อยก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้"เจ้าล่