Masuk4 สูงส่งแล้วอย่างไร ผู้คนก็นินทาเหมือนเดิม
ในยามที่จวนชินอ๋องยังคงวุ่นวายกับการที่หัวมังกรของบ้านถูกวางยาพิษ เจียงเยี่ยนฟางกลับหนีออกไปนอกจวนทางกำแพงฝั่งด้านหลังของเรือนไม้ตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยประตูของจวนทั้งด้านหน้าและด้านหลังถูกคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา นางจึงต้องหาเส้นทางอื่นแทน สุดท้ายก็พบว่ากำแพงหลังเรือนไม้ของตนเองช่างเหมาะจะใช้ปีนออกไปพอดี และด้วยชุดของนางเป็นชุดของสตรีในพื้นที่ราบนิยมใส่ขี่ม้ากัน ดังนั้นการปีนกำแพงก็ไม่ใช่เรื่องยาก
สถานที่ซึ่งนางแวะไปที่แรกคือร้านสมุนไพร ไม่นานหลังจากเข้าไปก็กลับออกมา ก่อนจะแวะไปที่ร้านผ้ากลางตลาดต่อ
"เถ้าแก่" เจียงเยี่ยนฟางเอ่ยเรียกผู้ที่กำลังหันหลังอยู่
"แม่..." เถ้าแก่เมื่อหันมาก็ลังเล เสียงที่เขาได้ยินก่อนหันกลับมาต้อนรับลูกค้านั้นเป็นเสียงของสตรีไม่ผิดแน่นอน แม้หันมาแล้วจะตกใจกับเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวม กอปรกับความสูงที่หากมองผิวเผินก็คงจะนึกว่าบุรุษเพศ จึงทำให้เขาชะงักไปในตอนแรก แต่เขาเป็นเจ้าของร้านค้าผ้ามาเกือบสามสิบปี ย่อมรู้ว่าชุดแบบนี้คือชุดของสตรีในพื้นที่ราบอันห่างไกล จึงรีบเอ่ยอย่างกระตือรือร้นกับอีกฝ่ายว่า "แม่นาง ท่านต้องการผ้าไปตัดชุดหรือ"
"ได้ยินชาวบ้านบอกว่าร้านผ้าของท่านเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแคว้นเฉิง พอได้มาเห็นกับตาก็สมคำเล่าลือจริง ๆ"
"แม่นางมาถูกที่แล้ว ร้านข้ามีผ้าทุกแบบทุกราคาให้ท่านเลือกซื้อ!" เถ้าแก่หัวเราะชอบใจพลางผายมือไปทั่วร้านที่ตนภูมิใจนักหนา
"ข้าเป็นคนต่างถิ่นแถมความรู้น้อย แต่เจ้านายกลับใช้ข้าให้มาซื้อผ้าไปตัดชุด ตอนแรกก็ยังกังวลว่าจะเลือกได้ไม่เหมือนแบบที่เขาให้มา โชคดีที่มาเจอเถ้าแก่แล้ว" เจียงเยี่ยนฟางยกยอปอปั้นไปก่อน ตามมาด้วยการหยิบเศษผ้าผืนหนึ่งออกมา
ผ้าผืนนี้เป็นสีเขียวหม่นอมน้ำตาลไม่หนาไม่บางเกินไป สัมผัสนุ่มลื่น ดูแค่นี้ก็บอกได้เลยว่าน่าจะใส่สบาย การทอผ้าก็ค่อนข้างซับซ้อน มีไหมสีเงินแทรกอยู่ทั่วทั้งผืน ขนาดคนที่ไม่รู้เรื่องผ้าอย่างนางยังมองออกว่านี่หาใช่ผ้าที่พบเจอได้ทั่วไป
"แม่นาง! เจ้านายท่านล้อข้าเล่นแล้ว!" เถ้าแก่รีบใช้ด้ามพัดผลักมือที่กำลังถือเศษผ้ายื่นมาจ่อตรงหน้าเขาออกไป เขามองปาดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่า นี่มิใช่ผ้าที่จะสามารถซื้อหาในร้านผ้าของเขาได้ ให้กล่าวตามตรงก็คือหาซื้อที่ไหนไม่ได้เลยต่างหาก!
แม้เมื่อครู่เขาจะภูมิใจในร้านของตนหนักหนา แต่ตอนนี้ก็ต้องกล้ากลืนน้ำลายตัวเองกลับลงคอไปเหมือนเดิม ให้มันแช่อยู่ในท้องของเขาไปเสียยังจะดีกว่าต้องมาเดือดร้อนในภายหลัง! "รบกวนไม่ส่งแม่นางแล้ว" เถ้าแก่ร้านเตรียมจะหนี แทบอยากปิดร้านไปเสียเดี๋ยวนี้ ไม่สิ ไม่สิ! ย้ายร้านหนีเลยคงจะเป็นการดีที่สุด!
ผ้านั่นแค่เห็นก็ว่าน่าตกใจมากแล้ว แต่สีของมันกลับน่าตกใจยิ่งกว่า เขาทำงานด้านผ้ามานาน ย่อมมองออกว่าผ้าผืนนี้สีแต่เดิมเป็นเช่นไร อีกทั้งเศษผ้าที่ขาดแหว่งไร้รูปทรงดูอย่างไรก็เหมือนถูกตัดออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ หลอมเรื่องราวเหล่านั้นเข้าด้วยกัน จะมีใครเดาไม่ออกบ้างว่าผ้าผืนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
"เถ้าแก่ เดี๋ยวก่อน" เจียงเยี่ยนฟางมองเห็นถึงความกังวลในสีหน้าของอีกฝ่ายที่พยายามไล่ตนจากไป แต่ก็อยากได้ข้อมูลมากกว่านี้ "อย่างน้อยก็ช่วยบอกที่มาที่ไป..." นางยังเอ่ยไม่จบ เถ้าแก่ร้านก็สาวเท้าอ้อมโต๊ะมาหาด้วยความเร่งรีบ จะมาพานางออกไปด้วยตนเองให้ได้
เจียงเยี่ยนฟางที่ขี้งกเป็นทุนเดิมจึงต้องยอมกัดฟัน คว้าถุงเงินที่พกมาด้วยออกมายัดใส่มือเขา แล้วเก็บเศษผ้าเข้าไปในอกตามเดิม
"..." เถ้าแก่รับไปแล้วก็รู้สึกเหมือนถูกถ่านร้อนลวกมือ คิดจะโยนถุงเงินคืนเจ้าของ แต่ถ่านก้อนนี้หนักมากนัก ความลังเลพลันก่อเกิดขึ้นในใจ
ทว่าไม่ถึงอึดใจต่อมา ถ่านร้อนที่เถ้าแก่มัวแต่ลังเลจะรับไว้หรือไม่รับดี ก็ถูกคว้าคืนไปจนได้
"หากท่านลำบากใจ..." เจียงเยี่ยนฟางลากเสียงยาว จงใจดูท่าที
เถ้าแก่หัวเราะแห้ง ดวงตาที่หรี่เล็กลงก็มองถุงเงินในมือของอีกฝ่าย "แม่นางใจร้อนเกินไปแล้ว ใจร้อนแล้ว ๆ อายุอานามยังไม่มากแท้ ๆ" เถ้าแก่รีบคว้าถ่านร้อนกลับมา ตอนนี้พอรู้สึกถึงน้ำหนักของมันเป็นอย่างดีอีกรอบแล้ว ก็รู้สึกว่าถ่านร้อนก้อนนี้ไม่ใช่ถ่านอีกต่อไป แต่คือถุงเงินถุงทองที่ควรเป็นของเขาต่างหาก! ความรู้สึกเป็นตายก่อนหน้านี้ได้มลายหายสิ้นไปทันที
เจียงเยี่ยนฟางไม่อยากบีบบังคับอีกฝ่ายมากเกินไป แต่ก็ไม่อาจเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ได้ จึงเอ่ยว่า "ขอแค่ท่านบอกอะไรสักหน่อยก็พอ" และพอได้เห็นสีหน้าของเถ้าแก่คลายกังวลลงเล็กน้อยก็ใจชื้นขึ้นมา
ด้านเถ้าแก่ก็รีบหันไปหาลูกน้องอีกคนในร้าน และพยักหน้าให้ไปหนึ่งที เป็นอันรู้กันว่าให้เจ้าตัวเฝ้าหน้าร้านไว้ดี ๆ "แม่นางเชิญด้านใน" ก่อนหันกลับมาผายมือเชิญเจียงเยี่ยนฟางเข้าไปพูดคุยในห้องส่วนตัวด้านหลังแทน
เจียงเยี่ยนฟางไม่รอช้า เมื่อเดินพ้นประตูห้องส่วนตัวเข้าไปแล้ว ก็รีบพูดดักก่อนเลย "เข้าเรื่องเถิด ข้ามีเวลาไม่มาก"
เถ้าแก่เองก็มองออกตั้งแต่แรกว่านางไม่ได้จะมาซื้อผ้าแบบที่นางส่งมาให้เขาดู "แม่นาง หากข้าบอกท่านแล้ว ท่านกล้ารับรองความปลอดภัยให้ข้าหรือไม่"
"ร้ายแรงถึงเพียงนั้น?" เจียงเยี่ยนฟางถามไปแล้วก็ส่ายหน้าตอบกลับไป อะไรที่นางรับปากย่อมต้องเป็นสิ่งที่นางตัดสินใจแล้วว่าสามารถทำได้ นางไม่มีทางพูดส่งเดช ดังนั้นเรื่องนี้พอไม่อาจรับปากเขาได้ จึงแบมือออก คิดจะขอเงินคืน
แต่เถ้าแก่กลับกำถุงเงินแน่นมือไม่ยอมคืน เสียงของเงินที่กระทบกระทั่งกันภายในถุงผ้าทำให้น้ำหนักในใจเอนเอียงไปมาไม่แน่นอน แต่สุดท้ายชีวิตก็เหมือนจะไม่สำคัญเท่าเงินทอง หลงลืมแม้กระทั่งเชิญอีกฝ่ายไปนั่งดื่มน้ำชาตามมารยาท ถึงขั้นยืนคุยกระซิบกันอยู่หน้าประตูที่เพิ่งจะปิดลงไป
"ผ้าที่แม่นางได้มาเป็นของแคว้นจ้าว มีเพียงคนในราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถสวมใส่ได้ แล้วคนทั่วไปไหนเลยจะมีโอกาสหามาตัดชุดได้ แถมน้อยคนนักที่จะเคยเห็นด้วยซ้ำไป ไหมเงินที่แซมอยู่ในเนื้อผ้าจะว่าหายากก็หายาก แต่มีเงินใช่ว่าจะซื้อไม่ได้เสียที่ไหน ทว่าที่แคว้นจ้าวกลับมีข้อห้ามเรื่องการใช้ไหมเงินชนิดนี้อยู่ ให้ใช้ได้แค่คนของราชวงศ์เท่านั้น"
"แต่แคว้นจ้าวอยู่ห่างไกลหลายพันลี้ [1] ถึงจะเป็นไปได้ที่ผ้าจากแคว้นจ้าวสามารถมาถึงที่นี่ได้ แต่ท่านเพิ่งบอกไป ว่าไม่ใช่ใครก็สามารถมีได้"
"แม่นางถามได้ถูกแล้ว เมื่อสองปีก่อนข้าได้นำผ้าไปถวายให้พระสนมในวังหลวง ถึงแม้นปกติในวังจะมีกองดูแลฉลองพระองค์อยู่แล้ว แต่ก็ยังมีการซื้อผ้าจากด้านนอกไปอยู่บ้าง ร้านข้าเองก็ได้รับเลือกด้วย
ในตอนนั้นแทนที่ข้าจะส่งมอบของก็จบและกลับออกมาพร้อมเงิน แต่กลับถูกพระสนมนางหนึ่งต้องการวางอำนาจ พระนางจึงออกคำสั่งใช้ข้านำผ้าไปเก็บให้ที่คลังเก็บสมบัติส่วนตัว ปกติการส่งมอบผ้าในแต่ละครั้งข้าก็จะให้ลูกน้องในร้านไปส่ง แต่ครั้งนั้นเป็นการเหมาผ้าทั้งหมดในร้านที่มีราคาแพงที่สุดไป เพื่อให้พระสนมได้นำไปตัดชุดใส่ในงานเลี้ยง พระสนมจะมารวมตัวกันหมดเพื่อเลือกผ้า ข้าจำต้องไปเอง ใครมีอำนาจมากสุดก็ได้เลือกก่อน..."
"เถ้าแก่ ท่านเล่ากระชับขึ้นอีกหน่อยได้หรือไม่" เจียงเยี่ยนฟางเม้มปากเหมือนจะพยายามยิ้มให้ดูอ่อนโยน แต่ทำได้ดีสุดก็เพียงเท่านั้น และเพราะมีผ้าโปร่งปิดหน้าอยู่ เกรงว่ายิ้มไปคนตรงหน้าก็คงไม่เห็น นางจึงหุบยิ้มลงทันที
[1] ลี้ เป็นความยาวระยะทาง 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร
บทที่ 50หัวใจเคียงข้าง ตัวข้าเคียงกายท่านเมฆคล้อยเคลื่อนตามลมเปลี่ยนรูปร่างไม่ซ้ำแบบในความทรงจำ สุริยันหมุนเวียน ทิวาก็ต่างไม่เคยหยุดอยู่ที่เดิมคงมีเพียงป่าอันเงียบสงบแห่งนี้ที่ไม่ต่างจากเดิมมากนัก ไม่ว่าจะตั้งแต่ที่นางมาถึงในช่วงวสันตฤดู สาร์ทฤดู หรือกระทั่งยามนี้ที่เหมันต์ฤดูมาเยือน ล้วนคล้ายคลึงกันหมด เพียงแค่อาจจะมีดอกไม้มากหน่อยเป็นบางครั้ง หรือหนาวกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้นอีกอย่างไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือที่ไม่มีมูล ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าย่างกรายเข้ามาในนี้ สมุนไพรที่หายากจึงไม่ถูกแย่งไป แถมนางเองก็ไม่ถูกรบกวนอีกด้วย การเลือกปักหลักที่นี่จึงเป็นสิ่งที่นางภาคภูมิใจมากในช่วงนี้จนกระทั่งเส้นทางแต่เดิมที่เคยมีแค่นางย่างก้าวเดินเพียงลำพัง กลับปรากฏเงาร่างที่คุ้นเคยขึ้นมาคราแรกนางแปลกใจ แววตาหยุดนิ่งที่แผ่นหลังเหยียดตรงอันคุ้นเคย หากแต่เมื่อหัวใจที่หยุดเต้นไปแล้วส่งเสียงโครมครามอย่างตื่นเต้นดีใจออกมา ก็ทำให้นางเข้าใจว่า ตรงหน้านั่นคือความจริง หาใช่แบบที่ผ่านมา ที่คนผู้นั้นได้แต่อยู่ในฝันของนางเสวี่ยหว่านยกมือดึงหมวกสานที่สวมอยู่ลง โค้มตัวต่ำลงอีกนิด ดัดเสียงให้เป็นชายแก่ชรา เอ
"ไม่ต้องตกใจ... ข้าไม่ได้จะไปแจ้งทางการ อย่างไรเสียยาพิษที่เจ้าได้ไปก็เป็นข้าเองที่ทำขึ้นมา ก่อนหน้านี้ข้าได้มอบมันให้คุณหนูเจียงไป หากเรื่องนี้รู้ถึงหูผู้อื่นก็คงเป็นข้าที่ตกที่นั่งลำบากเช่นกัน" เสวี่ยหว่านหลอกล่อนางให้ตายใจ แม้นในความจริงก็คิดจะทำอย่างที่พูดอยู่แล้วฉือเหยียนเองก็คิดว่าตนนั้นไม่มีอะไรให้ต้องเสียอีกแล้วเหมือนกัน หลังจากล้างแค้นได้แล้ว ก็เหลือเพียงนางตัวคนเดียว ยังคิดจะจบชีวิตอยู่หลายครั้งแล้ว ดังนั้นจึงยอมเล่าออกมาหมดทุกเรื่อง"ในปีนั้นฟู่ฮูหยินกลับบ้านเดิม แต่ใต้เท้าเจียงไม่สามารถตามติดนางไปได้ อ้างว่าเพราะทางวังหลวงมีเรื่องให้ใต้เท้าเจียงต้องจัดการอยู่ แต่ใครจะคิดว่านั่นเป็นแผนของเขาที่หวังจะจับบุตรสาวของข้าทำสาวใช้อุ่นเตียง คืนนั้นเขาแสร้งเมามาย ใช้บุตรสาวของข้าเป็นที่ระบายอารมณ์จนต่อมานางก็ตั้งท้อง สตรีโฉดชั่วผู้นั้นจึงทุบตีนางจนแท้ง และเพราะเลือดนางไหลไม่หยุด บุตรสาวที่น่าสงสารของข้าก็สิ้นลมหายใจ เวลานั้นข้ายังเหลือสามีอยู่เคียงข้าง ทำให้พอยังทนแบกรับเรื่องราวได้ไหวแต่ไม่กี่เดือนก่อนเขาก็ถูกใช้ให้ไปรับคุณหนูใหญ่เจียงกลับมา ข้าทนรออยู่ที่จวนไม่ไหวเพราะรู้สึกใจไ
เซียวลี่หยางเลือกเดินลึกเข้าไปอีกนิด ด้วยคิดว่าน่าจะเป็นทางนี้มากกว่า เพราะได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากที่ไกล ๆ หากมีคนอยู่ ผู้คนมักต้องการน้ำเป็นอย่างแรก"เส้นทางรกร้างถึงขนาดนี้ คนหนุ่มเช่นเจ้าคงไม่กลัวตาย ถึงได้กล้าเดินไปทั่ว" เสียงของชายชราดังขึ้นข้างหลังเซียวลี่หยางหันไปมองก็พบชายแก่คนหนึ่งเดินถือไม้เท้าเข้ามาหา รอบกายปกคลุมด้วยผ้าผืนเก่าสีน้ำตาลเข้ม สวมหมวกฟางปีกกว้าง บนหลังยังมีตะกร้าสานใบหนึ่ง ด้วยความแก่ชราอีกฝ่ายจึงโน้มตัวด้านหน้าไม่อาจยืนหลังได้ตรง ทำให้เซียวลี่หยางมองเห็นได้ว่าในตะกร้าบนหลังของเจ้าตัวนั้นต่างเต็มไปด้วยใบไม้รูปร่างแปลกตา"ท่านเองก็อายุมากแล้ว ยังใจกล้าเข้ามาถึงในนี้ เกรงว่าคงไม่กลัวตายเช่นกัน" เซียวลี่หยางระบายยิ้มละมุนที่มุมปาก༻❁༺หลายเดือนก่อนหลังจากหนีลงเขามาได้ เสวี่ยหว่านก็เดินทางกลับไปทำสิ่งที่ได้เคยสัญญาไว้แรกเริ่มเดิมที นางคิดว่าอาจจะสามารถนำป้ายชื่อของคุณหนูเจียงกลับไปตั้งในตระกูลได้ ทว่าจวนแห่งนั้นก็ไม่หลงเหลือใครอีกแล้ว ตระกูลเจียงที่เคยเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ ต่างก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ เหลือเพียงชื่อไว้ให้ผู้คนพูดถึงแค่อีกไม่กี่ปีก็ลืมเลือนนางจึง
บทที่ 49เหนือสุดใต้หล้า จรดธาราแดนใต้ข้าจะตามหาเจ้าให้พบหากเป็นคนทั่วไปมาอ้อนวอนขอขึ้นหุบเขา ลั่วหวางเจียที่เป็นถึงเจ้าอารามคงไม่ดั้นด้นลงมาด้วยตนเอง แต่เมื่อลูกศิษย์แจ้งว่าคนด้านล่างหุบเขามาตามหาใคร ตัวเขาเองก็อยากจะดูหน้าตาของคนที่มาตามหาสตรีผู้นั้นยิ่งนักพอลงเขามาแล้ว ลั่วหวางเจียก็มองคนตรงหน้าตนเอง ผู้ที่ควรตายไปแล้วเวลานี้ก็กลับมามีชีวิตอยู่ได้ ฝีมือของเจียงเยี่ยนฟางช่างไม่ธรรมดา สมแล้วที่นางเอาแต่เฝ้าดูแลข้างกายไม่ห่าง แม้นตนเองบาดเจ็บภายในจวนเจียนจะตายก็ยังกัดฟันทนอยู่หลายวันด้านเซียวลี่หยางที่ออกเดินทางมายังหุบเขาเซียนกู่เป็นที่แรก หมายจะบุกขึ้นไปแต่ก็ไม่อาจทำได้ เวลานี้ก็เอียงหูฟังเสียงกระซิบจากเติ้งอู๋ ทำให้ได้รู้ที่มาที่ไปของคนตรงหน้า "ท่านเจ้าอาราม ก่อนหน้านี้ข้าน้อยตื่นมาไม่รู้เรื่องราวที่แน่ชัดในตอนที่หลับไป เพิ่งได้มาทราบเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าท่านเองก็เป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่ง""วกไปวนมาทำไม นางจากไปแล้ว!" ลั่วหวางเจียไม่คิดจะถามหาคำขอบคุณหรือของตอบแทน ต่างก็ตรงเข้าเรื่องเลยทันที แถมยังสะบัดมืออย่างหงุดหงิด ก่อนจะเก็บมือไพล่ไว้ด้านหลัง ยืดอกขึ้นให้ดูสง่างาม เห็นอีกฝ่าย
เมื่อกลับมาแล้วเซียวลี่หยางก็รื้อค้นของในห้องอย่างบ้าคลั่ง ไม่ลืมสั่งให้คนช่วยตามเก็บของที่เขารื้อทีละชิ้นให้กลับไปอยู่ที่เดิมอีกด้วยกระทั่งผ่านไปสักพักใหญ่เขาถึงเจอสิ่งที่ต้องการ ไม่รีรอก็รีบเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะกลางห้องซึ่งได้ให้เติ้งอู๋เตรียมน้ำร้อนไว้รออยู่แล้วในวันนั้นที่หิมะตกหนัก เจียงเยี่ยนฟางจ้องมองเขาปั้นชาเป็นก้อนโดยไม่คิดจะหลบซ่อนสายตา นางเอ่ยว่า 'ชาดอกไม้เมื่อนำไปตากให้แห้งแล้ว ภายหลังนำกลับมาแช่น้ำก็จะเบ่งบานดูสวยงาม ช่วงเวลานี้ข้างนอกหิมะตกหนัก ใช้การรมความร้อนเพื่อให้แห้งก็ถือว่าแก้ขัดได้อยู่ แต่ข้ามีเรื่องน่าสนใจยิ่งกว่า ท่านดูนี่' ในมือของนางประคองกระดาษแผ่นเล็กที่คล้ายจดหมายลับเอาไว้ พลางยื่นมือส่งมาให้เขาดู'ก็แค่กระดาษเปล่า''ชินอ๋องผู้มากความรู้อย่างท่านยังดูไม่ออก เช่นนั้นก็ถือว่าเรื่องนี้เป็นข้าคนแรกที่เพิ่งค้นพบ' เจียงเยี่ยนฟางหยิบตะกร้าสมุนไพรแห้งตัวหนึ่งมาชูให้เขาดูอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหย่อนลงในจอกชาร้อน ๆ ที่อยู่ข้างกาย 'มีครั้งหนึ่งตอนที่ข้าบดสมุนไพรตัวหนึ่งเสร็จแล้วก็นำไปวางไว้บนผ้าลองสำหรับตาก จากนั้นผ้าก็เกิดสีตามมาซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่นานมันก็จางหา
บทที่ 48ทุกวัน ล้วนคิดถึงนางเมื่อเดือนสองย่างเข้ามา ฤดูหนาวก็ใกล้ผ่านพ้นไปแล้ว อากาศข้างนอกเริ่มอุ่นขึ้นอีกนิด อิงฮวา [1] เริ่มแย้มบานต้อนรับแสงของวันใหม่เซียวลี่หยางตื่นขึ้นมาอีกครั้งในห้องโล่งและไม่คุ้นตา ขาและแขนต่างขยับไม่ได้ ล้วนถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลที่ค่อนข้างใหม่คล้ายว่าเพิ่งจะถูกเปลี่ยนไป"ท่านอ๋อง!?" เติ้งอู๋ที่ถือยาเข้ามาเกือบจะทำชามยาร่วงลงไปจากมือ เขารีบเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายอีกฝ่าย สมองยังนึกว่าตาฝันกลางวันอยู่"..." เซียวลี่หยางกลับหลับตาลงร้องไห้ออกมาเป็นสิ่งแรก เพราะนึกได้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง เสียงร้องของเขาเงียบงัน แต่ทำให้ผู้มองรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด ไหล่ไหวโคลงระรัวคล้ายคลื่นน้ำอันเปราะบาง'เจียงเยี่ยนฟางไม่อยู่แล้ว' สิ่งนี้กลับเอาแต่ย้ำเตือนอยู่ในใจทั้งที่นางตายไปแล้ว แต่ตอนที่เขากำลังเดินอยู่บนเส้นทางสีดำซึ่งทอดยาวแสนไกล เขากลับได้ยินนางเรียกเขาให้กลับมาทว่าหากเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว สตรีผู้นั้นกลับไม่ได้อยู่ข้างกายเขาอย่างที่นางรับปากในฝันอีกต่อไปวันเวลาจากนั้นราวกับอยู่ไปเหมือนคนตาย จวบจนปลายคิมหันต์ฤดู [2] เซียวลี่หยางก็กลับมาเดินได้อีกครั้ง แขนขาขยั







