4 สูงส่งแล้วอย่างไร ผู้คนก็นินทาเหมือนเดิม
ในยามที่จวนชินอ๋องยังคงวุ่นวายกับการที่หัวมังกรของบ้านถูกวางยาพิษ เจียงเยี่ยนฟางกลับหนีออกไปนอกจวนทางกำแพงฝั่งด้านหลังของเรือนไม้ตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยประตูของจวนทั้งด้านหน้าและด้านหลังถูกคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา นางจึงต้องหาเส้นทางอื่นแทน สุดท้ายก็พบว่ากำแพงหลังเรือนไม้ของตนเองช่างเหมาะจะใช้ปีนออกไปพอดี และด้วยชุดของนางเป็นชุดของสตรีในพื้นที่ราบนิยมใส่ขี่ม้ากัน ดังนั้นการปีนกำแพงก็ไม่ใช่เรื่องยาก
สถานที่ซึ่งนางแวะไปที่แรกคือร้านสมุนไพร ไม่นานหลังจากเข้าไปก็กลับออกมา ก่อนจะแวะไปที่ร้านผ้ากลางตลาดต่อ
"เถ้าแก่" เจียงเยี่ยนฟางเอ่ยเรียกผู้ที่กำลังหันหลังอยู่
"แม่..." เถ้าแก่เมื่อหันมาก็ลังเล เสียงที่เขาได้ยินก่อนหันกลับมาต้อนรับลูกค้านั้นเป็นเสียงของสตรีไม่ผิดแน่นอน แม้หันมาแล้วจะตกใจกับเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวม กอปรกับความสูงที่หากมองผิวเผินก็คงจะนึกว่าบุรุษเพศ จึงทำให้เขาชะงักไปในตอนแรก แต่เขาเป็นเจ้าของร้านค้าผ้ามาเกือบสามสิบปี ย่อมรู้ว่าชุดแบบนี้คือชุดของสตรีในพื้นที่ราบอันห่างไกล จึงรีบเอ่ยอย่างกระตือรือร้นกับอีกฝ่ายว่า "แม่นาง ท่านต้องการผ้าไปตัดชุดหรือ"
"ได้ยินชาวบ้านบอกว่าร้านผ้าของท่านเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแคว้นเฉิง พอได้มาเห็นกับตาก็สมคำเล่าลือจริง ๆ"
"แม่นางมาถูกที่แล้ว ร้านข้ามีผ้าทุกแบบทุกราคาให้ท่านเลือกซื้อ!" เถ้าแก่หัวเราะชอบใจพลางผายมือไปทั่วร้านที่ตนภูมิใจนักหนา
"ข้าเป็นคนต่างถิ่นแถมความรู้น้อย แต่เจ้านายกลับใช้ข้าให้มาซื้อผ้าไปตัดชุด ตอนแรกก็ยังกังวลว่าจะเลือกได้ไม่เหมือนแบบที่เขาให้มา โชคดีที่มาเจอเถ้าแก่แล้ว" เจียงเยี่ยนฟางยกยอปอปั้นไปก่อน ตามมาด้วยการหยิบเศษผ้าผืนหนึ่งออกมา
ผ้าผืนนี้เป็นสีเขียวหม่นอมน้ำตาลไม่หนาไม่บางเกินไป สัมผัสนุ่มลื่น ดูแค่นี้ก็บอกได้เลยว่าน่าจะใส่สบาย การทอผ้าก็ค่อนข้างซับซ้อน มีไหมสีเงินแทรกอยู่ทั่วทั้งผืน ขนาดคนที่ไม่รู้เรื่องผ้าอย่างนางยังมองออกว่านี่หาใช่ผ้าที่พบเจอได้ทั่วไป
"แม่นาง! เจ้านายท่านล้อข้าเล่นแล้ว!" เถ้าแก่รีบใช้ด้ามพัดผลักมือที่กำลังถือเศษผ้ายื่นมาจ่อตรงหน้าเขาออกไป เขามองปาดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่า นี่มิใช่ผ้าที่จะสามารถซื้อหาในร้านผ้าของเขาได้ ให้กล่าวตามตรงก็คือหาซื้อที่ไหนไม่ได้เลยต่างหาก!
แม้เมื่อครู่เขาจะภูมิใจในร้านของตนหนักหนา แต่ตอนนี้ก็ต้องกล้ากลืนน้ำลายตัวเองกลับลงคอไปเหมือนเดิม ให้มันแช่อยู่ในท้องของเขาไปเสียยังจะดีกว่าต้องมาเดือดร้อนในภายหลัง! "รบกวนไม่ส่งแม่นางแล้ว" เถ้าแก่ร้านเตรียมจะหนี แทบอยากปิดร้านไปเสียเดี๋ยวนี้ ไม่สิ ไม่สิ! ย้ายร้านหนีเลยคงจะเป็นการดีที่สุด!
ผ้านั่นแค่เห็นก็ว่าน่าตกใจมากแล้ว แต่สีของมันกลับน่าตกใจยิ่งกว่า เขาทำงานด้านผ้ามานาน ย่อมมองออกว่าผ้าผืนนี้สีแต่เดิมเป็นเช่นไร อีกทั้งเศษผ้าที่ขาดแหว่งไร้รูปทรงดูอย่างไรก็เหมือนถูกตัดออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ หลอมเรื่องราวเหล่านั้นเข้าด้วยกัน จะมีใครเดาไม่ออกบ้างว่าผ้าผืนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
"เถ้าแก่ เดี๋ยวก่อน" เจียงเยี่ยนฟางมองเห็นถึงความกังวลในสีหน้าของอีกฝ่ายที่พยายามไล่ตนจากไป แต่ก็อยากได้ข้อมูลมากกว่านี้ "อย่างน้อยก็ช่วยบอกที่มาที่ไป..." นางยังเอ่ยไม่จบ เถ้าแก่ร้านก็สาวเท้าอ้อมโต๊ะมาหาด้วยความเร่งรีบ จะมาพานางออกไปด้วยตนเองให้ได้
เจียงเยี่ยนฟางที่ขี้งกเป็นทุนเดิมจึงต้องยอมกัดฟัน คว้าถุงเงินที่พกมาด้วยออกมายัดใส่มือเขา แล้วเก็บเศษผ้าเข้าไปในอกตามเดิม
"..." เถ้าแก่รับไปแล้วก็รู้สึกเหมือนถูกถ่านร้อนลวกมือ คิดจะโยนถุงเงินคืนเจ้าของ แต่ถ่านก้อนนี้หนักมากนัก ความลังเลพลันก่อเกิดขึ้นในใจ
ทว่าไม่ถึงอึดใจต่อมา ถ่านร้อนที่เถ้าแก่มัวแต่ลังเลจะรับไว้หรือไม่รับดี ก็ถูกคว้าคืนไปจนได้
"หากท่านลำบากใจ..." เจียงเยี่ยนฟางลากเสียงยาว จงใจดูท่าที
เถ้าแก่หัวเราะแห้ง ดวงตาที่หรี่เล็กลงก็มองถุงเงินในมือของอีกฝ่าย "แม่นางใจร้อนเกินไปแล้ว ใจร้อนแล้ว ๆ อายุอานามยังไม่มากแท้ ๆ" เถ้าแก่รีบคว้าถ่านร้อนกลับมา ตอนนี้พอรู้สึกถึงน้ำหนักของมันเป็นอย่างดีอีกรอบแล้ว ก็รู้สึกว่าถ่านร้อนก้อนนี้ไม่ใช่ถ่านอีกต่อไป แต่คือถุงเงินถุงทองที่ควรเป็นของเขาต่างหาก! ความรู้สึกเป็นตายก่อนหน้านี้ได้มลายหายสิ้นไปทันที
เจียงเยี่ยนฟางไม่อยากบีบบังคับอีกฝ่ายมากเกินไป แต่ก็ไม่อาจเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ได้ จึงเอ่ยว่า "ขอแค่ท่านบอกอะไรสักหน่อยก็พอ" และพอได้เห็นสีหน้าของเถ้าแก่คลายกังวลลงเล็กน้อยก็ใจชื้นขึ้นมา
ด้านเถ้าแก่ก็รีบหันไปหาลูกน้องอีกคนในร้าน และพยักหน้าให้ไปหนึ่งที เป็นอันรู้กันว่าให้เจ้าตัวเฝ้าหน้าร้านไว้ดี ๆ "แม่นางเชิญด้านใน" ก่อนหันกลับมาผายมือเชิญเจียงเยี่ยนฟางเข้าไปพูดคุยในห้องส่วนตัวด้านหลังแทน
เจียงเยี่ยนฟางไม่รอช้า เมื่อเดินพ้นประตูห้องส่วนตัวเข้าไปแล้ว ก็รีบพูดดักก่อนเลย "เข้าเรื่องเถิด ข้ามีเวลาไม่มาก"
เถ้าแก่เองก็มองออกตั้งแต่แรกว่านางไม่ได้จะมาซื้อผ้าแบบที่นางส่งมาให้เขาดู "แม่นาง หากข้าบอกท่านแล้ว ท่านกล้ารับรองความปลอดภัยให้ข้าหรือไม่"
"ร้ายแรงถึงเพียงนั้น?" เจียงเยี่ยนฟางถามไปแล้วก็ส่ายหน้าตอบกลับไป อะไรที่นางรับปากย่อมต้องเป็นสิ่งที่นางตัดสินใจแล้วว่าสามารถทำได้ นางไม่มีทางพูดส่งเดช ดังนั้นเรื่องนี้พอไม่อาจรับปากเขาได้ จึงแบมือออก คิดจะขอเงินคืน
แต่เถ้าแก่กลับกำถุงเงินแน่นมือไม่ยอมคืน เสียงของเงินที่กระทบกระทั่งกันภายในถุงผ้าทำให้น้ำหนักในใจเอนเอียงไปมาไม่แน่นอน แต่สุดท้ายชีวิตก็เหมือนจะไม่สำคัญเท่าเงินทอง หลงลืมแม้กระทั่งเชิญอีกฝ่ายไปนั่งดื่มน้ำชาตามมารยาท ถึงขั้นยืนคุยกระซิบกันอยู่หน้าประตูที่เพิ่งจะปิดลงไป
"ผ้าที่แม่นางได้มาเป็นของแคว้นจ้าว มีเพียงคนในราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถสวมใส่ได้ แล้วคนทั่วไปไหนเลยจะมีโอกาสหามาตัดชุดได้ แถมน้อยคนนักที่จะเคยเห็นด้วยซ้ำไป ไหมเงินที่แซมอยู่ในเนื้อผ้าจะว่าหายากก็หายาก แต่มีเงินใช่ว่าจะซื้อไม่ได้เสียที่ไหน ทว่าที่แคว้นจ้าวกลับมีข้อห้ามเรื่องการใช้ไหมเงินชนิดนี้อยู่ ให้ใช้ได้แค่คนของราชวงศ์เท่านั้น"
"แต่แคว้นจ้าวอยู่ห่างไกลหลายพันลี้ [1] ถึงจะเป็นไปได้ที่ผ้าจากแคว้นจ้าวสามารถมาถึงที่นี่ได้ แต่ท่านเพิ่งบอกไป ว่าไม่ใช่ใครก็สามารถมีได้"
"แม่นางถามได้ถูกแล้ว เมื่อสองปีก่อนข้าได้นำผ้าไปถวายให้พระสนมในวังหลวง ถึงแม้นปกติในวังจะมีกองดูแลฉลองพระองค์อยู่แล้ว แต่ก็ยังมีการซื้อผ้าจากด้านนอกไปอยู่บ้าง ร้านข้าเองก็ได้รับเลือกด้วย
ในตอนนั้นแทนที่ข้าจะส่งมอบของก็จบและกลับออกมาพร้อมเงิน แต่กลับถูกพระสนมนางหนึ่งต้องการวางอำนาจ พระนางจึงออกคำสั่งใช้ข้านำผ้าไปเก็บให้ที่คลังเก็บสมบัติส่วนตัว ปกติการส่งมอบผ้าในแต่ละครั้งข้าก็จะให้ลูกน้องในร้านไปส่ง แต่ครั้งนั้นเป็นการเหมาผ้าทั้งหมดในร้านที่มีราคาแพงที่สุดไป เพื่อให้พระสนมได้นำไปตัดชุดใส่ในงานเลี้ยง พระสนมจะมารวมตัวกันหมดเพื่อเลือกผ้า ข้าจำต้องไปเอง ใครมีอำนาจมากสุดก็ได้เลือกก่อน..."
"เถ้าแก่ ท่านเล่ากระชับขึ้นอีกหน่อยได้หรือไม่" เจียงเยี่ยนฟางเม้มปากเหมือนจะพยายามยิ้มให้ดูอ่อนโยน แต่ทำได้ดีสุดก็เพียงเท่านั้น และเพราะมีผ้าโปร่งปิดหน้าอยู่ เกรงว่ายิ้มไปคนตรงหน้าก็คงไม่เห็น นางจึงหุบยิ้มลงทันที
[1] ลี้ เป็นความยาวระยะทาง 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร
เจียงเยี่ยนฟางคร้านจะพูดมาก นางเดินมากระชากแขนของหงเปาไปนั่งตรงที่นางบอก นึกย้อนไปหลายสิบปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้นางพูดมากที่สุดแล้ว ปกติวัน ๆ หนึ่งนางเอ่ยออกมาแทบจะนับคำได้เลย ยามนี้จึงเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาเมื่อต้องพูดหลายรอบเกินไปหงเปาที่ถูกกดไหล่ให้นั่งลงบนเก้าอี้ก็ตัวแข็งเกร็ง ก้นแทบจะระบมเพราะแรงกระแทก แต่กลับไม่กล้าร้องออกมาแม้ครึ่งคำ เพิ่งเคยเห็นสตรีที่ทำท่าทางไม่พอใจเขาถึงขนาดนี้เป็นครั้งแรก แม้เขาจะบอกว่าตนเป็นบ่าวของชินอ๋อง แต่เบื้องหลังเขาเองก็ไม่ใช่ครอบครัวธรรมดา เป็นถึงตระกูลที่ร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของแคว้นเฉิงตระกูลของเขาดูแลเรื่องการค้าขายระหว่างแคว้นมาตั้งแต่รุ่นก่อน ตัวเขาถึงได้เข้าไปเป็นสหายร่วมเรียนกับเหล่าองค์ชาย ด้วยเพราะฮ่องเต้พระองค์ก่อนต้องการอำนาจของตระกูลเขา บิดาจึงก็ได้รับเกียรติไม่ต่างกับขุนนางราชสำนัก เป็นที่เชิดหน้าชูตาในแวดวงการค้าไม่น้อย ทำให้เหล่าสตรีไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านทั่วไป หรือคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ก็ยังต้องเคารพเขาอยู่แปดส่วน แต่คุณหนูใหญ่เจียงผู้นี้กลับแสดงความไม่พอใจอย่างออกนอกหน้าเพียงเพราะเขาไม่ยอมทำตามที่นางสั่งเนี่ยนะ?!"เลิกขึ
5 พิสูจน์อีกกี่ครา รอดไปอีกกี่หน"พระชายาเจียง เหตุใดถึงออกมานอกจวนไม่บอกผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ" หงเปามองดูคุณหนูใหญ่เจียงที่แต่งเข้ามายังไม่พ้นสามวันก็ทำให้เขามีเรื่องปวดหัวไปแล้วสี่ครั้งอย่างจนปัญญา"ถ้าบอกแล้ว ท่านอ๋องจะให้ออกมา?" เจียงเยี่ยนฟางหัวเราะแผ่วเบาเมื่อเห็นสีหน้าของหงเปาที่ดูตกใจกับการย้อนถามของนาง ก่อนจะเดินนำหน้าผ่านตัวเขาไป "เป็นเจ้าไม่ใช่รึ ที่บอกไม่ให้เดินเพ่นพ่านในจวน ข้าเลยออกมาเดินข้างนอกแทน เวลานี้ต่อให้ผิดหรือไม่ ก็ยังไม่ดีพอในสายตาของพวกเจ้าอยู่ดี"หงเปาเม้มปากแน่น ที่นางกล่าวมาก็ไม่ผิดแม้ครึ่งคำ และในตอนที่มัวแต่คิดเรื่องที่นางพูดออกมาเมื่อครู่อยู่ สตรีผู้นั้นเพียงหนึ่งลมหายใจก็ทิ้งห่างไปเขาหลายก้าวแล้ว พาให้เขาเร่งเท้าต้องเดินตามจนน่าหงุดหงิดใจ "นั่นก็เป็นเพราะพระชายาทำกิริยาไม่สำรวม ท่านอ๋องถึงให้พระชายาประทับอยู่ที่เรือนด้านหลังเป็นการลงโทษ เหตุใดจึงไม่อยู่อย่างสงบเสงี่ยม"สงบเสงี่ยม? เจียงเยี่ยนฟางได้ยินแล้วก็เค้นเสียงเย็นในใจ เป็นแค่คนรับใช้ข้างกายท่านอ๋อง แต่กล้าพูดกับนางด้วยคำคำนี้? "ท่านอ๋องของเจ้าสั่งให้ข้าอยู่เรือนเก่าทรุดโทรม ไม่มีคนมาทำความสะอาด ข้าไม่เคย
ดังเสียจนเจียงเยี่ยนฟางยังตกใจไปด้วย นางกำลังสนุกอยู่เลย อยากรู้ว่าใครจะวางเงินเดิมพันมากที่สุด และพวกเขาจะคาดเดาว่านางจะอยู่ได้นานเท่าไรกันบ้าง ส่วนเวลาในใจของนางนั้น ย่อมไม่เกินสองเดือนอย่างแน่นอน!"หลีหมิ่น เจ้าเป็นอะไรของเจ้ากัน!" ห้องด้านข้างเริ่มโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงลากเก้าอี้เหมือนคนกำลังจะลุกขึ้น"นี่! หลีหมิ่น!"เจียงเยี่ยนฟางที่นั่งสงบนิ่งมาตั้งนานถึงกลับชะงักค้าง มือที่ถือจอกชาจะยกดื่มพลันรีบวางลงที่เดิม ก่อนหยิบจดหมายในสาบเสื้อออกมาดู หน้าซองจดหมายเขียนไว้ว่า 'พี่หลีหมิ่น' นิ้วเรียวจิกซองจดหมายแน่น ตัดสินใจลุกขึ้นทันทีค่าห้องในครั้งนี้ ไม่คุ้มค่าเท่าไรแล้ว!เมื่อเดินพ้นประตูห้องออกมานางยังคงได้ยินเสียงบ่นของคนในห้องตามมาไม่หยุด ส่วนด้านหน้าของนางเวลานี้ก็คือบุรุษร่างสูงในชุดสีน้ำเงินเข้มที่สะท้อนแสงไฟในหอน้ำชาจนมันเลื่อม ยิ่งยามที่อีกฝ่ายเร่งรีบเดินด้วยความเร็วเพราะไม่พอใจจะรีบจากไป ก็ทำให้เนื้อผ้าขยับไปมาอย่างพลิ้วไหว พาให้คนดูสูงส่ง เพียงแค่แผ่นหลังก็พานให้ผู้คนหลงใหลได้แล้วเวลาเดียวกันนั้น เจียงเยี่ยนฟางที่เคยนึกภูมิใจว่าตนเองขายาว เดินไวกว่าสตรีนางอื่น
"อะแฮ่ม" เถ้าแก่กระแอมไอ ด้วยนิสัยเดิมขี้คุยโวโอ้อวด การที่คุยแบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าตนนั้นเป็นร้านผ้าขึ้นชื่อที่เหล่าสนมชื่นชอบผ้าร้านเขาขนาดไหน ทำให้หลงลืมไปแล้วว่าแม่นางตรงหน้ากำลังรีบร้อนอยู่ "ระหว่างทางคนของพระสนมที่นำทางให้ข้าก็ดันปวดท้องเข้าห้องน้ำ จึงให้ข้ายืนรอก่อน แต่ขันทีผู้ดูแลวังในที่ผ่านมาพอดีก็กลับเข้าใจผิด เขาเจอข้าเข้าและคิดว่าข้านำผ้าอีกส่วนมาส่งตามวันที่ได้นัดหมายกัน ข้าเองก็เข้าใจผิดไปในตอนแรก คิดว่าเขาจะนำทางข้าเอาผ้าไปเก็บในคลังของพระสนมพระนางนั้น แต่เขากลับพาไปที่คลังเก็บผ้าของของวังหลวงแทน สิ่งที่ข้าเจอในห้องเก็บผ้าของวังหลวงก็คือผ้าจากแคว้นจ้าว! ผู้ดูแลเห็นข้ามองอย่างสนใจก็ยิ้มเยาะข้า! เหอะ! ก็ข้าไม่เคยเห็นนี่... ""..." เจียงเยี่ยนฟางจ้องมองนิ่ง เขาคิดจะออกนอกเรื่องอีกแล้ว? เถ้าแก่ถูกสายตาด่าแทนการพูดส่งมาถึง ก็รีบกระแอมไอกลบเกลื่อน กลับเข้าเรื่องสำคัญต่อ "อะแฮ่ม ขันทีผู้ดูแลก็เลยบอกว่า แคว้นจ้าวเพิ่งนำมาส่งมอบเป็นของบรรณาการเมื่อหกวันก่อน แต่เหมือนฮ่องเต้ดูจะไม่ทรงชอบสีและลวดลาย จึงให้จัดไว้ในคลังผ้าสำหรับตัดเย็บให้คนในวังทั่วไป..." เถ้าแก่มองซ้ายมองขวาเหม
4 สูงส่งแล้วอย่างไร ผู้คนก็นินทาเหมือนเดิมในยามที่จวนชินอ๋องยังคงวุ่นวายกับการที่หัวมังกรของบ้านถูกวางยาพิษ เจียงเยี่ยนฟางกลับหนีออกไปนอกจวนทางกำแพงฝั่งด้านหลังของเรือนไม้ตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยประตูของจวนทั้งด้านหน้าและด้านหลังถูกคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา นางจึงต้องหาเส้นทางอื่นแทน สุดท้ายก็พบว่ากำแพงหลังเรือนไม้ของตนเองช่างเหมาะจะใช้ปีนออกไปพอดี และด้วยชุดของนางเป็นชุดของสตรีในพื้นที่ราบนิยมใส่ขี่ม้ากัน ดังนั้นการปีนกำแพงก็ไม่ใช่เรื่องยากสถานที่ซึ่งนางแวะไปที่แรกคือร้านสมุนไพร ไม่นานหลังจากเข้าไปก็กลับออกมา ก่อนจะแวะไปที่ร้านผ้ากลางตลาดต่อ"เถ้าแก่" เจียงเยี่ยนฟางเอ่ยเรียกผู้ที่กำลังหันหลังอยู่"แม่..." เถ้าแก่เมื่อหันมาก็ลังเล เสียงที่เขาได้ยินก่อนหันกลับมาต้อนรับลูกค้านั้นเป็นเสียงของสตรีไม่ผิดแน่นอน แม้หันมาแล้วจะตกใจกับเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวม กอปรกับความสูงที่หากมองผิวเผินก็คงจะนึกว่าบุรุษเพศ จึงทำให้เขาชะงักไปในตอนแรก แต่เขาเป็นเจ้าของร้านค้าผ้ามาเกือบสามสิบปี ย่อมรู้ว่าชุดแบบนี้คือชุดของสตรีในพื้นที่ราบอันห่างไกล จึงรีบเอ่ยอย่างกระตือรือร้นกับอีกฝ่ายว่า "แม่นาง ท่านต้องการผ้าไปตัดชุดหรื
อีกฝั่งหนึ่งจูหลิงที่ขยับกายหลบไปข้างเสาอีกนิดก็เอ่ยขึ้นว่า "ดูเหมือนนางจะรู้ตัวว่าพวกเรามาแอบดูอยู่เลยนะเพคะพระชายา""ไกลขนาดนี้แถมเรายังอยู่ในที่มืด นางไม่น่าจะมองเห็น" กู่เยว่ชิงเข้าใจถูกแล้ว เจียงเยี่ยนฟางมิได้มองเห็นพวกนางชัดขนาดนั้น เพียงแค่คาดเดาจากเงาร่างเลือนรางก็เท่านั้น"แล้วเหตุใดนางถึงยังไม่โดนจับไปขังคุกอีก มิใช่ว่าท่านอ๋องทรงแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าเป็นนางที่วางยา""บิดาของนางเป็นถึงขุนนางฝ่ายซ้าย ต่อให้ท่านอ๋องคาดการณ์ว่านางอาจเป็นคนของฮ่องเต้ส่งมา แล้วอยากจับนางโยนออกไปเสียเดี๋ยวนี้ก็คงเป็นเรื่องที่เกินกำลัง ตัวนางมีคนหนุน หลังถึงขนาดนั้น คงไม่อาจทำอะไรบุ่มบ่าม" กู่เยว่ชิงเอ่ยวาจานุ่มนวล ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ มือที่แอบซ่อนไว้ในแขนเสื้อก็บีบเข้าหากันแน่นเพื่อระบายอารมณ์ นึกน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง เพียงเพราะชาติกำเนิดของนางต้อยต่ำ หาไม่แล้วยามนี้นางคงได้ขึ้นเป็นพระชายาเอกไปนานแล้วสองปีก่อนที่ตบแต่งเข้ามา ท่านอ๋องยืนยันหนักแน่นว่าจะรับนางเป็นพระชายาเอกและจะไม่ตบแต่งผู้ใดอีก หากแต่ไทเฮาและฮ่องเต้ทรงเห็นพ้องต้องกันว่า ครอบครัวของนางเป็นเพียงแค่สามัญชนที่เพิ่งได