4 สูงส่งแล้วอย่างไร ผู้คนก็นินทาเหมือนเดิม
ในยามที่จวนชินอ๋องยังคงวุ่นวายกับการที่หัวมังกรของบ้านถูกวางยาพิษ เจียงเยี่ยนฟางกลับหนีออกไปนอกจวนทางกำแพงฝั่งด้านหลังของเรือนไม้ตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยประตูของจวนทั้งด้านหน้าและด้านหลังถูกคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา นางจึงต้องหาเส้นทางอื่นแทน สุดท้ายก็พบว่ากำแพงหลังเรือนไม้ของตนเองช่างเหมาะจะใช้ปีนออกไปพอดี และด้วยชุดของนางเป็นชุดของสตรีในพื้นที่ราบนิยมใส่ขี่ม้ากัน ดังนั้นการปีนกำแพงก็ไม่ใช่เรื่องยาก
สถานที่ซึ่งนางแวะไปที่แรกคือร้านสมุนไพร ไม่นานหลังจากเข้าไปก็กลับออกมา ก่อนจะแวะไปที่ร้านผ้ากลางตลาดต่อ
"เถ้าแก่" เจียงเยี่ยนฟางเอ่ยเรียกผู้ที่กำลังหันหลังอยู่
"แม่..." เถ้าแก่เมื่อหันมาก็ลังเล เสียงที่เขาได้ยินก่อนหันกลับมาต้อนรับลูกค้านั้นเป็นเสียงของสตรีไม่ผิดแน่นอน แม้หันมาแล้วจะตกใจกับเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวม กอปรกับความสูงที่หากมองผิวเผินก็คงจะนึกว่าบุรุษเพศ จึงทำให้เขาชะงักไปในตอนแรก แต่เขาเป็นเจ้าของร้านค้าผ้ามาเกือบสามสิบปี ย่อมรู้ว่าชุดแบบนี้คือชุดของสตรีในพื้นที่ราบอันห่างไกล จึงรีบเอ่ยอย่างกระตือรือร้นกับอีกฝ่ายว่า "แม่นาง ท่านต้องการผ้าไปตัดชุดหรือ"
"ได้ยินชาวบ้านบอกว่าร้านผ้าของท่านเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแคว้นเฉิง พอได้มาเห็นกับตาก็สมคำเล่าลือจริง ๆ"
"แม่นางมาถูกที่แล้ว ร้านข้ามีผ้าทุกแบบทุกราคาให้ท่านเลือกซื้อ!" เถ้าแก่หัวเราะชอบใจพลางผายมือไปทั่วร้านที่ตนภูมิใจนักหนา
"ข้าเป็นคนต่างถิ่นแถมความรู้น้อย แต่เจ้านายกลับใช้ข้าให้มาซื้อผ้าไปตัดชุด ตอนแรกก็ยังกังวลว่าจะเลือกได้ไม่เหมือนแบบที่เขาให้มา โชคดีที่มาเจอเถ้าแก่แล้ว" เจียงเยี่ยนฟางยกยอปอปั้นไปก่อน ตามมาด้วยการหยิบเศษผ้าผืนหนึ่งออกมา
ผ้าผืนนี้เป็นสีเขียวหม่นอมน้ำตาลไม่หนาไม่บางเกินไป สัมผัสนุ่มลื่น ดูแค่นี้ก็บอกได้เลยว่าน่าจะใส่สบาย การทอผ้าก็ค่อนข้างซับซ้อน มีไหมสีเงินแทรกอยู่ทั่วทั้งผืน ขนาดคนที่ไม่รู้เรื่องผ้าอย่างนางยังมองออกว่านี่หาใช่ผ้าที่พบเจอได้ทั่วไป
"แม่นาง! เจ้านายท่านล้อข้าเล่นแล้ว!" เถ้าแก่รีบใช้ด้ามพัดผลักมือที่กำลังถือเศษผ้ายื่นมาจ่อตรงหน้าเขาออกไป เขามองปาดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่า นี่มิใช่ผ้าที่จะสามารถซื้อหาในร้านผ้าของเขาได้ ให้กล่าวตามตรงก็คือหาซื้อที่ไหนไม่ได้เลยต่างหาก!
แม้เมื่อครู่เขาจะภูมิใจในร้านของตนหนักหนา แต่ตอนนี้ก็ต้องกล้ากลืนน้ำลายตัวเองกลับลงคอไปเหมือนเดิม ให้มันแช่อยู่ในท้องของเขาไปเสียยังจะดีกว่าต้องมาเดือดร้อนในภายหลัง! "รบกวนไม่ส่งแม่นางแล้ว" เถ้าแก่ร้านเตรียมจะหนี แทบอยากปิดร้านไปเสียเดี๋ยวนี้ ไม่สิ ไม่สิ! ย้ายร้านหนีเลยคงจะเป็นการดีที่สุด!
ผ้านั่นแค่เห็นก็ว่าน่าตกใจมากแล้ว แต่สีของมันกลับน่าตกใจยิ่งกว่า เขาทำงานด้านผ้ามานาน ย่อมมองออกว่าผ้าผืนนี้สีแต่เดิมเป็นเช่นไร อีกทั้งเศษผ้าที่ขาดแหว่งไร้รูปทรงดูอย่างไรก็เหมือนถูกตัดออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ หลอมเรื่องราวเหล่านั้นเข้าด้วยกัน จะมีใครเดาไม่ออกบ้างว่าผ้าผืนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
"เถ้าแก่ เดี๋ยวก่อน" เจียงเยี่ยนฟางมองเห็นถึงความกังวลในสีหน้าของอีกฝ่ายที่พยายามไล่ตนจากไป แต่ก็อยากได้ข้อมูลมากกว่านี้ "อย่างน้อยก็ช่วยบอกที่มาที่ไป..." นางยังเอ่ยไม่จบ เถ้าแก่ร้านก็สาวเท้าอ้อมโต๊ะมาหาด้วยความเร่งรีบ จะมาพานางออกไปด้วยตนเองให้ได้
เจียงเยี่ยนฟางที่ขี้งกเป็นทุนเดิมจึงต้องยอมกัดฟัน คว้าถุงเงินที่พกมาด้วยออกมายัดใส่มือเขา แล้วเก็บเศษผ้าเข้าไปในอกตามเดิม
"..." เถ้าแก่รับไปแล้วก็รู้สึกเหมือนถูกถ่านร้อนลวกมือ คิดจะโยนถุงเงินคืนเจ้าของ แต่ถ่านก้อนนี้หนักมากนัก ความลังเลพลันก่อเกิดขึ้นในใจ
ทว่าไม่ถึงอึดใจต่อมา ถ่านร้อนที่เถ้าแก่มัวแต่ลังเลจะรับไว้หรือไม่รับดี ก็ถูกคว้าคืนไปจนได้
"หากท่านลำบากใจ..." เจียงเยี่ยนฟางลากเสียงยาว จงใจดูท่าที
เถ้าแก่หัวเราะแห้ง ดวงตาที่หรี่เล็กลงก็มองถุงเงินในมือของอีกฝ่าย "แม่นางใจร้อนเกินไปแล้ว ใจร้อนแล้ว ๆ อายุอานามยังไม่มากแท้ ๆ" เถ้าแก่รีบคว้าถ่านร้อนกลับมา ตอนนี้พอรู้สึกถึงน้ำหนักของมันเป็นอย่างดีอีกรอบแล้ว ก็รู้สึกว่าถ่านร้อนก้อนนี้ไม่ใช่ถ่านอีกต่อไป แต่คือถุงเงินถุงทองที่ควรเป็นของเขาต่างหาก! ความรู้สึกเป็นตายก่อนหน้านี้ได้มลายหายสิ้นไปทันที
เจียงเยี่ยนฟางไม่อยากบีบบังคับอีกฝ่ายมากเกินไป แต่ก็ไม่อาจเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ได้ จึงเอ่ยว่า "ขอแค่ท่านบอกอะไรสักหน่อยก็พอ" และพอได้เห็นสีหน้าของเถ้าแก่คลายกังวลลงเล็กน้อยก็ใจชื้นขึ้นมา
ด้านเถ้าแก่ก็รีบหันไปหาลูกน้องอีกคนในร้าน และพยักหน้าให้ไปหนึ่งที เป็นอันรู้กันว่าให้เจ้าตัวเฝ้าหน้าร้านไว้ดี ๆ "แม่นางเชิญด้านใน" ก่อนหันกลับมาผายมือเชิญเจียงเยี่ยนฟางเข้าไปพูดคุยในห้องส่วนตัวด้านหลังแทน
เจียงเยี่ยนฟางไม่รอช้า เมื่อเดินพ้นประตูห้องส่วนตัวเข้าไปแล้ว ก็รีบพูดดักก่อนเลย "เข้าเรื่องเถิด ข้ามีเวลาไม่มาก"
เถ้าแก่เองก็มองออกตั้งแต่แรกว่านางไม่ได้จะมาซื้อผ้าแบบที่นางส่งมาให้เขาดู "แม่นาง หากข้าบอกท่านแล้ว ท่านกล้ารับรองความปลอดภัยให้ข้าหรือไม่"
"ร้ายแรงถึงเพียงนั้น?" เจียงเยี่ยนฟางถามไปแล้วก็ส่ายหน้าตอบกลับไป อะไรที่นางรับปากย่อมต้องเป็นสิ่งที่นางตัดสินใจแล้วว่าสามารถทำได้ นางไม่มีทางพูดส่งเดช ดังนั้นเรื่องนี้พอไม่อาจรับปากเขาได้ จึงแบมือออก คิดจะขอเงินคืน
แต่เถ้าแก่กลับกำถุงเงินแน่นมือไม่ยอมคืน เสียงของเงินที่กระทบกระทั่งกันภายในถุงผ้าทำให้น้ำหนักในใจเอนเอียงไปมาไม่แน่นอน แต่สุดท้ายชีวิตก็เหมือนจะไม่สำคัญเท่าเงินทอง หลงลืมแม้กระทั่งเชิญอีกฝ่ายไปนั่งดื่มน้ำชาตามมารยาท ถึงขั้นยืนคุยกระซิบกันอยู่หน้าประตูที่เพิ่งจะปิดลงไป
"ผ้าที่แม่นางได้มาเป็นของแคว้นจ้าว มีเพียงคนในราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถสวมใส่ได้ แล้วคนทั่วไปไหนเลยจะมีโอกาสหามาตัดชุดได้ แถมน้อยคนนักที่จะเคยเห็นด้วยซ้ำไป ไหมเงินที่แซมอยู่ในเนื้อผ้าจะว่าหายากก็หายาก แต่มีเงินใช่ว่าจะซื้อไม่ได้เสียที่ไหน ทว่าที่แคว้นจ้าวกลับมีข้อห้ามเรื่องการใช้ไหมเงินชนิดนี้อยู่ ให้ใช้ได้แค่คนของราชวงศ์เท่านั้น"
"แต่แคว้นจ้าวอยู่ห่างไกลหลายพันลี้ [1] ถึงจะเป็นไปได้ที่ผ้าจากแคว้นจ้าวสามารถมาถึงที่นี่ได้ แต่ท่านเพิ่งบอกไป ว่าไม่ใช่ใครก็สามารถมีได้"
"แม่นางถามได้ถูกแล้ว เมื่อสองปีก่อนข้าได้นำผ้าไปถวายให้พระสนมในวังหลวง ถึงแม้นปกติในวังจะมีกองดูแลฉลองพระองค์อยู่แล้ว แต่ก็ยังมีการซื้อผ้าจากด้านนอกไปอยู่บ้าง ร้านข้าเองก็ได้รับเลือกด้วย
ในตอนนั้นแทนที่ข้าจะส่งมอบของก็จบและกลับออกมาพร้อมเงิน แต่กลับถูกพระสนมนางหนึ่งต้องการวางอำนาจ พระนางจึงออกคำสั่งใช้ข้านำผ้าไปเก็บให้ที่คลังเก็บสมบัติส่วนตัว ปกติการส่งมอบผ้าในแต่ละครั้งข้าก็จะให้ลูกน้องในร้านไปส่ง แต่ครั้งนั้นเป็นการเหมาผ้าทั้งหมดในร้านที่มีราคาแพงที่สุดไป เพื่อให้พระสนมได้นำไปตัดชุดใส่ในงานเลี้ยง พระสนมจะมารวมตัวกันหมดเพื่อเลือกผ้า ข้าจำต้องไปเอง ใครมีอำนาจมากสุดก็ได้เลือกก่อน..."
"เถ้าแก่ ท่านเล่ากระชับขึ้นอีกหน่อยได้หรือไม่" เจียงเยี่ยนฟางเม้มปากเหมือนจะพยายามยิ้มให้ดูอ่อนโยน แต่ทำได้ดีสุดก็เพียงเท่านั้น และเพราะมีผ้าโปร่งปิดหน้าอยู่ เกรงว่ายิ้มไปคนตรงหน้าก็คงไม่เห็น นางจึงหุบยิ้มลงทันที
[1] ลี้ เป็นความยาวระยะทาง 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร
ยามนี้ผ่านไปนานเกือบสิบเอ็ดปี จดหมายฉบับแรกนอกเหนือจากเงินที่เขาส่งมาให้ ก็คือเรียกข้ากลับไปแต่งงาน แต่ข้าไม่อยากแต่ง ข้ามีคนที่ข้ารัก...คนผู้นั้นเป็นเหมือนดั่งพี่ชายของข้า เป็นเหมือนดั่งสหายของข้า พวกเราเจอกันตั้งแต่ข้าอยู่ที่เมืองหลวง จนข้าจากไปไกลจึงทำได้เพียงเขียนจดหมายกลับไปหาเขา นับแต่นั้นมา ก็มีเขาที่ยังคอยห่วงหาข้าตลอด เราให้สัญญากัน ข้าเองก็รับปากแล้วว่าจะเป็นภรรยาของเขา" เวลามีเรื่องคิดไม่ตก เจียงเยี่ยนฟางมักจะติดนิสัยเดิม โดยชอบหยิบผ้าผูกผมที่ป้าซูทำให้มาจับเล่นอย่างเผลอตัว ในตอนนี้เองก็เช่นกันเสวี่ยหว่านมองตามมือของนางไปก็พบว่าสิ่งที่นางจับอยู่คือผ้าผูกผมรูปดอกไม้ที่มีปักลายเฉพาะ ผ้าผูกผมชิ้นนั้นดูไม่เข้ากับชุดที่เจียงเยี่ยนฟางขอสลับของนางไปใส่แม้แต่น้อย จังหวะต่อมาจึงเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายแล้วถาม "...แล้วคนผู้นั้นตอนนี้เขารู้หรือไม่ว่าท่านกำลังจะไปแต่งงาน"เสวี่ยหว่านเป็นหมอยาพิษ การทำงานในจุดนี้ของนางย่อมพบเจอคนตายมาไม่น้อย จิตใจนับว่าด้านชาจนแทบไร้ความรู้สึก ยิ่งไม่สนใจเรื่องความรัก ยิ่งเมื่อได้ฟังก็เกิดสับสน บุรุษผู้นั้นดูแล้วน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาที่สามารถเข้าออกจวนขุนนางจ
เรื่องนี้เป็นความลับของนาง แต่ก็ไม่คิดจะปิดบังคนที่ช่วยชีวิตตนเองไว้ อีกทั้งนางก็ทะนงตนว่า สตรีตัวเล็กเช่นคนตรงหน้าไม่มีทางทำอะไรตนเองได้ หรือต่อให้อีกฝ่ายเอาเรื่องนางไปป่าวประกาศบอกผู้อื่นจนนางเดือดร้อน นางก็คิดว่านางสามารถแบกรับไหว"!!!" สองคนในรถม้าต่างตกใจ คนที่จะทำงานด้านนี้ได้มือต้องแปดเปื้อนมาไม่น้อย แต่สตรีตรงหน้าถึงจะไม่ค่อยยิ้ม ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงกลับน่าฟัง ท่าทางไม่ถึงขั้นอ่อนหวานเหมือนสตรีที่ได้รับการอบรม แต่ท่าทางก็ดูนุ่มนวลไม่หยาบกระด้าง การพูดการจาก็ดูมีมารยาทไม่ทำตัวโผงผาง หากบอกว่าเป็นบุตรสาวตระกูลร่ำรวยพวกนางก็เชื่อ ไหนเลยจะถูกอีกฝ่ายใช้รูปลักษณ์ภายนอกมาตบตาเข้าให้แล้ว"คุณหนูทั้งสองไม่ต้องตกใจไป ผู้ที่มีบุญคุณ เสวี่ยหว่านผู้นี้ ย่อมไม่คิดร้ายด้วย อีกทั้งก็เป็นเพียงผู้ทำยาพิษและยาแก้พิษ ไม่ใช่ผู้ใช้พิษเสียหน่อย" เรื่องหลังนั้น... แน่นอนว่า ย่อมโกหกไปเจ็ดส่วน!อีกสองสามวันต่อมา เสวี่ยหว่านผู้นี้ก็ไม่ยอมจากไปเสียที จนซูเจียวเริ่มทนไม่ไหว ในตอนที่อยู่บนรถม้าก่อนจะลงไปเช่าโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านกวนพักผ่อน นางก็เอ่ยปากถามด้วยตนเอง"พี่เสวี่ยหว่าน ท่านคิดจะไปที่ใดกันแน
"เป็นคน เมื่อครู่ ข้ามั่นใจ!" เจียงเยี่ยนฟางตะโกนบอกไประหว่างทาง ดวงตาจ้องมองมือที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำเพียงสองครั้งแล้วจมหายไป แต่ใต้ผืนน้ำที่ไหลแรงก็ยังพอมองเห็นเงาร่างสีม่วงเข้มได้เลือนราง"คน? คนอะไรไปอยู่... ไม่ ๆ ๆ คนที่ไหนจะโดนน้ำพัดขนาดนี้แล้วยังรอด คุณหนู อย่า ไม่!" ซูเจียวเพิ่งจะรู้สึกไปเมื่อครู่เองว่า สายน้ำเส้นนี้นั้นไหลแรงเกินไปจนน่ากลัวไม่อยากเข้าใกล้ และไม่อยากแม้แต่จะข้ามสะพานไม้นั้นอีกรอบอยู่เลย แต่คุณหนูของนางพูดแค่ 'เป็นคน' แล้วก็กระโจนลงน้ำไปได้อย่างไร!ซูเจียววิ่งตามไปหยุดอยู่ตรงจุดที่เจียงเยี่ยนฟางเพิ่งจะกระโดดลงไปเมื่อครู่ "คุณหนู คุณหนู!" นางตะโกนหาอีกฝ่ายพร้อมดวงตาก็กวาดมองไปทั่วผืนน้ำ หัวใจเต้นไม่หยุดด้วยความกลัว ถึงแม้นางจะบอกว่าตนไม่ค่อยชอบเจียงเยี่ยนฟางเพราะรู้สึกว่าตนอยู่ต่ำกว่าเสมอ แต่เมื่อถึงเวลาคับขันแห่งความเป็นความตาย นางกลับรู้สึกเป็นห่วงคนที่โตมาด้วยกันอย่างน่าประหลาดซูเจียวถอดรองเท้าและเสื้อตัวนอกออก หวังกระโดดลงน้ำไปดึงเจียงเยี่ยนฟางขึ้นมา ในระหว่างที่กำลังถอดเสื้อตัวนอกออกอยู่นั้น ก็ไม่หยุดสายตาสอดส่องมองหาคนไปทั่วผืนน้ำแต่ไม่ทันที่นางจะกระโดดลงไป
บทที่ 17วาสนาได้พานพบผู้มีบุญคุณเพียงชั่วครู่สารทฤดูเริ่มต้นไปได้ครึ่งทางแล้ว ใบไม้รอบด้านเริ่มเปลี่ยนสียามเมื่อออกเดินทางเวลานี้ ถือว่าเป็นผลพลอยได้ที่จะได้ชื่นชมธรรมชาติไปในตัวแต่คนบนรถม้าคันหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงกลับดูเป็นกังวลไม่น้อย"คุณหนู ท่านจะแต่งเข้าจวนอ๋องจริงหรือเจ้าคะ" ซูเจียวนั่งอยู่บนพื้นของรถม้าก็เอ่ยถามสตรีอีกคนที่นั่งอยู่บนเบาะ ที่ผ่านมาตัวนางถูกเลี้ยงดูมากับสตรีตรงหน้า อยู่ด้วยกันในบ้านหลังเล็กที่เมืองลี่เจียง ดุจดั่งเป็นครอบครัวเดียวกันทว่าตั้งแต่เยาว์วัย มารดาของนางชอบบังคับให้นางเรียกอีกฝ่ายว่าคุณหนูอยู่ตลอด คราแรกนางไม่เข้าใจ และทุกครั้งที่ตีตัวเสมอเจียงเยี่ยนฟาง นางก็จะถูกมารดาดุด่าเป็นประจำ ตักเตือนให้นางนอบน้อมกับเจียงเยี่ยนฟางให้มากหน่อย นางก็ต้องทำโดยไม่สามารถอิดออดได้ ทั้งที่เจียงเยี่ยนฟางก็ถูกมารดาใช้งานหนักพอ ๆ กัน ไม่เคยปล่อยปละละเลยให้อีกฝ่ายทำเพียงแค่นอนและกินเหมือนคุณหนูจริง ๆ ต่างต้องทำงานทุกอย่างให้เป็นกระทั่งไม่กี่วันก่อนคุณหนูของนางได้รับจดหมายจากบิดาที่ทอดทิ้งตัวเองไปนาน เรียกตัวกลับเมืองหลวงเพื่อแต่งงานเข้าจวนชินอ๋อง!ชินอ๋อง
เจียงเยี่ยนฟางกลับมายังร้านน้ำชาอีกครั้งพร้อมถุงซาลาเปาในมือ คนที่รอนางอยู่ก็ได้ย้ายตัวเองไปบนรถม้าอยู่ก่อนแล้ว พอนางมาถึง บรรยากาศก็ผิดแผกไปอย่างเห็นได้ชัด เซียวลี่หยางไม่พูดไม่จาอันใดแม้ครึ่งคำแต่...ไม่พูดไม่จาก็แล้วไปเถิด นางอาจมาช้าทำให้เขารอนานจนเกิดไม่พอใจขึ้นมา เรื่องนั้นก็พอเข้าใจได้ ทว่าแววตารังเกียจที่เหมือนคราแรกพานพบกันในห้องหอนั้น กลับมาปรากฏบนสายตาเขาอีกครั้งนี่สิ นางถึงได้รู้สึกแปลกใจขึ้นมาคนผู้นี้เช้าเป็นอย่าง ดวงตะวันคล้อยบ่ายก็เป็นอีกอย่าง นางคาดเดาเขาไม่ได้เลยยามเมื่อเดินทางกลับมาถึงจวนแล้ว คนในรถม้าที่นั่งมากับนางนานสองนานก็ไม่รอให้นางออกไปก่อน เขารีบเรียกหงเปามาพาตัวเองเข็นรถลงไปทันทีที่รถม้าหยุดลง ประหนึ่งว่าไม่อยากใช้ลมหายใจในรถม้าร่วมกับนางนานกว่านี้ จึงทิ้งนางไว้เบื้องหลังไม่ใส่ใจ"เมื่อเช้ายังไปด้วยกันดี ๆ อยู่เลย ยามนี้ท่านอ๋องเหมือนจะกำลังไม่พอใจอยู่..." สาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลก็พากันซุบซิบนินทา คิดว่าระยะขนาดนี้พระชายาเจียงน่าจะไม่ได้ยิน"แปลกอันใดกัน ที่ผ่านมาท่านอ๋องกับพระชายากู่ที่มักตัวติดกันตลอด แต่ท่านอ๋องก็นิ่งสงบปานท่อนไม้ขนาดนั้น ดูอย่างไรก็ไม่เหม
"เร็วหน่อยก็ดี แล้วเร็วที่สุดของเถ้าแก่ราวกี่วัน""สองชิ้นก็เจ็ดวัน ข้าจะหาช่างฝีมือสองคนทำก็แล้วกัน จะได้รอไม่นานเกินนี้""เงินในถุงพอค่ามัดจำหรือไม่" เจียงเยี่ยนฟางหันมองถุงเงินที่หายไปอยู่ในมือเถ้าแก่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้"พอ ๆ ๆ ๆ แม่นาง...อยากเน้นส่วนไหนเป็นพิเศษ แจ้งมาได้เลย" เถ้าแก่พอได้จับถุงเงินแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นอีกห้าส่วน ดวงตาสะท้อนไปด้วยเงินทองอยู่ภายใน"เถ้าแก่จัดการได้เลย อีกเจ็ดวันข้าจะมารับ" เจียงเยี่ยนฟางกล่าวเสร็จก็เตรียมจากไป"แม่นางเดินทางปลอดภัย" เถ้าแก่ร้านมีท่าทีกระตือรือร้นกว่าตอนแรกที่เจียงเยี่ยนฟางเข้ามามากนัก ถึงขั้นเดินออกมาส่งด้วยตัวเองเจียงเยี่ยนฟางพอออกมาจากร้านเครื่องประดับแล้วก็ยังคงแวะไปอีกหลายแห่งเพื่อสั่งของที่นางอยากได้ กระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับแผงลอยข้างทางร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็ก ๆ ที่เน้นไปทางเชือกผูกผมกับปิ่นที่ทำมาจากไม้ หากแต่สิ่งที่สะดุดตานางมากที่สุดไม่ใช่ผ้าไหมซึ่งถูกทออย่างประณีต แต่เป็นลายปักบนผ้าผูกผมอันแสนคุ้นตานั่นต่างหาก"คุณหนู สนใจผ้าผูกผมสักชิ้นหรือไม่ ลองดูก่อนได้ ไม่เสียหายอะไร"เจียงเยี่ยนฟางเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ค