LOGIN"ทำไม เวลานี้พอถูกจับได้แล้ว เจ้าก็คิดจะใช้ยาพิษฆ่าตัวตาย?" ปลายดาบที่โผล่พ้นผ้าม่านโปร่งออกมาพลันถูกเบนทิศทางขึ้นไปนาบข้างลำคอของสตรีข้างเตียง ด้วยเป็นดาบหายากและถูกดูแลมาอย่างดี เพียงแค่คมของมันสัมผัสผ้าปิดหน้าของเจียงเยี่ยนฟางอย่างแผ่วเบา ก็ทำผ้าของนางแหว่งไปส่วนหนึ่ง
ปลายผ้าที่เพิ่งถูกยกขึ้นเพื่อดื่มสุราและตกลงมาตามเดิม ยามนี้ก็ถูกดาบทำร้ายจนปลิวหลุดร่วงสู่พื้นไปอย่างเชื่องช้า และไร้คนสนใจ
"ในสุราไม่มีพิษ" คราวนี้เจียงเยี่ยนฟางไม่เล่นละครแล้ว น้ำเสียงนุ่มนวลแบบเดิมก็ไม่หลงเหลืออยู่อีก ไหนเลยจะคิดว่าแค่การแสร้งอ่อนแอจะทำให้เหนื่อยถึงขั้นนี้ นี่ขนาดนางพกน้ำเปล่าใส่ขวดเล็กไว้สำหรับทำน้ำตาปลอมและค่อยบีบเสียงแทน ก็แทบจะหมดพลังชีวิตไปจนสิ้นแล้ว จึงคร้านจะแสดงต่ออีก ไม่รู้กู่เยว่ชิงผู้นั้นเก่งกาจมาแต่ไหน ถึงบีบน้ำตาได้ทุกคราที่เจอกัน เรื่องนั้นช่างเถอะ อย่างไรตอนนี้นางก็ยังต้องทำเรื่องที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จ ไม่อยากมีปัญหากับเจ้าบ้านได้ เลยหาทางลงให้อีกฝ่าย "ดูท่าแล้วเข็มเงินนั่นคงมีปัญหาจริง ๆ"
เซียวลี่หยางมองเงาเลือนรางของนางผ่านผ้าม่าน พลางคิดว่า 'หรือว่าเพราะเวลานี้พอไม่เห็นหน้า ก็สามารถจับทางจากน้ำเสียงของนางได้ชัดเจนยิ่งกว่าที่ผ่านมา'
เจียงเยี่ยนฟางไม่รู้เลยว่า อีกฝ่ายได้เข้าใจผิดตัวเองไปแล้ว ตัวนางเองก็กำลังมองใบหน้าของผู้พูดผ่านผ้าม่านบางที่แทบจะมองไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเช่นกัน
ต่างฝ่ายต่างจ้องมองเงาร่างของกันและกันอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายเป็นเซียวลี่หยางที่เอื้อนเอ่ยออกมาก่อนว่า
"ใครจะไปรู้ บางทีพิษอาจจะอยู่ที่ปากขวดก็ได้"
'ตลกสิ้นดี เล่นละครให้ผู้ใดชมกัน หากบอกว่าปากขวดมียาพิษ แต่ในสุราที่ข้าดื่มไม่มียาพิษแล้วเข็มจะเปลี่ยนสีได้อย่างไร เอาเถอะ ข้าจะเล่นสนุกเป็นเพื่อนท่าน' เจียงเยี่ยนฟางใช้จอกสุราที่ถืออยู่ดันข้อมือของเซียวลี่หยางให้ออกห่างไปอีกนิด เพื่อไม่ให้ปลายดาบมาบาดตัวนางได้ ก่อนจะเดินกลับไปมองหาเศษขวดที่แตกกระจายอยู่ตามพื้น
เซียวลี่หยางแอบมองนางผ่านช่องว่างของผ้าม่านไป ไม่นานก็เห็นนางเจอเศษกระเบื้องที่เป็นบริเวณปากขวดแล้ว "หึ ครานี้เจ้าจะใช้มันกรีดมือตัวเองเพื่อพิสูจน์? เจ้ากล้า?"
เจียงเยี่ยนฟางไม่ตอบ เพียงเดินไปข้างหน้าอีกนิด
สองคนในห้องต่างก็คิดว่านางจะเดินไปที่เตียงและกรีดเนื้อเฉือนหนังให้ท่านอ๋องชมเพื่อพิสูจน์ตนเอง
แต่ที่ไหนได้นางกลับหยุดเท้าลงข้างกายหงเปาแทน และด้วยความว่องไวเป็นทุนเดิม มือเรียวยาวก็คว้าข้อมืออีกฝ่ายที่พับแขนเสื้อไว้อยู่แล้วขึ้นมากรีดไปหนึ่งที!
"โอ๊ย!" หงเปาร้องเสียงหลงเพราะความเจ็บที่ถูกมอบให้อย่างไม่ทันตั้งตัว เขารีบดึงแขนของตนคืน มืออีกข้างก็รีบกดลงบนบาดแผลเพื่อห้ามเลือด
"..." คนด้านหลังผ้าม่าน
เจียงเยี่ยนฟางเหลือบมองเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาตามซอกนิ้วมือของหงเปา "ไม่ลึกมาก ไม่นานก็จะหายดีเอง อย่าห่วงไปเลย" นางยกยิ้มแผ่วเบาและปรับน้ำเสียงให้อ่อนนุ่มเหมือนเดิม คล้ายว่าเรื่องเมื่อครู่มิใช่นางเป็นคนลงมือทำ
"เจ้าทำเกินกว่าเหตุไปแล้ว" เซียวลี่หยางที่เงียบไปในคราแรกก็เอ่ยเสียงเรียบไร้อารมณ์
"..." เจียงเยี่ยนฟางหันมองไปทางผ้าม่านอีกครา พยายามห้ามให้ตนไม่หัวเราะเย้ยหยันออกมา เมื่อครู่เป็นเขาบีบบังคับนางจากทุกทาง แต่เมื่อคนของตนเองเป็นฝั่งที่ถูกโดนกระทำ กลับกลายเป็นนางทำเกินกว่าเหตุ?
เอาเถอะ เอาเถอะ นางจะไม่หาเรื่องเขาตอนนี้ อย่างไรก็มีเป้าหมายที่ชัดเจน ดังนั้นยังต้องใช้เซียวลี่หยางเป็นสะพานข้ามไปสู่ปลายทางที่นางต้องการ คนผู้นี้... จึงยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง
"ท่านอ๋องคงจะหมายถึงว่า เรื่องทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิด เยี่ยนฟางใช่หรือไม่เพคะ" แน่นอนว่านี่ไม่ใช่คำถาม นางจึงกล่าวต่อโดยไม่รอคำตอบ "ไม่เป็นไรเพคะ เยี่ยนฟางเข้าใจได้ ซ้ำยังจะไม่ถือโทษโกรธเคืองพระองค์ เพราะตั้งแต่เยี่ยนฟางเข้ามา จวนอ๋องก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น แถมเวลานี้ท่านอ๋องถูกพิษร่างกายยังไม่แข็งแรง ไหนจะยังต้องสืบหาความจริงเรื่องการถูกวางยาอีก มิสู้พักผ่อนให้มากหน่อย เช่นนั้นเยี่ยนฟางขอตัวลานะเพคะ" กล่าวจบอย่างรวดเร็ว มือก็ยกผสานขึ้นพลางย่อตัวลงเล็กน้อย
สองคนในห้องต่างมองตามคนที่หมุนตัวเดินจากไป ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำอันใดไม่ได้ เพราะแผนที่วางไว้ถูกนางล่มลงไปทั้งหมดแล้ว
ทว่าในจังหวะไม่กี่อึดใจต่อมา เจียงเยี่ยนฟางก็หันกลับมายกมือผสานด้วยความนอบน้อมอีกครา หากแต่คำพูดช่างสวนทางกับการกระทำยิ่งนัก
"ท่านอ๋องเพคะ ถึงเยี่ยนฟางจะถูกส่งตัวไปอยู่ห่างไกล มารยาทไม่งดงาม กิริยาไม่สำรวม แต่อย่างไรเสียก็เป็นถึงบุตรสาวคนโตของขุนนางเจียง แม้นต่อให้ไม่มีความผูกพันกันมากนักเหมือนบิดาและบุตรสาวเฉกเช่นครอบครัวอื่น ทว่าก็มิอาจไม่ไว้หน้ากันได้ เรื่องในวันนี้ที่ท่านอ๋องยังไม่ทันสืบสาวราวเรื่องก็จับคนมากล่าวหา เยี่ยนฟางจะไม่ปริปากพูดให้คนด้านนอกได้ยินแม้ครึ่งคำ
อีกสิบสองวันหลังจากนี้ ยังต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมอีก ถึงครานั้นก็คงต้องพึ่งพาท่านอ๋องแล้ว หวังว่าท่านอ๋องจะหายดีโดยเร็วเพคะ" เจียงเยี่ยนฟางลดมือลง หมุนตัวจากไปอีกครั้ง แววตาที่เรียบเฉยแปรเปลี่ยนเป็นคมกล้า ยิ่งสะท้อนกับแสงเทียนในห้อง ยิ่งนำพาให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ระหว่างทางที่เดินกลับเรือนไม้เก่าผุพังของตน เจียงเยี่ยนฟางก็ก้มมองมือตนเองไปด้วย นึกถึงข้อมือแข็งแรงที่ยื้อแย่งอยู่เมื่อครู่ขึ้นมา
'แม้เขาจะถูกพิษจริง แต่กลิ่นเลือดในห้องกลับไม่ใช่กลิ่นเลือดของคน อีกทั้งเรื่องที่เขาบอกผู้คนมาตลอดนั่นก็ด้วย...' นางสลัดสิ่งที่เพิ่งรู้ข้อนี้ในหัวทิ้งไป หาใช่เรื่องที่นางต้องใส่ใจ 'ไม่รู้ว่าเขากำลังพยายามใส่ร้ายข้าหรือไม่ แต่ถ้าเขามีเจตนาเช่นนั้น มีหรือข้าจะยอมให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข'
จังหวะนั้นดวงตาคมที่โผล่พ้นผ้าปิดหน้าออกมาก็เหลือบมองไปในความมืดไม่ไกลจากจุดที่ตนยืนอยู่ พลันเห็นสตรีงดงามผู้หนึ่งที่บอบบางเสียยิ่งกว่าดอกไม้ยืนอยู่กับคนรับใช้ของตน แต่ที่นางตั้งใจจะมองดูคืออีกคนที่อยู่ไกลจากตรงนั้นไปอีกนิดต่างหาก เดาว่าคนผู้นั้นคงเป็นคนที่มอบสุราให้นาง และมารอดูว่าแผนการของตนสำเร็จหรือไม่สินะ
บทส่งท้ายในอ่างน้ำสววรค์เบื้องหน้า สะท้อนภาพของคนสองคนที่เดินเคียงคู่กัน ความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นก็หวนกลับมาอีกครั้ง"ท่านเทพจันทรา[1] ยังตัดใจไม่ได้อีกหรือ รึเป็นเพราะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ความรู้สึกจึงยังคงอยู่" ซื่อหมิงซิงจวิน[2]ยืนซ้อนอยู่ที่ด้านหลังของเทพแห่งจันทรา เมื่อเขารู้ว่าอีกฝ่ายได้ผ่านเคราะห์รักมาแล้ว และกลับมาจุติบนสวรรค์อีกครั้ง เขาก็รีบมาหา หวังมาเยี่ยมสหายเก่าเสียหน่อย แต่ไม่คิดว่าภาพที่ตนเห็นจะเป็นแผ่นหลังของสหายที่ดูอาลัยอาวรณ์ภาพในแอ่งน้ำสะท้อนชีวิตของมนุษย์ไม่น้อย เดาว่าการผ่านเคราะห์ครั้งนี้ของเจ้าตัวคงสาหัสเอาการโลกสวรรค์และโลกมนุษย์เวลาไม่เหมือนกัน เทพจันทราเพิ่งตายไปในร่างมนุษย์เมื่อครู่ แต่พอจุติบนสวรรค์อีกครา ที่โลกมนุษย์ก็ผ่านไปหลายเดือนแล้วเทพแห่งจันทราที่ถูกทักก็วาดมือผ่านอ่างน้ำสวรรค์ ปิดภาพของเจ้านายเก่าของตนทิ้งไป เตรียมจะเดินหนีสหายเก่า ทั้งที่ไม่เจอกันเพียงไม่กี่วันบนสวรรค์ แต่เพราะในโลกมนุษย์ยาวนานถึงยี่สิบกว่าปี เขาจึงยังรู้สึกไม่สนิทกับสหายเท่าเมื่อก่อน คิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพักตอนแรกเขายอมรับว่าตนยังห่วงหาสตรีผู้นั้นอยู่ อยากรู้ว่าหลั
ตอนพิเศษ 9รัชศกต้าเหนิง ปีที่ เก้า ราชวงศ์เซียวย่างเข้าวสันตฤดูแล้ว ในจวนที่ปลูกดอกไม้หลากหลายชนิด รวมถึงสมุนไพรมากมาย แทนที่จะมีกลิ่นหอมพาให้ผู้คนหลงใหลกลับมีกลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งไปทั่วจวน"นายหญิง" เติ้งอู๋เห็นนายหญิงท่าทางรีบร้อนเดินตรงไปหากลิ่นเหม็นไหม้ก็รีบดักทางไว้ นายหญิงของเขากำลังตั้งท้องเจ้านายตัวน้อยคนที่สามอยู่ ไม่ควรเข้าใกล้กลิ่นควันมากเกินไป หลังจากนี้คงต้องอาจหาญตักเตือนคนก่อควันสักหน่อย"เกิดอะไรขึ้น ข้าได้กลิ่นไหม้" เสวี่ยหว่านชะเง้อหัวมองผ่านแขนเติ้งอู๋ไป พบว่าครัวด้านหลังจวนกำลังมีควันมากมายพวยพุ่งออกมา มิหนำซ้ำภายในควันนั้นก็มีร่างเล็กของเด็กชายวิ่งหนีตายออกมาด้วย"ท่านแม่" เด็กชายวัยหกขวบยกมือปิดปากแน่น ครั้นได้เจอผู้เป็นมารดาก็รีบวิ่งเข้ามาหาหน้าตื่น"เสี่ยวหลิวเจ้าทำอะไรอยู่ในครัว? น้องรองของเจ้าอยู่ที่ใดเล่า!?" เสวี่ยหว่านรีบจับบุตรชายที่วิ่งมากอดตนไว้แน่นออกมาตรวจดูตามตัว ครั้นพบว่าไม่เจอบาดแผลก็เบาใจไป แต่ปกติเด็กคนนี้จะตัวติดกับน้องชายวัยสี่ขวบของตนเองเสมอ เวลานี้เอาน้องไปทิ้งไว้ที่ใดแล้ว!"แค่ก ๆ ข้าเปล่า ข้าไม่ได้ทำอันใดนะท่านแม่ ส่วนน้องรองแม่นมฉ
ตอนพิเศษ 8รัชศกต้าเหนิง[1] ปีที่ 3 ราชวงศ์เซียวในเมืองลั่ว จู่ ๆ ก็มีการปรากฏตัวของตระกูลเศรษฐีไร้ชื่อผู้หนึ่งขึ้นมา ไม่มีใครเคยเห็นคนด้านในจวนแห่งนี้เข้าออก หรือควรบอกว่า เป็นเพราะจวนตั้งอยู่ห่างไกลบ้านคนกันแน่ ทำให้ชาวบ้านแทบจะไม่เคยมีใครได้เห็นเจ้าของจวนแห่งนี้เลยแม้นก่อนหน้านี้จะมีคนงานในเมืองถูกเกณฑ์ไปสร้างเรือนอยู่นานร่วมหกเดือน แต่พวกเขากลับไม่เคยรู้ว่าผู้ว่าจ้างเป็นใคร มีเพียงเงินค่าจ้างที่ถูกนำมาวางไว้ให้ในแต่ละรอบเท่านั้นบรรดาคนงานก็บอกเพียงแค่ว่า พื้นที่โดยรอบที่ถูกปลูกต้นไม้ปิดบังเรือนไว้ ต่างก็ถูกเจ้าของจวนแห่งนี้กว้านซื้อไปจนหมดแล้วก็เท่านั้น นั่นทำให้ไม่ว่าผู้คนจะอยากรู้มากเพียงใด ก็เข้าไปใกล้ได้แค่ครึ่งทางของต้นไม้ด้านหน้า...กระทั่งล่วงเลยไปอีกหลายสิบปีก็ไม่มีใครเคยได้รู้ว่าเจ้าของจวนแห่งนั้นคือผู้ใดและตกดึกคืนนี้ ในเมืองลั่วก็มีการจัดงานเทศกาลลอยโคมขึ้นมาเซียวลี่หยางจึงชวนเสวี่ยหว่านออกมาเดินเล่นในงานเทศกาลด้วยกันภายในงานเริ่มแรกจะมีแห่ขบวนโคมไฟที่ทำเป็นรูปมังกรและสิงโต เซียวลี่หยางที่รู้ว่ามีขั้นตอนอะไรบ้าง จึงพาเสวี่ยหว่านขึ้นมานั่งรอชมขบวนแห่อยู่บนชั้
ตอนพิเศษ 7วสันตฤดูปีต่อมา ด้วยเพราะเติ้งอู๋ทำทางขึ้นภูเขาให้ใหม่แล้ว เวลานี้เขาก็ลงไปนำม้าของตนและของเจ้านายกลับขึ้นมาอยู่บนภูเขาด้วยกันเสวี่ยหว่านที่หูดีกว่าเซียวลี่หยางก็ได้ยินเสียงเท้าของม้ามาตั้งแต่ไกล ๆ แล้ว จึงวิ่งออกไปรอที่หน้ารั้ว เมื่อเช้านางแอบเตรียมขนมไว้กินเล่นในตอนที่เซียวลี่หยางไปซักผ้าที่ลำธาร เพราะคิดว่าวันนี้จะชวนเซียวลี่หยางไปหานั่งกินขนมที่อีกฟากของภูเขาด้วยกันมือเรียวหยิบนกหวีดที่พกไว้ออกมาเป่า เรียกม้าประจำตัวของเซียวลี่หยางให้รีบวิ่งมาหาอาชาสีขาวเมื่อสะบัดหลุดจากมือของเติ้งอู๋ได้ ก็รีบห้อตะบึงมาทางนางเช่นเดียวกัน มันจำได้ว่าสตรีผู้นี้ชอบเอาผลไม้มาให้มันกินบ่อย ๆ ตอนที่มันถูกเจ้านายฝากไว้ที่คอกม้าในหมู่บ้านข้างล่าง ตอนนี้ก็นับว่าสตรีคนนี้เป็นเจ้านายอีกคนไปแล้ว"หว่านหว่านระวัง!" เซียวลี่หยางได้ยินเสียงนกหวีดก็ทิ้งฉูโถว[1]ที่อยู่ในมือ แล้วรีบวิ่งมาหาภรรยาที่หน้ารั้วไม้ ตอนนั้นก็เห็นว่าม้าของตัวเองพุ่งทะยานเข้ามา ทว่าเขาช้าไปหนึ่งก้าว ม้าของเขากำลังจะเหยียบภรรยาเข้าให้แล้ว ด้วยคิดว่าม้าของตนกำลังจะทำร้ายภรรยา หัวใจก็ดิ่งวูบราวกับไม่เคยเต้นมาก่อนแต่
ตอนพิเศษ 6เติ้งอู๋จากไปคราวนี้ หวนกลับมาอีกคราก็เป็นตอนที่ต้นอ่อนของต้นมะเขือเทศที่เซียวลี่หยางปลูกไว้เริ่มโตจนใกล้ออกดอกได้แล้วอีกฝ่ายกลับมาถึงพร้อมกับหิมะที่ปกคลุมอยู่ทั่วศีรษะและหัวไหล่ของเขา ดูท่าแล้วอากาศข้างนอกภูเขาคงจะเข้าสู่เหมันต์ฤดูเต็มตัวแล้วแต่ตอนที่มาถึง ในตัวของเขาก็ดูเหมือนไม่ได้จะพกงูชนิดที่ตามหามาด้วยเลยเสวี่ยหว่านรีบเดินไปต้มชาร้อน ๆ มาให้เขาดื่มก่อนเป็นอย่างแรก ยามนี้ด้านในกระท่อมฝั่งที่เคยเป็นครัวและพังไปในครั้งแรกก็ถูกซ่อมแซมใหม่แล้ว แต่เสวี่ยหว่านไม่ได้ย้ายครัวกลับเข้ามา เพียงทำเป็นที่ชงชาและไว้เก็บขนมเท่านั้น เผื่อตอนดึกเวลาหิวจะได้ไม่ต้องเดินออกจากตัวเรือนไปต้มน้ำร้อนแถมไม่นานมานี้ ก็ยังได้จ้างช่างมาทำชุดโต๊ะนั่งเล่นสำหรับใช้นั่งดื่มน้ำชาไว้ในส่วนของตรงนี้เพิ่มด้วย และไม่ลืมที่จะเพิ่มเก้าอี้เป็นสามที่นั่ง เวลานี้จึงมีที่นั่งเพียงพอสำหรับสามคนพอดีเสวี่ยหว่านเพิ่งจะเทน้ำร้อนใส่ใบชา เซียวลี่หยางก็มาขอรับช่วงต่อแทน นางจึงเดินกลับไปนั่งรอที่โต๊ะซึ่งอยู่ห่างกันไม่เกินสามก้าวจากที่ชงชา"เจ้าไม่ได้นำงูมาด้วย" เสวี่ยหว่านยังคงไม่อ้อมค้อมเช่นเคย"ขอร
ตอนพิเศษ 5เติ้งอู๋จากไปเมื่อคืน แต่เมื่อดวงอาทิตย์สาดส่องที่ผืนดินอีกครั้ง เขาก็วนกลับมาอีกรอบ เมื่อวานเขาถูกเจ้านายสั่งให้ไปจับงูพิษและหาข้อมูลมาให้นายหญิงโดยไม่ต้องบอกเจ้าตัว แต่เขาก็เพิ่งจะนึกได้ว่าอีกฝ่ายวานให้เขานำของไปมอบให้ตระกูลหงด้วยหากจะลงเขาไป ในตอนนั้นเขาปิดบังท่านอ๋อง ช่วยนายหญิงทำเรื่องมากมายโดยไม่รายงานผู้เป็นนาย ครั้งนี้จึงต้องการไถ่โทษ จะบอกว่าเขาเป็นคนทรยศก็ได้ เพราะเขาก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน "ข้านึกว่าเจ้าจะจากไปโดยไม่บอกข้าเสียอีก" เสวี่ยหว่านที่กำลังยืนรดน้ำใส่แปลงผักที่สามีเพิ่งปลูกไปเมื่อวาน ก็เอ่ยทักโดยไม่หันไปมอง "ข้ากลับมาเอาของที่ท่านบอกจะมอบให้ตระกูลหง"เสวี่ยหว่านหยิบไม้แกะสลักที่มีชื่อตัวเองมอบให้เติ้งอู๋ไป ก่อนจะมอบขวดยาขวดหนึ่งให้เขาด้วย "ขวดยาเป็นของเจ้า" เห็นเขารับไปแล้วมองนางด้วยความสงสัยนางก็เอ่ยว่า "ข้าคิดว่าจะไว้ใจเจ้าได้เสียอีก"เติ้งอู๋รีบคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น มือทุบอกก้มหน้าลงต่ำ เขาถูกจับได้เสียแล้ว! ไหนนายท่านบอกจะปิดบังเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังไว้เล่า ไม่ว่าจะนายหญิง ไม่ว่าจะนายท่าน หรือกระทั่งตัวเขา ต่างก็ไม่ใช่ทั้งนักรบแล







