แต่เติ้งอู๋กลับไวยิ่งกว่า เขารวบเอวเจียงเยี่ยนฟางไว้แล้วจับนางมาพิงกาย ครั้นตรวจสอบดูก็พบว่านางสลบจริงไม่ได้แกล้งเล่น จึงหันไปมองหน้าเจ้านาย และพยักหน้าให้หนึ่งที"..." หงเปาแทบไม่อยากเชื่อ สตรีผู้นี้ไม่ใช่หรือไรที่ขู่จะตัดลิ้นผู้อื่นไปให้เป็ดกิน นางจะมากลัวเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร รึก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงแค่การป้องกันตัวของคุณหนูใหญ่เจียงที่หัวเดียวกระเทียมลีบในดงเสือด้วยเติ้งอู๋ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสังหารคน รวมถึงการสืบข่าว แถมยังมองออกว่าใครตายจริงหรือแกล้งตาย ยามนี้หากบอกว่าคุณหนูใหญ่เจียงแกล้งสลบไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่เติ้งอู๋จะโดนตบตาได้"พานางกลับไปส่งที่เรือนของนาง อย่าให้ใครเห็น" เซียวลี่หยางกดตาลงต่ำ ไม่มองนางอีก"พ่ะย่ะค่ะ" เติ้งอู๋รับคำ เขาเก็บดาบเข้าที่ปลอกดาบบนหลัง ก่อนจะช้อนตัวอุ้มสตรีในแขนขึ้นมาบนอกและเดินจากไป รู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ยังไม่ทันได้ตัดหัวนักโทษให้คุณหนูใหญ่เจียงดูเพราะตอนแรกท่านอ๋องกับเขานัดแนะกันไว้ว่า จะให้เขาทรมานนักโทษต่อหน้านางให้นางหวาดกลัว หากคุณหนูใหญ่เจียงยังคงปากแข็ง ไม่ยอมปริปากพูดความจริงอีก ก็จะตัดหัวนักโทษเพื่อข่มขู่นางอีกรอบสุดท้ายก็ไม่ท
"ข้าเตรียมบ่าวรับใช้ให้เจ้าแล้ว ต่อไปก็ให้นางดูแลเรื่องทั่วไปให้เจ้า เตรียมอาหารให้เจ้า สิ่งของใดที่จำเป็นก็สั่งให้นางไปจัดหามาให้ จะได้ไม่ต้องลำบากเจ้าออกไปวิ่งวุ่นอยู่นอกจวนด้วยตนเองอีก แต่การลงโทษอย่างไรก็คงต้องทำเหมือนเดิม" เซียวลี่หยางไม่เอ่ยเรื่องที่ต้องการจริง ๆ ก่อน หากแต่กำลังรอดูท่าทางของนาง "เรื่องที่ไม่มีคนนำข้าวไปให้เจ้าเป็นความผิดของทางจวนที่ไม่ทันดูแลเจ้าให้ดี แต่จวนอ๋องของข้าก็ไม่ได้ขัดสนเงินทองถึงขั้นเลี้ยงคนผู้หนึ่งไม่ได้"แม้นในใจของเจียงเยี่ยนฟางจะมองออกถึงความหมายแฝงที่ถูกส่งมา แต่นางก็แสร้งทำทีเป็นตั้งใจฟังอย่างว่าง่าย ไม่ได้แสดงอารมณ์อย่างที่กำลังก่อเกิดภายในใจออกไป เพียงพยักหน้ารับแผ่วเบา ประหนึ่งคำสอนที่ว่า อยู่ในบ้านเชื่อมารดา เมื่อออกเรือนเชื่อสามี เมื่อมีบุตรชาย เชื่อบุตรชายถึงคนพิการผู้นี้จะพูดราวกับนางเป็นคนนอก และไม่คิดจะมอบเรือนทั่วไปให้นางอยู่ให้สมกับตำแหน่งพระชายาพึงมีก็ตามเถอะ แต่เวลานี้นางก็ยังอาศัยอยู่ในเรือนของเขา ใช้ปีกเขาปกป้องตนเอง จึงได้แต่กดข่มอารมณ์ลงไป'จงอยู่ห่างไกลหูไกลตาของเขา' นี่ต่างหากคือสิ่งที่เขาต้องการจะบอกแต่ขอโทษด้วย นางเองก็คิ
เมื่อกลับไปแล้ว หงเปาก็รายงานเรื่องที่เจียงเยี่ยนฟางพูดมาทั้งหมด ว่าไม่ได้กินอะไร ไม่มีคนไปปัดกวาดเตรียมสถานที่ให้ นางถึงได้ออกไปซื้อของและหาอะไรกินเอง ซึ่งเรื่องนี้หงเปารู้ดีว่าท่านอ๋องสั่งการให้คนเตรียมให้อย่างดีแล้ว แต่ไม่รู้คำสั่งไปตกหล่นอยู่ที่ใคร สิ่งที่สั่งจึงไม่ถูกทำตาม"บ่าวรับใช้ในจวนไม่ฟังคำสั่งข้าตั้งแต่เมื่อไรกัน" นักโทษในคุกยังมีข้าวให้กิน แต่นางกลับไม่มี แม้จะบอกว่าเขารังแกนางให้นางอยู่ในเรือนไม้เก่าที่เคยเป็นโรงเก็บฟืน แต่เรื่องอื่นเขาไม่ได้ตั้งใจให้ขาดตกไปเซียวลี่หยางถอนหายใจ ราวกับรู้ว่าที่เรื่องเป็นเช่นนี้เพราะใคร"กระหม่อมจะเรียกพ่อบ้านเถามาตักเตือนเองพ่ะย่ะค่ะ แต่พอเรื่องเป็นแบบนี้ก็เข้าทางเราพอดี เช่นนั้นจะให้กระหม่อมส่งอา เจินไปให้คุณหนูใหญ่เจียงเลยรึไม่พ่ะย่ะค่ะ""ยังก่อน ส่งคนไปแจ้งเจียงเยี่ยนฟาง ว่าให้นางไปรอข้าที่เรือนตง ข้ามีบางอย่างจะให้นางดู" แม้ใบหน้าของเขายังคงเรียบนิ่ง แต่ดวงตากลับมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย คล้ายแมวที่เพิ่งต้อนหนูเข้ามุมบ้านได้สำเร็จ"พ่ะย่ะค่ะ" หงเปารับคำ เตรียมจะพาเจ้านายไปที่เรือนตงด้วยตัวเอง แต่ก่อนจะจากไป ก็ได้สั่งให้สาวใช้ที่เดินอ
เจียงเยี่ยนฟางคร้านจะพูดมาก นางเดินมากระชากแขนของหงเปาไปนั่งตรงที่นางบอก นึกย้อนไปหลายสิบปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้นางพูดมากที่สุดแล้ว ปกติวัน ๆ หนึ่งนางเอ่ยออกมาแทบจะนับคำได้เลย ยามนี้จึงเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาเมื่อต้องพูดหลายรอบเกินไปหงเปาที่ถูกกดไหล่ให้นั่งลงบนเก้าอี้ก็ตัวแข็งเกร็ง ก้นแทบจะระบมเพราะแรงกระแทก แต่กลับไม่กล้าร้องออกมาแม้ครึ่งคำ เพิ่งเคยเห็นสตรีที่ทำท่าทางไม่พอใจเขาถึงขนาดนี้เป็นครั้งแรก แม้เขาจะบอกว่าตนเป็นบ่าวของชินอ๋อง แต่เบื้องหลังเขาเองก็ไม่ใช่ครอบครัวธรรมดา เป็นถึงตระกูลที่ร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของแคว้นเฉิงตระกูลของเขาดูแลเรื่องการค้าขายระหว่างแคว้นมาตั้งแต่รุ่นก่อน ตัวเขาถึงได้เข้าไปเป็นสหายร่วมเรียนกับเหล่าองค์ชาย ด้วยเพราะฮ่องเต้พระองค์ก่อนต้องการอำนาจของตระกูลเขา บิดาจึงก็ได้รับเกียรติไม่ต่างกับขุนนางราชสำนัก เป็นที่เชิดหน้าชูตาในแวดวงการค้าไม่น้อย ทำให้เหล่าสตรีไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านทั่วไป หรือคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ก็ยังต้องเคารพเขาอยู่แปดส่วน แต่คุณหนูใหญ่เจียงผู้นี้กลับแสดงความไม่พอใจอย่างออกนอกหน้าเพียงเพราะเขาไม่ยอมทำตามที่นางสั่งเนี่ยนะ?!"เลิกขึ
5 พิสูจน์อีกกี่ครา รอดไปอีกกี่หน"พระชายาเจียง เหตุใดถึงออกมานอกจวนไม่บอกผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ" หงเปามองดูคุณหนูใหญ่เจียงที่แต่งเข้ามายังไม่พ้นสามวันก็ทำให้เขามีเรื่องปวดหัวไปแล้วสี่ครั้งอย่างจนปัญญา"ถ้าบอกแล้ว ท่านอ๋องจะให้ออกมา?" เจียงเยี่ยนฟางหัวเราะแผ่วเบาเมื่อเห็นสีหน้าของหงเปาที่ดูตกใจกับการย้อนถามของนาง ก่อนจะเดินนำหน้าผ่านตัวเขาไป "เป็นเจ้าไม่ใช่รึ ที่บอกไม่ให้เดินเพ่นพ่านในจวน ข้าเลยออกมาเดินข้างนอกแทน เวลานี้ต่อให้ผิดหรือไม่ ก็ยังไม่ดีพอในสายตาของพวกเจ้าอยู่ดี"หงเปาเม้มปากแน่น ที่นางกล่าวมาก็ไม่ผิดแม้ครึ่งคำ และในตอนที่มัวแต่คิดเรื่องที่นางพูดออกมาเมื่อครู่อยู่ สตรีผู้นั้นเพียงหนึ่งลมหายใจก็ทิ้งห่างไปเขาหลายก้าวแล้ว พาให้เขาเร่งเท้าต้องเดินตามจนน่าหงุดหงิดใจ "นั่นก็เป็นเพราะพระชายาทำกิริยาไม่สำรวม ท่านอ๋องถึงให้พระชายาประทับอยู่ที่เรือนด้านหลังเป็นการลงโทษ เหตุใดจึงไม่อยู่อย่างสงบเสงี่ยม"สงบเสงี่ยม? เจียงเยี่ยนฟางได้ยินแล้วก็เค้นเสียงเย็นในใจ เป็นแค่คนรับใช้ข้างกายท่านอ๋อง แต่กล้าพูดกับนางด้วยคำคำนี้? "ท่านอ๋องของเจ้าสั่งให้ข้าอยู่เรือนเก่าทรุดโทรม ไม่มีคนมาทำความสะอาด ข้าไม่เคย
ดังเสียจนเจียงเยี่ยนฟางยังตกใจไปด้วย นางกำลังสนุกอยู่เลย อยากรู้ว่าใครจะวางเงินเดิมพันมากที่สุด และพวกเขาจะคาดเดาว่านางจะอยู่ได้นานเท่าไรกันบ้าง ส่วนเวลาในใจของนางนั้น ย่อมไม่เกินสองเดือนอย่างแน่นอน!"หลีหมิ่น เจ้าเป็นอะไรของเจ้ากัน!" ห้องด้านข้างเริ่มโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงลากเก้าอี้เหมือนคนกำลังจะลุกขึ้น"นี่! หลีหมิ่น!"เจียงเยี่ยนฟางที่นั่งสงบนิ่งมาตั้งนานถึงกลับชะงักค้าง มือที่ถือจอกชาจะยกดื่มพลันรีบวางลงที่เดิม ก่อนหยิบจดหมายในสาบเสื้อออกมาดู หน้าซองจดหมายเขียนไว้ว่า 'พี่หลีหมิ่น' นิ้วเรียวจิกซองจดหมายแน่น ตัดสินใจลุกขึ้นทันทีค่าห้องในครั้งนี้ ไม่คุ้มค่าเท่าไรแล้ว!เมื่อเดินพ้นประตูห้องออกมานางยังคงได้ยินเสียงบ่นของคนในห้องตามมาไม่หยุด ส่วนด้านหน้าของนางเวลานี้ก็คือบุรุษร่างสูงในชุดสีน้ำเงินเข้มที่สะท้อนแสงไฟในหอน้ำชาจนมันเลื่อม ยิ่งยามที่อีกฝ่ายเร่งรีบเดินด้วยความเร็วเพราะไม่พอใจจะรีบจากไป ก็ทำให้เนื้อผ้าขยับไปมาอย่างพลิ้วไหว พาให้คนดูสูงส่ง เพียงแค่แผ่นหลังก็พานให้ผู้คนหลงใหลได้แล้วเวลาเดียวกันนั้น เจียงเยี่ยนฟางที่เคยนึกภูมิใจว่าตนเองขายาว เดินไวกว่าสตรีนางอื่น