เตียวหยวนหยวนนึกแล้วจึงอมยิ้มชอบใจ ผู้ชายของนาง หรือว่าที่เจ้าบ่าว เลียม หยางตง เป็นคนหล่อเหลา เสียดายอยู่นิดเดียวที่เขาหวงเนื้อหวงตัวไปหน่อย มิเช่นนั้นนางคงนอนหลับฝันดีทุกคน หากได้ล่วงเกินเขาด้วยสายตา และสองมือ!
“โถ คุณหนู ท่านคงไม่ยังหายป่วย คนทั้งกองทัพล้วนมาพึ่งใบบุญใต้เท้าเตียวและก็เมืองของเราอย่างไรล่ะเจ้าคะ หลังจากพวกเขาแพ้สงครามให้เผ่าคนเถือนที่ร่วมมือกับแคว้นอื่น ฮองเต้กัวผิงมีคำสั่งให้เคลื่อนย้ายกองทัพมาที่เมืองซีเฉิง จุดหมายคือหมู่บ้านหลัวโปอันอุดมสมบูรณ์ที่สุดให้แคว้นสือ
นอกจากนั้น พวกเขามีหน้าที่เฝ้าพืชผักสวนครัวและสัตว์เลี้ยง พร้อมสร้างแนวกำแพงใหม่ป้องกันการโจมตีของศัตรูที่หมายตายึดหมู่บ้านของเรา”
“อืม ฟังแล้วก็เข้าท่า ผู้ชายตัวโตแข็งแรง แถมถูกฝึกมาอย่างดี และพวกเขารับหน้าที่ปกป้องสตรีบอบบางเช่นข้า”
หมีหลิงอึ้งจัด ฟังคำพูดของเตียวหยวนหยวนแล้ว ก็เหมือนได้ยินสตรีในตรอกโคมเขียวพูดเล่นหัวกัน!
“โอ๊ะ จะดีอย่างไรเจ้าคะคุณหนู!”
“อืม มีทหารมาอยู่ในหมู่บ้าน ย่อมเท่ากับการช่วยรักษาความปลอดภัย”
หมี่หลิงส่ายหน้า เตียวหยวนหยวนช่างเสียชาติเกิดที่ได้เป็นคุณหนู ความคิดความอ่านนางห่างไกลจากบุตรคนอื่นของใต้เท้าเตียวนัก
“คุณหนูลืมแล้วหรือไรว่ากองทัพเดินด้วยท้อง”
“ข้าทราบ คนก็ต้องกิน ต้องถ่ายหนักถ่ายเบา”
หมี่หลิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ๆ ก่อนกล่าวต่อ
“แต่ท้องของพวกเขา ฝากไว้กับหมู่บ้านเราเจ้าค่ะ”
“หา เจ้าพูดเป็นเล่น!”
“นี่คือเรื่องจริง มิเช่นนั้น บ่าวจะร้อนใจรีบปลุกให้คุณหนูหยวน ลุกขึ้นมาสะสางงานหรือ”
เตียวหยวนหยวนนึกถึงสิ่งที่รับรู้ ในเรื่องราวที่เคยอ่านผ่านตา ชีวิตของนางเป็นหญิงงามแสนอาภัพ ต้องดูแลคนในครอบครัว มีการชิงรักหักสวาทกับเตียวเยว่ซือส่วนเรื่องการดูแลเหล่าทหารอะไรเทือกนั้น ผู้เขียนไม่ได้ลงรายละเอียดอันใด เขียนไว้หยาบๆ แบบนิยายแนวเรืองอุ่นเตียงจัดหนัก ว่ามันเป็นนิยายรักที่อยู่ท่ามกลางไฟสงคราม จบอย่างสุขนิยม เพียงแต่นางร้ายของเรื่องได้รับผิดกรรมที่ก่อไว้ ซึ่งแน่นอนว่ามันร้ายแรงเข้าขั้นแย่ ทว่าเมื่อนางผู้มาจากโลกปัจจุบันฟื้นขึ้นมาในร่างของตัวละครเตียวหยวนหยวน นางก็จะพลิกบทบาทครั้งสำคัญ นอกจากไม่ตายอย่างอนาถ นางยังจะถล่มศัตรูของนางให้ราบคาบเสียด้วย
“ละแล้ว พวกเขามีทั้งหมดกี่คน”
“เท่าที่ข้ารู้ ทัพหน้าราวๆ สามหมื่นชีวิต”
“บัดซบ! แค่คนในสกุลเตียว ข้าก็เหนื่อยยากต้องรับมือ นี่มาตั้งสามหมื่นคนข้าจะมีปัญญาต่อกรอย่างไร”
หมี่หลิงพยักหน้าเข้าใจ และเอ่ยต่อ “แต่กองทัพทั้งหมด ที่จะเดินทางมาหมู่บ้านเรา คือสิบหมื่นชีวิตนะเจ้าคะ และคุณหนูยังจำสัญญาที่ลงนามไว้ก่อนที่ใต้เท้าเตียวจะลงเรือไปเมืองเจียงซานได้หรือไม่ คุณหนูจะดูแลพืชผักของสกุลเตียว และส่งไปให้กองทัพผู้มาเยือนอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งไข่เป็ดไข่ไก่ ข้าวสาร เนื้อสัตว์ ด้วยเจ้าค่ะ”
“พูดเป็นเล่น ข้าจะไปมีปัญญาทำเช่นนั้นได้หรือ”
“นั่นสิเจ้าคะ วันนั้นบ่าวได้ยินแล้วแทบจะล้มทั้งยืน ถึงต้องการเอาชนะฮูหยินรองมากเพียงใดก็ไม่ควรทำอย่างนั้น จริงอยู่คุณหนูมีท่านชายคอยเป็นที่ปรึกษา รวมถึงพวกคนงานที่มาจกสกุลตู้ แต่...เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย เมื่อก่อนหน้านี้คุณหนูเอาแต่...คอยส่องกระจก และพูดถึงเรื่องงิ้ว กับการไปเที่ยวเตร่ที่ตลาดในเมือง อ่อรวมถึงคอย...เลือกชุดสวยๆ แต่งให้ท่านดู!”
ได้ฟังหมี่หลิงร่ายยาวแล้วเตียวหยวนหยวนก็อยากเอาเท้าขึ้นก่ายหน้าผากตัวเอง และเป็นยามนั้นที่นางเห็นภาพ ในวันที่ตนโผล่เข้ามาในร่างนี้ก่อนจะล้มป่วยเป็นหนที่สอง ซึ่งนางหาญกล้าเล่นนอกบท หวังจะทำให้นางร้ายผู้นี้ ยึดอำนาจการดูแลหลังบ้านมาเป็นของตน ทว่าช่างเป็นเรื่องน่าหัวเราะ เพียงแค่นางออกปากจะดูแลสวนผัก และโรงเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นสินเดิมของมารดา กลับไม่มีใครขัดขวาง ดังนั้นก่อนที่นางจะนอนหลับยาว ภาระอันใหญ่หลวงในการดูพืชผัก และสัตว์เลี้ยงจึงตกเป็นของนางโดยปริยาย ย
หญิงสาวบีบขมับที่ปวดตุบๆ ของตน ก่อนเอ่ยเสียงแหบแห้ง “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ตอนนี้สัญญาฉบับนั้นอยู่ที่ใด ข้าจะได้รีบนำมันไปเผาทิ้งเสีย”
สาวใช้ฉงนกับสิ่งที่เตียวหยวนหยวนถาม แต่นางไม่ได้ปริปากเอ่ยคำใด ตอนนั้นมีทหารสองคนวิ่งมาตรงมายังรถลากของพวกนาง หนึ่งในสองเอ่ยถามว่า
“พี่สาวทราบหรือไม่ เรือนของใต้เท้าเตียวไปทางใด”
หมี่หลิงมัวแต่ขัดเขินจัด จนไม่อาจตอบคำถามใด เตียวหยวนหยวนจึงเอ่ยแทน
“ทหารทั้งสองท่านมีสิ่งใดที่เรือนข้าอย่างนั้นหรือ”
ปี้โหลวมองสตรีใบหน้าขาวนวลเนียนดุจไข่ต้มปลอกเปลือก ก่อนประสานมือคำนับอย่างให้เกียรติ เขาพอจะเดาออกว่าหญิงสาวสวมชุดเหลืองสดใส ย่อมเป็นคุณหนูจากสกุลใหญ่
“โอ้ ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าเพียงแต่ต้องรีบไปส่งหนังสือขององค์ชายสี่ เพื่อรายงานเรื่องต่างๆ ให้ใต้เท้าเตียวทราบ”
“บิดาข้าไม่อยู่ ไปราชการต่างเมือง”
“เอ่อ...เป็นเพราะพวกเราเดินทางเร่งด่วนจึงถึงก่อนกำหนด อย่างไรข้าต้องส่งจดหมายไปที่เรือนของใต้เท้าเตียว เพื่อแจ้งสิ่งต่างๆ” ปี้โหล่วอธิบาย ท่าทางเขายังไม่หายเหนื่อยจากการเดินทางทั้งวันทั้งคืน
“เช่นนั้น เจ้าก็เดินทางตามถนนสายนี้ราวๆ ครึ่งลี้ จะพบกับร้านขายสมุนไพร จากนั้นเรือนอันใหญ่โตของข้าก็หาไม่ยาก”
“ขอบคุณคุณหนู เช่นนี้ข้าไม่รบกวนแล้ว”
ปี้โหลวเอ่ยจบจึงค้อมตัว และขึ้นม้าตัวโตจากไป
“โอ้ คุณหนู ดูเอาเถิด แค่ผู้ติดตามขององค์ชายสี่ ยังรูปงามเพียงนี้ แล้วหากเป็นตัวเขาเล่า จะทำให้ใจข้าสั่นไหวเพียงใด”
“ฮึ หมี่หลิง ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ บุรุษผู้นั้นถึงจะหล่อเหลาเพียงใดก็ต้องสยบอยู่แทบเท้าข้า และไม่เพียงสยบเท่านั้น เขายังมีวาสนาดี ได้เป็นบิดาของบุตรในท้องข้าด้วย!”
เตียวหยวนหยวนเอ่ยอย่างไม่ทันระวังปาก ด้วยเรื่องราวที่นางรู้ มันผุดขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู กะ กล่าวอันใด บ่าวกลัวจนจะถ่ายเบาเรี่ยราดแล้ว!”.......
ท่อนแขนกำยำกับหน้าท้องแกร่ง เตียวหยวนหยวนรีบดึงสติตนกลับ นางย่อมฉลาดกว่าหมี่หลิงเพราะมาจากโลกปัจจุบัน เป็นหญิงสาวที่นับว่ามหัศจรรย์คนหนึ่งในหมู่กลุ่มเพื่อนๆ ดังนั้นจึงบอกกับอีกฝ่ายว่า “อ่อ... ข้าแค่ท่องบทละครที่เคยอ่าน หาใช่พูดความจริง” “บทละคร! คุณหนูสามหมายถึงงิ้วในโรงละครฝูไฉ อย่างนั้นหรือ” “ใช่ เจ้าไม่รู้รึ หญิงงามมักได้บุรุษที่องอาจ มากด้วยบารมีเป็นสามี” “แต่บุรุษที่ทั้งองอาจ มากบารมีที่คุณหนูเอ่ยถึงคือองค์ชายสี่นะเจ้าคะ” เตียวหยวนหยวนไม่ตอบ นางได้แต่พยายามนึก นึกว่าบุรุษแซ่กัว นามว่าเจิ้งอี้ เขามีคุณสมบัติใดที่นางควรปีนขึ้นเตียง คิดแล้วใจก็คอไม่อยู่กับเนื้อตัว ทั้งที่ไม่ชอบอ่านนิยายสักเท่าไหร่ แต่งานเขียนของแม่ว่าที่สามีกลับหลอกหลอนนาง กระทั่งทำให้ทะลุมิติมาอยู่ในโลกที่คล้ายจีนโบราณนี้ หลังจากถูกใครบางคนผลักตกระเบียง และก่อนที่จะไปดูสวนผักกับแม่หมูสาวที่กำลังจะคลอดลูก เตียวหยวนหยวนต้องร้อนรุ่มไปทั้งร่าง ด้วยเบื้องหน้านางมีลำธารกว้าง บรรยากาศร่มรื่น คราแรกนางไม่คิดจะสนใจสิ่งใด ทว่าเป็นเพราะเสียงร้องเพลงที่ดังทุ้มกังวาน ส่งให้นางต้อ
จุมพิตบนแล้วต้องจุมพิตล่างด้วย “อย่า...อย่าปล่อยข้าตาย” นางไม่อยากเสียสติหรอกเช่นนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้น มันน่าใจหายใจคว่ำเหลือเกิน สองมือเรียวป่ายแปะที่ร่างของอีกฝ่าย ซึ่งนางไม่ได้ตั้งใจซุกซนแต่เพราะกลัวจริงๆ และด้วยเพราะทรวดทรงนางเร้าใจ หน้าอกอวบสวย เอวคอดกิ่ว สะโพกพาย บั้นท้ายงอนงาม พอเคลื่อนไหวแรงๆ เรือนร่างนางนุ่มนิ่มจึงเสียดสีกับกายบุรุษ ซึ่งยามนั้นส่งไอผะผ่าวร้อนออกมาไม่หยุด แข็ง... อุ่นจัด และเกรี้ยวกราด ราวกับเจ้าป่า! ซึ่งอาจจะดุร้าย จนไม่อาจมีผู้ใดควบคุมได้ แต่ยกเว้นเตียวหยวนหยวนโฉมงามผู้นี้ หญิงสาวรับรู้ว่าท่อนไม้กึ่งกลางลำตัวบุรุษกำลังพองขยาย และมันชนกับจุดหวานล้ำของนางพอดี “หายใจไม่ออก อ๊ะ... ข้า หายใจไม่ออก!” พอเอ่ยออกแล้ว นางจึงพยายามลอยตัวเหนือน้ำ เพื่อไขว่คว้าอากาศเข้าปอด และกลายเป็นว่า ริมฝีปากอวบอิ่มนางถูกอีกฝ่ายประกบอย่างพอเหมาะพอดี และเขาปล่อยลมปราณเข้าสู่ร่างกายนางเพื่อปรับสมดุล มินานอาการตื่นตกใจ หรือลนลานจึงค่อยๆ ลดลงทีละส่วน กระทั่งเขาอุ้มนางขึ้นมาจากลำธาร หญิงส
โปรดเก็บกระบี่ไว้ในฝัก กัวเจิ้งอี้สวมเสื้อคลุมของตนให้แม่นางชุดเหลือง และนางไม่ได้แสดงท่าทางอิดออด ยังยิ้มให้เขาด้วย สตรีชุดเหลืองที่อยู่กับเขาในลำธารด้วยกัน นางเป็นหญิงสาวที่เร่าร้อน อีกทั้งทำให้เขาแข็งขัน! เรื่องนี้หากสวรรค์ไม่ลิขิตไว้ นางคงไม่ส่งเสริมให้ความเป็นชายของเขากลบมาคึกคักอีกเป็นแน่แท้ กัวเจิ้งอี้ เครียดมาร่วมสองเดือนเศษ ไม่มีจิตใจอภิรมย์ต่อสิ่งยั่วเย้ารอบกาย แม้แต่ในค่ายทหารจะหานางรำเอวอ่อน มาเต้นยักย้ายส่ายสะโพก แต่กัวเจิ้งอี้ไม่ได้หิ้วหญิงใดเข้ากระโจมของตน เพื่อโจนจ้วงความใหญ่โตเข้าสู่ความหวานล้ำของแม่นางเหล่านั้น สาเหตุเป็นเพราะเขาตกอยู่ในห้วงความคิดที่ผิดต่อตัวเอง และยังทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ส่วนฮองเฮาต้องไปถือศีลบนเขาเป็นเวลาครึ่งปี เพื่อขอให้ฮ่องเต้ยกโทษให้แก่เขา ดังนั้นเวลาที่ผ่านมา เขาได้แต่คิดว่าตนไม่ปกติ ไร้ความรู้สึกกับสตรีเพศ ถึงขั้นตายด้าน จึงทำให้เขาดื่มสุราหนัก บ้าการฝึกวรยุทธ์จนกลายเป็นคนเลือดร้อน มีความฉุนเฉียว ทั้งงุ่นง่าน ทว่าเหตุใดเพื่อได้ยลโฉมงามนางนี้ เขากลับรู้สึกว่าตนกลับคืนสู่ความหนุ่มแน่น เลือดในกายร้อนผ่าวไหลเวียนได
ตำราพลิกสวรรค์ เตียวหยวนหยวน ร้อนวูบวาบในร่มผ้า แทนที่จะเห็นการ์ดตัวละครของกัวเจิ้งอี้ นางกลับเห็นฉากยามที่เขาสับสะโพกไหวกับสตรีนางหนึ่ง และมันประกอบกลอนของว่าที่แม่สามี ซึ่งเขียนได้อย่างสัปดนที่สุด ตั้บๆ อ้าๆ ฉีกแข้ง ฉีกขา เขียนตำราพลิกสวรรค์ สามขา สองเต้าหู้ มังกรหมุดถ้ำ โน้มเนื้อ เลือนลั่น อ๊ะ ฮ้า อี้ๆ ๆ สุขสันต์ฟาดฟันสนั่นปฐพี และยามนี้ขาที่สามของกัวเจิ้งอี้ เหมือนจะพองขยาย และเตรียมจู่โจมนาง มันใหญ่โตนัก ซึ่งดูเหมือนว่านางไม่อาจสลัดภาพดังกล่าวหลุดทิ้งจากหัวได้ง่ายๆ “อย่า อย่าเอามันเข้ามาใกล้หม่อมฉัน” เตียวหยวนหยวนเอ่ย และยกมือขึ้นปัดป้องภาพของแท่งหยกกัวเจิ้งอี้ “เอ เจ้าเป็นไข้หรือไม่ เหตุใดใบหน้าถึงได้แดง และมีอาการประหลาดเช่นนั้น” “ปละ เปล่าเสียหน่อย เป็นเพราะอ๋องเจิ้ง เอาแต่รั้งหม่อมฉันไว้เช่นนี้ ถึงได้กลัวจะไปดูแม่หมูคลอดลูกไม่ทัน” “อืม เช่นนั้น ให้ข้ารีบไปส่งเจ้าดีหรือไม่” เอ่ยจบเขาก็ไม่รอให้นางได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ร่างของนางก็ลอยหวือ และไม่ได้ขึ้นรถม้าอันใด หากถูกจับให้นั่งบนม้าตัวโต โดยมีเ
หลอกล่อบุรุษด้วยลิ้น เตียวหยวนหยวนนิ่งอยู่อย่างนั้นทั้งที่กอดและเกาะแกะกายแกร่งราวกับตกอยู่ในอำนาจแห่งราคะ ริมฝีปากนางเผยออ้า อ้าขึ้นแล้วหุบ ก่อนจะอ้าใหม่อย่างเคลิบเคลิ้มต่อความหล่อเหลาของกัวเจิ้งอี้ อีกฝ่ายคือบุรุษผมยาวผิวขาวจัด หน้าอกแกร่ง และยามนี้เขายังกระดิกแผงหน้าอกด้านซ้ายที ขวาทีจงใจหวานเสน่ห์ ให้นางหลงใหล และยอดหน้าอกสีชมพูเข้มก็ล่อตาล่อใจนาง จนเลือดกำเดาพาลจะไหล! มือใหญ่เชยคางนางขึ้น แล้วเลื่อนริมฝีปากบางสีสดที่สวยของเขาเข้ามาใกล้ ๆ “ชิมได้ไหม ให้ข้าชิมเนื้อกว้างหวานๆ จากปากหยวนหยวนสักคำ” เตียวหยวนหยวนกำลังจะเคลิ้มไหว ทำอย่างไรได้ตัวละครนี้เป็นนางร้าย และแอบได้เสียกับผู้ชาย มันคงเป็นเรื่องที่ว่าที่แม่สามีเขียนเอาไว้ แถมเขียนได้ดี แบบหลายกระบวนท่าอย่างไม่นึกห่วงช่วงล่างของนาง เมื่อครั้งนางได้อ่านยังหัวร้อน หญิงสาวอยากยื่นมือเข้าไปตบสตรีใจร่านในเรื่อง ทว่า...ช้าก่อน หากฝ่ายหญิงให้ท่าคนเดียว เรื่องงามหน้าคงไม่เกิด และนี่ก็ดูเหมือนว่า กัวเจิ้งอี้ ก็พร้อมจะหลอมไฟสิเน่หาเข้ามารวมกับร่างของเตียวหยวนหยวน จะว่าไปก็น่าสงสาร นอกจากความงาม แ
เกิดการค้นหานิยายของนักเขียนท่านนั้นมาอ่าน และเตียวหยวนหยวนคุ้น นางรู้สึกคุ้นมาก จนต้องทึ่งจัด เมื่อพบจุดใต้ตำตอบ นางต้องร้องอ๋อ เพราะมีฉากเกี่ยวกับแม่ผัวและลูกสะใภ้ทะเลาะกันจนบ้านเกือบพัง แต่ละคำพูด การกระทำ ช่างเหมือนที่นางวิวาทะกับเหม่ยหลิน มารดาของแฟนหนุ่มนางในโลกที่จากมา “ถ้าได้สะใภ้ดี ลูกชายฉันคงมีสง่าราศีมากกว่านี้ ผู้หญิงอย่างเธอ เกิดมาเพื่อฉุดให้สามีลงเหว หน้าที่การงานพังหมด ซ้ำร้ายยังปากไม่มีหูรูด ทำเรื่องขายขี้หน้าไม่เว้นวัน คิดหรือว่าเลียมจะทนพฤติกรรมของเธอได้” เหม่ยหลิน หมายถึงลูกชายคนเล็กของตน เลียม หยางตง* คนรักของเตียวหยวนหยวน “คุณแม่...พูดไม่ถูกต้องนะคะ” “ฮึ ใครเป็นแม่เธอ ฉันไม่เคยคิดรับผู้หญิงแบบนี้เข้าตระกูล แม้แต่รับไหว้ฉันยังบอกให้เธอกองไว้ตรงพื้นเลย” เตียวหยวนหยวนนึกถึงคำพูดเจ็บแสบของเหมยหลิน สตรีผู้เป็นว่าที่แม่สามี และนั่นทำให้นางเจ็บช้ำใจ และเริ่มสืบเสาะสิ่งที่จะหาทางแก้เผ็ดอีกฝ่าย กระทั่งพบว่านิยายคาวโลกีย์ที่ดังกระฉ่อน คนเขียนก็คือเหม่ยหลิน สตรีวัยเกือบหกสิบกะรัต ที่ยังคันในร่มผ้า จนต้องหาทางระบายด้วยการเขียนเรื่องอ้าๆ หุบๆ พร้
เตียวหยวนหยวนยื่นหยกเนื้องามสีขาวพิสุทธิ์ ไปเบื้องหน้าชายหนุ่ม จากนั้นริมฝีปากอวบอิ่มของนางก็เอ่ยว่า “ข้าวของพวกนี้ ล้วนเป็นอ๋องเจิ้งให้องค์รักษ์เงาจัดหาไว้ ทุกอย่างล้วนเป็นท่านจัดเตรียม อย่าได้คิดเป็นอื่น!” นางเอ่ยจบก็แกว่งหยกในมือ เริ่มจากช้าๆ พร้อมเอ่ยประโยคเดิมซ้ำไปมาสามสี่ครั้ง จากนั้นจึงดีดนิ้วดังเปาะ พร้อมยิ้มหวานให้กัวเจิ้งอี้ “อ๋องเจิ้ง เป็นผู้เตรียมพร้อมที่ดี” “ใช่...ข้าเตรียมทุกอย่างเอาไว้ และคาดไม่ถึงว่าฝนจะตก ดีที่เราหลบฝนทัน และได้กินของอร่อยๆ จากฝีมือเจ้า” ถึงจะฟังดูแปลกไปบ้าง แต่โลกที่นางอยู่เป็นเพียงนิยาย ผู้คนไม่ใช่คนจริงๆ เช่นนั้นนางจะใส่ใจเพื่อสิ่งใด ขอให้ท้องอิ่ม ได้เล่นตามบทบาทที่นางอยากให้เป็น เพียงเท่านี้ก็มีความสุข “หม้อร้อนนี้ จะแบ่งน้ำเป็นสองแบบ เผ็ดร้อนดุดันกับกลมกล่อมนุ่มนวล” “คล้ายกับชายหญิงเช่นนั้นรึ แข็งแกร่งกับอ่อนหวาน” เขาว่าและมองหม้อไฟร้อนที่ฐานใส่น้ำซุปเป็นรูปหยินหยาง “กล่าวมิผิด หม่อมฉันตั้งใจให้อ๋องเจิ้งได้ลอง และหวังว่าท่านจะพึงใจ” นางเอ่ยจบก็เริ่มใช้งานให้เขาปลอกเปลือกหัวผั
หลังจากอิ่มหนำ ชายหนุ่มพาเตียวหยวนหยวนออกมาด้านนอกกระท่อม ยามนั้น นอกจากม้าตัวโต ยังมีรถม้าอีกคันหนึ่งพร้อมนายทหารยืนรออยู่ “ข้ามีภาระต้องไปจัดการ ข้าจะให้ทหารคุ้มครองและไปส่งหยวนหยวนที่โรงเลี้ยงหมู นั่งรถม้าคงสะดวกกว่าเกวียนลากวัวของเจ้า” “ขอบคุณอ๋องเจิ้ง” เตียวหยวนหยวนเอ่ยแล้วจึงคาราวะอีกฝ่าย “อืม ข้ารู้สึกมีบางอย่างติดค้างในใจ เดี๋ยวคงต้องกลับไปดูสักหน่อย น้ำซุปที่เจ้าปรุงกับน้ำจิ้มงาขาว เหตุใดถึงได้ยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น แล้วเนื้อกวางอีกเล่า น่าเสียดาย หากไม่กินตอนที่มันสดๆ อยู่” เอ่ยจบร่างสูงกลับเข้าไปในกระท่อม และไม่ได้หันมามองนางอีก หญิงสาวได้แต่สงสัย ปากเขาบอกว่ามีภารกิจ แล้วเหตุใดยังกลับเอาแต่สนใจเรื่องปากเรื่องท้องของตนเองอยู่เช่นนั้น “อ๋องเจิ้ง ท่านจะส่งสตรีขึ้นรถม้าสักหน่อยไม่ได้หรือ” ชายหนุ่มซึ่งกำลังสืบเท้ากลับเข้ากระท่อม เขาทำเพียงแต่โบกมือให้นาง “นี่ท่านเห็น ของกินสำคัญกว่าสตรีหรอกรึ” นางเอ่ยถาม และนึกฉุนเขา ก่อนก้าวขึ้นรถม้าด้วยอารมณ์ขุ่นมัว โรงเลี้ยงหมูของสกุลเตียวใหญ่โตพอสมควร เมื่อไปถึง นางไม่ได
หลังจากอิ่มหนำ ชายหนุ่มพาเตียวหยวนหยวนออกมาด้านนอกกระท่อม ยามนั้น นอกจากม้าตัวโต ยังมีรถม้าอีกคันหนึ่งพร้อมนายทหารยืนรออยู่ “ข้ามีภาระต้องไปจัดการ ข้าจะให้ทหารคุ้มครองและไปส่งหยวนหยวนที่โรงเลี้ยงหมู นั่งรถม้าคงสะดวกกว่าเกวียนลากวัวของเจ้า” “ขอบคุณอ๋องเจิ้ง” เตียวหยวนหยวนเอ่ยแล้วจึงคาราวะอีกฝ่าย “อืม ข้ารู้สึกมีบางอย่างติดค้างในใจ เดี๋ยวคงต้องกลับไปดูสักหน่อย น้ำซุปที่เจ้าปรุงกับน้ำจิ้มงาขาว เหตุใดถึงได้ยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น แล้วเนื้อกวางอีกเล่า น่าเสียดาย หากไม่กินตอนที่มันสดๆ อยู่” เอ่ยจบร่างสูงกลับเข้าไปในกระท่อม และไม่ได้หันมามองนางอีก หญิงสาวได้แต่สงสัย ปากเขาบอกว่ามีภารกิจ แล้วเหตุใดยังกลับเอาแต่สนใจเรื่องปากเรื่องท้องของตนเองอยู่เช่นนั้น “อ๋องเจิ้ง ท่านจะส่งสตรีขึ้นรถม้าสักหน่อยไม่ได้หรือ” ชายหนุ่มซึ่งกำลังสืบเท้ากลับเข้ากระท่อม เขาทำเพียงแต่โบกมือให้นาง “นี่ท่านเห็น ของกินสำคัญกว่าสตรีหรอกรึ” นางเอ่ยถาม และนึกฉุนเขา ก่อนก้าวขึ้นรถม้าด้วยอารมณ์ขุ่นมัว โรงเลี้ยงหมูของสกุลเตียวใหญ่โตพอสมควร เมื่อไปถึง นางไม่ได
เตียวหยวนหยวนยื่นหยกเนื้องามสีขาวพิสุทธิ์ ไปเบื้องหน้าชายหนุ่ม จากนั้นริมฝีปากอวบอิ่มของนางก็เอ่ยว่า “ข้าวของพวกนี้ ล้วนเป็นอ๋องเจิ้งให้องค์รักษ์เงาจัดหาไว้ ทุกอย่างล้วนเป็นท่านจัดเตรียม อย่าได้คิดเป็นอื่น!” นางเอ่ยจบก็แกว่งหยกในมือ เริ่มจากช้าๆ พร้อมเอ่ยประโยคเดิมซ้ำไปมาสามสี่ครั้ง จากนั้นจึงดีดนิ้วดังเปาะ พร้อมยิ้มหวานให้กัวเจิ้งอี้ “อ๋องเจิ้ง เป็นผู้เตรียมพร้อมที่ดี” “ใช่...ข้าเตรียมทุกอย่างเอาไว้ และคาดไม่ถึงว่าฝนจะตก ดีที่เราหลบฝนทัน และได้กินของอร่อยๆ จากฝีมือเจ้า” ถึงจะฟังดูแปลกไปบ้าง แต่โลกที่นางอยู่เป็นเพียงนิยาย ผู้คนไม่ใช่คนจริงๆ เช่นนั้นนางจะใส่ใจเพื่อสิ่งใด ขอให้ท้องอิ่ม ได้เล่นตามบทบาทที่นางอยากให้เป็น เพียงเท่านี้ก็มีความสุข “หม้อร้อนนี้ จะแบ่งน้ำเป็นสองแบบ เผ็ดร้อนดุดันกับกลมกล่อมนุ่มนวล” “คล้ายกับชายหญิงเช่นนั้นรึ แข็งแกร่งกับอ่อนหวาน” เขาว่าและมองหม้อไฟร้อนที่ฐานใส่น้ำซุปเป็นรูปหยินหยาง “กล่าวมิผิด หม่อมฉันตั้งใจให้อ๋องเจิ้งได้ลอง และหวังว่าท่านจะพึงใจ” นางเอ่ยจบก็เริ่มใช้งานให้เขาปลอกเปลือกหัวผั
เกิดการค้นหานิยายของนักเขียนท่านนั้นมาอ่าน และเตียวหยวนหยวนคุ้น นางรู้สึกคุ้นมาก จนต้องทึ่งจัด เมื่อพบจุดใต้ตำตอบ นางต้องร้องอ๋อ เพราะมีฉากเกี่ยวกับแม่ผัวและลูกสะใภ้ทะเลาะกันจนบ้านเกือบพัง แต่ละคำพูด การกระทำ ช่างเหมือนที่นางวิวาทะกับเหม่ยหลิน มารดาของแฟนหนุ่มนางในโลกที่จากมา “ถ้าได้สะใภ้ดี ลูกชายฉันคงมีสง่าราศีมากกว่านี้ ผู้หญิงอย่างเธอ เกิดมาเพื่อฉุดให้สามีลงเหว หน้าที่การงานพังหมด ซ้ำร้ายยังปากไม่มีหูรูด ทำเรื่องขายขี้หน้าไม่เว้นวัน คิดหรือว่าเลียมจะทนพฤติกรรมของเธอได้” เหม่ยหลิน หมายถึงลูกชายคนเล็กของตน เลียม หยางตง* คนรักของเตียวหยวนหยวน “คุณแม่...พูดไม่ถูกต้องนะคะ” “ฮึ ใครเป็นแม่เธอ ฉันไม่เคยคิดรับผู้หญิงแบบนี้เข้าตระกูล แม้แต่รับไหว้ฉันยังบอกให้เธอกองไว้ตรงพื้นเลย” เตียวหยวนหยวนนึกถึงคำพูดเจ็บแสบของเหมยหลิน สตรีผู้เป็นว่าที่แม่สามี และนั่นทำให้นางเจ็บช้ำใจ และเริ่มสืบเสาะสิ่งที่จะหาทางแก้เผ็ดอีกฝ่าย กระทั่งพบว่านิยายคาวโลกีย์ที่ดังกระฉ่อน คนเขียนก็คือเหม่ยหลิน สตรีวัยเกือบหกสิบกะรัต ที่ยังคันในร่มผ้า จนต้องหาทางระบายด้วยการเขียนเรื่องอ้าๆ หุบๆ พร้
หลอกล่อบุรุษด้วยลิ้น เตียวหยวนหยวนนิ่งอยู่อย่างนั้นทั้งที่กอดและเกาะแกะกายแกร่งราวกับตกอยู่ในอำนาจแห่งราคะ ริมฝีปากนางเผยออ้า อ้าขึ้นแล้วหุบ ก่อนจะอ้าใหม่อย่างเคลิบเคลิ้มต่อความหล่อเหลาของกัวเจิ้งอี้ อีกฝ่ายคือบุรุษผมยาวผิวขาวจัด หน้าอกแกร่ง และยามนี้เขายังกระดิกแผงหน้าอกด้านซ้ายที ขวาทีจงใจหวานเสน่ห์ ให้นางหลงใหล และยอดหน้าอกสีชมพูเข้มก็ล่อตาล่อใจนาง จนเลือดกำเดาพาลจะไหล! มือใหญ่เชยคางนางขึ้น แล้วเลื่อนริมฝีปากบางสีสดที่สวยของเขาเข้ามาใกล้ ๆ “ชิมได้ไหม ให้ข้าชิมเนื้อกว้างหวานๆ จากปากหยวนหยวนสักคำ” เตียวหยวนหยวนกำลังจะเคลิ้มไหว ทำอย่างไรได้ตัวละครนี้เป็นนางร้าย และแอบได้เสียกับผู้ชาย มันคงเป็นเรื่องที่ว่าที่แม่สามีเขียนเอาไว้ แถมเขียนได้ดี แบบหลายกระบวนท่าอย่างไม่นึกห่วงช่วงล่างของนาง เมื่อครั้งนางได้อ่านยังหัวร้อน หญิงสาวอยากยื่นมือเข้าไปตบสตรีใจร่านในเรื่อง ทว่า...ช้าก่อน หากฝ่ายหญิงให้ท่าคนเดียว เรื่องงามหน้าคงไม่เกิด และนี่ก็ดูเหมือนว่า กัวเจิ้งอี้ ก็พร้อมจะหลอมไฟสิเน่หาเข้ามารวมกับร่างของเตียวหยวนหยวน จะว่าไปก็น่าสงสาร นอกจากความงาม แ
ตำราพลิกสวรรค์ เตียวหยวนหยวน ร้อนวูบวาบในร่มผ้า แทนที่จะเห็นการ์ดตัวละครของกัวเจิ้งอี้ นางกลับเห็นฉากยามที่เขาสับสะโพกไหวกับสตรีนางหนึ่ง และมันประกอบกลอนของว่าที่แม่สามี ซึ่งเขียนได้อย่างสัปดนที่สุด ตั้บๆ อ้าๆ ฉีกแข้ง ฉีกขา เขียนตำราพลิกสวรรค์ สามขา สองเต้าหู้ มังกรหมุดถ้ำ โน้มเนื้อ เลือนลั่น อ๊ะ ฮ้า อี้ๆ ๆ สุขสันต์ฟาดฟันสนั่นปฐพี และยามนี้ขาที่สามของกัวเจิ้งอี้ เหมือนจะพองขยาย และเตรียมจู่โจมนาง มันใหญ่โตนัก ซึ่งดูเหมือนว่านางไม่อาจสลัดภาพดังกล่าวหลุดทิ้งจากหัวได้ง่ายๆ “อย่า อย่าเอามันเข้ามาใกล้หม่อมฉัน” เตียวหยวนหยวนเอ่ย และยกมือขึ้นปัดป้องภาพของแท่งหยกกัวเจิ้งอี้ “เอ เจ้าเป็นไข้หรือไม่ เหตุใดใบหน้าถึงได้แดง และมีอาการประหลาดเช่นนั้น” “ปละ เปล่าเสียหน่อย เป็นเพราะอ๋องเจิ้ง เอาแต่รั้งหม่อมฉันไว้เช่นนี้ ถึงได้กลัวจะไปดูแม่หมูคลอดลูกไม่ทัน” “อืม เช่นนั้น ให้ข้ารีบไปส่งเจ้าดีหรือไม่” เอ่ยจบเขาก็ไม่รอให้นางได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ร่างของนางก็ลอยหวือ และไม่ได้ขึ้นรถม้าอันใด หากถูกจับให้นั่งบนม้าตัวโต โดยมีเ
โปรดเก็บกระบี่ไว้ในฝัก กัวเจิ้งอี้สวมเสื้อคลุมของตนให้แม่นางชุดเหลือง และนางไม่ได้แสดงท่าทางอิดออด ยังยิ้มให้เขาด้วย สตรีชุดเหลืองที่อยู่กับเขาในลำธารด้วยกัน นางเป็นหญิงสาวที่เร่าร้อน อีกทั้งทำให้เขาแข็งขัน! เรื่องนี้หากสวรรค์ไม่ลิขิตไว้ นางคงไม่ส่งเสริมให้ความเป็นชายของเขากลบมาคึกคักอีกเป็นแน่แท้ กัวเจิ้งอี้ เครียดมาร่วมสองเดือนเศษ ไม่มีจิตใจอภิรมย์ต่อสิ่งยั่วเย้ารอบกาย แม้แต่ในค่ายทหารจะหานางรำเอวอ่อน มาเต้นยักย้ายส่ายสะโพก แต่กัวเจิ้งอี้ไม่ได้หิ้วหญิงใดเข้ากระโจมของตน เพื่อโจนจ้วงความใหญ่โตเข้าสู่ความหวานล้ำของแม่นางเหล่านั้น สาเหตุเป็นเพราะเขาตกอยู่ในห้วงความคิดที่ผิดต่อตัวเอง และยังทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ส่วนฮองเฮาต้องไปถือศีลบนเขาเป็นเวลาครึ่งปี เพื่อขอให้ฮ่องเต้ยกโทษให้แก่เขา ดังนั้นเวลาที่ผ่านมา เขาได้แต่คิดว่าตนไม่ปกติ ไร้ความรู้สึกกับสตรีเพศ ถึงขั้นตายด้าน จึงทำให้เขาดื่มสุราหนัก บ้าการฝึกวรยุทธ์จนกลายเป็นคนเลือดร้อน มีความฉุนเฉียว ทั้งงุ่นง่าน ทว่าเหตุใดเพื่อได้ยลโฉมงามนางนี้ เขากลับรู้สึกว่าตนกลับคืนสู่ความหนุ่มแน่น เลือดในกายร้อนผ่าวไหลเวียนได
จุมพิตบนแล้วต้องจุมพิตล่างด้วย “อย่า...อย่าปล่อยข้าตาย” นางไม่อยากเสียสติหรอกเช่นนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้น มันน่าใจหายใจคว่ำเหลือเกิน สองมือเรียวป่ายแปะที่ร่างของอีกฝ่าย ซึ่งนางไม่ได้ตั้งใจซุกซนแต่เพราะกลัวจริงๆ และด้วยเพราะทรวดทรงนางเร้าใจ หน้าอกอวบสวย เอวคอดกิ่ว สะโพกพาย บั้นท้ายงอนงาม พอเคลื่อนไหวแรงๆ เรือนร่างนางนุ่มนิ่มจึงเสียดสีกับกายบุรุษ ซึ่งยามนั้นส่งไอผะผ่าวร้อนออกมาไม่หยุด แข็ง... อุ่นจัด และเกรี้ยวกราด ราวกับเจ้าป่า! ซึ่งอาจจะดุร้าย จนไม่อาจมีผู้ใดควบคุมได้ แต่ยกเว้นเตียวหยวนหยวนโฉมงามผู้นี้ หญิงสาวรับรู้ว่าท่อนไม้กึ่งกลางลำตัวบุรุษกำลังพองขยาย และมันชนกับจุดหวานล้ำของนางพอดี “หายใจไม่ออก อ๊ะ... ข้า หายใจไม่ออก!” พอเอ่ยออกแล้ว นางจึงพยายามลอยตัวเหนือน้ำ เพื่อไขว่คว้าอากาศเข้าปอด และกลายเป็นว่า ริมฝีปากอวบอิ่มนางถูกอีกฝ่ายประกบอย่างพอเหมาะพอดี และเขาปล่อยลมปราณเข้าสู่ร่างกายนางเพื่อปรับสมดุล มินานอาการตื่นตกใจ หรือลนลานจึงค่อยๆ ลดลงทีละส่วน กระทั่งเขาอุ้มนางขึ้นมาจากลำธาร หญิงส
ท่อนแขนกำยำกับหน้าท้องแกร่ง เตียวหยวนหยวนรีบดึงสติตนกลับ นางย่อมฉลาดกว่าหมี่หลิงเพราะมาจากโลกปัจจุบัน เป็นหญิงสาวที่นับว่ามหัศจรรย์คนหนึ่งในหมู่กลุ่มเพื่อนๆ ดังนั้นจึงบอกกับอีกฝ่ายว่า “อ่อ... ข้าแค่ท่องบทละครที่เคยอ่าน หาใช่พูดความจริง” “บทละคร! คุณหนูสามหมายถึงงิ้วในโรงละครฝูไฉ อย่างนั้นหรือ” “ใช่ เจ้าไม่รู้รึ หญิงงามมักได้บุรุษที่องอาจ มากด้วยบารมีเป็นสามี” “แต่บุรุษที่ทั้งองอาจ มากบารมีที่คุณหนูเอ่ยถึงคือองค์ชายสี่นะเจ้าคะ” เตียวหยวนหยวนไม่ตอบ นางได้แต่พยายามนึก นึกว่าบุรุษแซ่กัว นามว่าเจิ้งอี้ เขามีคุณสมบัติใดที่นางควรปีนขึ้นเตียง คิดแล้วใจก็คอไม่อยู่กับเนื้อตัว ทั้งที่ไม่ชอบอ่านนิยายสักเท่าไหร่ แต่งานเขียนของแม่ว่าที่สามีกลับหลอกหลอนนาง กระทั่งทำให้ทะลุมิติมาอยู่ในโลกที่คล้ายจีนโบราณนี้ หลังจากถูกใครบางคนผลักตกระเบียง และก่อนที่จะไปดูสวนผักกับแม่หมูสาวที่กำลังจะคลอดลูก เตียวหยวนหยวนต้องร้อนรุ่มไปทั้งร่าง ด้วยเบื้องหน้านางมีลำธารกว้าง บรรยากาศร่มรื่น คราแรกนางไม่คิดจะสนใจสิ่งใด ทว่าเป็นเพราะเสียงร้องเพลงที่ดังทุ้มกังวาน ส่งให้นางต้อ
เตียวหยวนหยวนนึกแล้วจึงอมยิ้มชอบใจ ผู้ชายของนาง หรือว่าที่เจ้าบ่าว เลียม หยางตง เป็นคนหล่อเหลา เสียดายอยู่นิดเดียวที่เขาหวงเนื้อหวงตัวไปหน่อย มิเช่นนั้นนางคงนอนหลับฝันดีทุกคน หากได้ล่วงเกินเขาด้วยสายตา และสองมือ! “โถ คุณหนู ท่านคงไม่ยังหายป่วย คนทั้งกองทัพล้วนมาพึ่งใบบุญใต้เท้าเตียวและก็เมืองของเราอย่างไรล่ะเจ้าคะ หลังจากพวกเขาแพ้สงครามให้เผ่าคนเถือนที่ร่วมมือกับแคว้นอื่น ฮองเต้กัวผิงมีคำสั่งให้เคลื่อนย้ายกองทัพมาที่เมืองซีเฉิง จุดหมายคือหมู่บ้านหลัวโปอันอุดมสมบูรณ์ที่สุดให้แคว้นสือ นอกจากนั้น พวกเขามีหน้าที่เฝ้าพืชผักสวนครัวและสัตว์เลี้ยง พร้อมสร้างแนวกำแพงใหม่ป้องกันการโจมตีของศัตรูที่หมายตายึดหมู่บ้านของเรา” “อืม ฟังแล้วก็เข้าท่า ผู้ชายตัวโตแข็งแรง แถมถูกฝึกมาอย่างดี และพวกเขารับหน้าที่ปกป้องสตรีบอบบางเช่นข้า” หมีหลิงอึ้งจัด ฟังคำพูดของเตียวหยวนหยวนแล้ว ก็เหมือนได้ยินสตรีในตรอกโคมเขียวพูดเล่นหัวกัน! “โอ๊ะ จะดีอย่างไรเจ้าคะคุณหนู!” “อืม มีทหารมาอยู่ในหมู่บ้าน ย่อมเท่ากับการช่วยรักษาความปลอดภัย” หมี่หลิงส่ายหน้า เตียวหยวนหยวนช่าง