หนิงเฟิ่งปรากฏกายกลางท้องพระโรงตำนักสวรรค์ชั้นฟ้าในสภาพที่เสื้อผ้าร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลจากสายฟ้า นางรำที่กำลังโชว์ต่อหน้าธารกำนัลที่มาร่วมงานรื่นเริ่งมงคลสวรรค์ต่างก็หยุดลง เทพเซียนทั้งหมดต่างก็หันมาสนใจร่างบอบบางที่บาดเจ็บหนักของพระชายาไท่จื่อ
“หนิงเฟิ่ง”
ฮองเฮาสวรรค์ฮุ่ยเฟิ่งพึมพำแล้วรีบลงไปช่วยพยุง
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เหตุใดจึงบอบช้ำเช่นนี้”
พระนางเอ็นดูสะใภ้อย่างมากด้วยเป็นเทพธิดาวิหค เป็นน้องสาวท่านปู่ของหนิงเฟิ่งจึงเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าบาดเจ็บ
“หนิงเฟิ่งมีเรื่องทูลฝ่าบาทกับฮองเฮา”
หนิงเฟิ่งเอ่ยโดยไม่ยอมให้เสียเวลา
“มีเรื่องอะไรก็พูดมา”
องค์จักรพรรดิสวรรค์จินหวงรู้สึกแปลกใจ เพราะวันนี้เป็นงานอภิเษกของไท่จื่อ แต่ชายากลับมาปรากฏเบื้องหน้าด้วยสภาพไม่ดีนัก ราวตั้งใจทำให้งานไม่เป็นมงคล และเวลานี้เกี้ยวเจ้าสาวน่าจะไปถึงวังไท่จื่อตามฤกษ์ยามแล้ว ไม่รู้ว่าที่นั่นเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นหรือไม่
“ขอฝ่าบาทกับฮองเฮาเมตตา เผ่าบาดาลหลอกลวงเบื้องสูง หนิงเฟิ่งไม่อาจนิ่งเฉยได้”
คำพูดของพระชายาไท่จื่อทำให้เทพเซียนต่างก็มองหน้ากันแล้วเริ่มซุบซิบด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นว่าการณ์ภายในไม่ค่อยดีนัก องค์จักรพรรดิก็เอ่ยแก้หน้าก่อน
“หนิงเฟิ่งคงเข้าใจผิด นางถูกเผ่าปิศาจลอบทำร้ายอาจบาดเจ็บจนไม่รู้สึกตัว ข้ากับฮองเฮาจะคุยกับนางเอง งานมงคลก็ผ่านไปด้วยดีแล้ว ขอบใจที่ทุกท่านมาร่วมยินดี”
เทพเซียนต่างก็ทยอยกลับ แม้ยังสงสัยแต่ก็รับรู้ได้ว่าเป็นคำสั่งเชิญกลับกลายๆ จึงไม่มีใครกล้าคัดค้านอยากรู้อยากเห็น
“หนิงเฟิ่งข้ารู้ว่าเจ้าอาจไม่พอใจองค์หญิงเผ่าบาดาล แต่เป็นถึงชายาไท่จื่อสวรรค์ เจ้าควรใจกว้าง ช่วยแบ่งเบาภาระไท่จื่อ ไม่ใช่ทำตัวหึงหวงพาลใส่ร้ายผู้อื่นเช่นนี้”
องค์จักพรรดิตำหนิทันทีเมื่ออยู่ตามลำพัง
“ฝ่าบาท ท่านก็เห็นว่าหนิงเฟิ่งเจ็บหนัก จิตใจอาจอ่อนแอ ให้เวลานางได้ทำใจหน่อยเถิด”
ฮองเฮาเห็นใจหลานของตนไม่น้อยจึงช่วยพูดกับองค์จักรพรรดิ
“เจ้าเองก็อย่าเพิ่งร้อนใจไป ไท่จื่อแต่งสนมเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ทุกดินแดนต่างก็ต้องการผูกมิตรไม่ตรีกับสวรรค์ อาจเป็นเพราะเจิ้งหานเป็นคนมั่นคง สนใจเพียงการปกครอง ไม่ใส่ใจอิสตรี พันกว่าปีที่พวกเจ้าแต่งงานร่วมชีวิตกันมาจึงไม่มีปัญหาวุ่นวายใจ แต่ข้าอยากบอกไว้ว่า อีกหลายหมื่นปีต่อจากนี้อาจมีสนมที่ไท่จื่อต้องรับไว้อีกมากมายนัก”
หนิงเฟิ่งส่ายหน้า แม้เข้าใจว่าการรับสนมเป็นเรื่องธรรมดาแต่เผ่าบาดาลเหยียบย่ำศักดิ์ศรีนางกับไท่จื่อ เอาความดีความชอบเข้าตัว นางยอมไม่ได้
“องค์ชายเผ่าบาดาลคิดล่วงเกินข้า ข้าจึงฆ่าเขา ไม่ใช่เพราะถูกปิศาจจู่โจม และองค์หญิงเผ่าบาดาลใส่ความข้าต่อหน้าไท่จื่อ ว่าข้ามีใจให้พี่ชายของนาง ไท่จื่อจึงสั่งลงทัณฑ์ข้าเพื่อรักษาเกียรติของเขา”
นางพูดทุกอย่างออกมาโดยไม่ลังเล ทำเอาฮองเฮาถึงกับนิ่งงันไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ขอทูลถามฝ่าบาท เป็นเช่นนี้แล้วยังเห็นว่าเผ่าบาดาลมีความชอบอีกหรือไม่”
“ถึงอย่างนั้นองค์หญิงเผ่าบาดาลก็ช่วยชีวิตเจิ้งหานจริง ถือเป็นความชอบ”
องค์จักรพรรดิพูดไปแล้วไม่อาจคืนคำได้ แม้สิ่งที่ได้รู้จากหนิงเฟิ่งจะทำให้ขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ปักใจนัก
“ส่วนเรื่องเผ่าบาดาลใส่ความเจ้า หากทำเอิกเกริกไปอาจผิดใจกับเผ่าบาดาล คงต้องสืบหาความจริงอย่างเงียบๆ ไม่ให้ทางนั้นระแคะระคาย”
สืบความจริงก็หมายความว่าองค์จักรพรรดิยังไม่เชื่อคำพูดของนาง และเรื่องนี้อาจเงียบหายไปกับสายลมโดยนางไม่มีทางรู้ได้เลยว่าองค์จักรพรรดิสืบสวนเรื่องราวจริงหรือไม่
หนิงเฟิ่งราวหมดอาลัย ร่างกายนางหนักอึ้ง แรงกายแทบจะสูญสิ้น แรงใจไม่มีหลงเหลือ นางรู้สึกเหมือนถูกสวามีทอดทิ้ง พ่อแม่สามีเมินหน้าหนีอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าไม่อาจทนอยู่ร่วมวัง ทนร่วมมีสามีเดียวกับคนที่ใส่ร้ายข้าได้”
นางเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว
“หนิงเฟิ่ง เรื่องนี้จะเอาแต่ใจไม่ได้ งานแต่งก็มีแล้ว ทั้งหกพิภพรับรู้ว่าไท่จื่ออภิเษกธิดาเจ้าบาดาลเป็นสนมเอก เปลี่ยนแปลงไม่ได้”
ฮองเฮาพยายามปลอบใจและสั่งสอนอีกยาวเหยียด
“เจ้าก็พยายามสงบจิตใจ คิดถึงส่วนรวมเข้าไว้ อย่าได้คิดถึงเพียงแค่ตัวเอง การณ์ข้างหน้าเจ้าต้องเคียงข้างไท่จื่อ ครองสวรรค์ชั้นฟ้า เมื่ออยู่จุดสูงสุดเหนือดินแดนทั้งปวง การปกครองย่อมต้องใช้เหตุผลไม่อาจใช้ใจตัดสินได้”
“หรือฝ่าบาทเกรงกลัวเผ่าบาดาล”
หนิงเฟิ่งเสียงแข็งราวไม่ได้ยินคำสอนของฮองเฮาแม้แต่น้อย
“บังอาจ!”
องค์จักรพรรดิเริ่มไม่พอใจมากขึ้น เมื่อหนิงเฟิ่งไม่ฟังเหตุผลใดเลย
“หนิงเฟิ่ง...”
ฮองเฮาจะเอ่ยห้ามแต่หนิงเฟิ่งหันมาจับมือพระนางไว้แน่น
“ฮองเฮาไม่รู้สึกเลยหรือว่าสิ่งที่เผ่าบาดาลทำเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเผ่าวิหค ท่านทนได้หรือ”
“เหลวไหล หยุดได้แล้ว เจ้าอย่าทำให้ฮองเฮาไขว้เขว”
องค์จักรพรรดิรีบสั่งเมื่อฮองเฮามีสีหน้าไม่ดีนัก
“ข้าจะเห็นแก่ฮองเฮา ไม่เอาเรื่องเจ้าในวันนี้ และเจ้าก็รับโทษทัณฑ์ไปแล้ว กลับไปดูแลตัวเองให้หายดีเถิด”
หนิงเฟิ่งมององค์จักรพรรดิที่สะบัดแขนไล่และเมินหน้าหนี แล้วหันมายังฮองเฮาที่ประคองตนอยู่ก็เห็นว่ามองด้วยความสงสารแต่ก็พยักหน้าให้ทำตามคำสั่ง แล้วยิ่งขมขื่นใจ
เกียรติและศักดิ์ศรีอันสูงส่งเหนือใคร ทำให้องค์จักรพรรดิมองข้ามคำพูดของนาง ไม่ยอมเสียหน้าต่อหกพิภพดินแดนว่าชื่นชมคนผิด ไม่อยากผิดใจกับเผ่าบาดาล แต่ไม่เห็นใจนางแม้แต่น้อย
สวรรค์ช่างไร้ใจ ไร้เมตตานัก
อย่าว่าแต่สวรรค์เลย แม้แต่สวามีเองยังหันหลังให้นาง ยินดีรับผู้หญิงที่ให้ร้ายนางเป็นภรรยาอีกคน
‘ไท่จื่อ ท่านใจร้ายกับข้าเหลือเกิน’
นางอดคร่ำครวญในใจไม่ได้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้หนิงเฟิ่งรู้สึกราวตนอยู่ผิดที่ผิดทาง อย่างไรเสียนางก็ไม่ต้องการอยู่ร่วมวังเดียวกับหญิงร้ายกาจผู้นั้น และคิดว่าในเมื่อแต่งงานใหม่ไท่จื่อเองคงไม่ใส่ใจนางอีก ส่วนลูกน้อยนางก็ฝากอิงอิงพาไปยังดินแดนบุปผาแล้ว นางตั้งใจตามไปอยู่ที่นั่น ไม่คิดกลับวังของไท่จื่อ มาถึงเวลานี้หนิงเฟิ่งตัดสินใจได้แล้ว
ร่างอ่อนแรงของหนิงเฟิ่งทรุดกายลงคุกเข่าอย่างเด็ดเดี่ยวก่อนเอ่ยเสียงหนักแน่น
“ฝ่าบาท ข้าขอพระเมตตา ขอตัดสัมพันธ์กับไท่จื่อ จบสิ้นวาสนา ไม่ขอเป็นชายาของไท่จื่ออีกต่อไป”
“นี่เจ้า...”
“หนิงเฟิ่ง”
องค์จักรพรรดิกับฮองเฮาเอ่ยขึ้นพร้อมกันอย่างคาดไม่ถึง
“ขอฝ่าบาทประทานอนุญาตให้หนิงเฟิ่งหย่าขาดจากไท่จื่อ”
หลังพูดในสิ่งที่ต้องการอย่างมั่นคงหนิงเฟิ่งก็ใช้พลังแรงกายตนเท่าที่มีอยู่โขกศีรษะลงแนบพื้น
“เหลวไหล”
“หนิงเฟิ่งขอพระเมตตา”
นางฝืนโขกศีรษะซ้ำอีกจนฮองเฮาทนเห็นไม่ได้ ต้องรีบพยุงเอาไว้พร้อมบอกเสียงเบา
“เจ้ากับเจิ้งหานมีดวงผูกพันสวรรค์ประทาน ดวงดาววาสนาเคียงคู่ ไม่อาจตัดขาดจากกันได้โดยง่าย”
“หากเจ้าต้องการตัดวาสนา เปลี่ยนดวงชะตา เจ้าต้องรับวิบากกรรมหนักหน่วง”
องค์จักรพรรดิย้ำเพิ่มเติมให้รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ทว่าหนิงเฟิ่งกลับยืนยันคำเดิม
“หนิงเฟิ่งยินดีรับ ขอเพียงตัดขาดวาสนากับไท่จื่อได้ ไม่ว่าวิบากกรรมใดข้าพร้อมเผชิญ”
นางมีสิ่งสำคัญในชีวิตแล้ว ขอเพียงได้ไปอยู่และดูแลลูกน้อย ไม่ต้องรับรู้หรือเกี่ยวข้องใดกับไท่จื่อและสวรรค์อีก นางพร้อมทำทุกอย่าง
“อย่าทำแบบนี้เลยหนิงเฟิ่ง เจิ้งหานต้องไม่ยอมแน่ เจ้าตัดขาดสัมพันธ์ฝ่ายเดียวโดยไม่ถามความเห็นเจิ้งหานไม่ได้”
ฮองเฮารีบห้าม แต่หนิงเฟิ่งทำให้องค์จักรพรรดิโมโห รู้สึกราวถูกท้าทายอำนาจ
“ช่างเอาแต่ใจนัก ได้...คิดฝืนชะตาสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่าย เช่นนั้นเจ้าก็จงลงไปรับวิบากกรรมในโลกมนุษย์ รับเคราะห์รับทุกข์โศกแสนสาหัส ไม่มีวันพานพบความสุขจนจบสิ้นชีวิตมนุษย์ของเจ้า”
“ฝ่าบาท”
คนที่ตกใจแทบสิ้นสติกลับเป็นฮองเฮา ไม่ใช่ผู้ที่ต้องรับเคราะห์กรรมแต่อย่างใด
“หนิงเฟิ่งรับบัญชา”
“ไม่นะหนิงเฟิ่ง เหตุใดเจ้าจึงดื้อรั้นนัก”
“ฮองเฮา หนิงเฟิ่งอกตัญญู ไม่ได้ตอบแทนพระเมตตาให้สมกับที่ท่านห่วงใยใส่ใจตลอดเวลาที่ข้าขึ้นมาอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า”
ฮองเฮาถึงกับน้ำตานอง ไม่คิดว่าผู้เป็นหลานจะทั้งใจร้อนและใจเด็ดเยี่ยงนี้
“ในเมื่อไม่อาจรั้งได้ ข้าก็คงทำได้เพียงเอ่ยเตือนใจเจ้า ตึงเกินไปอาจไม่ดีนัก จำคำข้าไว้นะหนิงเฟิ่ง”
“คำสั่งสอนของฮองเฮา หนิงเฟิ่งจะจำใส่ใจไม่ลืม”
นางซาบซึ้งในความใส่ใจและเข้าใจคำเตือนของฮองเฮา แต่หนิงเฟิ่งต่อสู้เพื่อพิสูจน์ว่าตนบริสุทธิ์ ทว่ากลับไม่มีใครให้ความเป็นธรรมกับนาง นางอาจไม่ใช่คนใจกว้าง ไม่เหมาะสมที่จะเกิดมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งบนสวรรค์ชั้นฟ้า
“ทหาร ตามเทพชะตามาพบข้า”
องค์จักรพรรดิออกคำสั่งโดยไม่รีรอ ต้องการสั่งสอนหนิงเฟิ่งให้รู้ว่าไม่มีผู้ใดได้ทุกอย่างเช่นใจต้องการ หากจะเป็นใหญ่ย่อมต้องเสียสละบ้าง สิ่งต่างๆ ล้วนไม่ราบรื่นสวยงามไม่ว่าบนสวรรค์ชั้นฟ้าหรือโลกมนุษย์ และจะไม่สามารถกลับมาเรียกร้องสิ่งที่สูญเสียไปแล้วได้อีก
==========
หนิงเฟิ่งเทไท่จื่อแล้วอย่างเด็ดเดี่ยว ต้องรับเคราะห์ก็ยอม T^T
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นทำให้นางหันมอง แล้วก็ลุกขึ้นยืนด้วยสัญชาตญาณ เพราะสองคนผู้มาใหม่พร้อมกับบิดามารดานั้นดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ทั้งฝ่ายผู้หญิงยังเดินตรงมาหานางเร็วกว่าคนอื่นและจับมือทันที“ช่างสวยน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก”อวี้หลันยืนงง ขณะอีกฝ่ายลูบผมนาง“หลันเอ๋อร์ นี่คือท่านย่าของเจ้า”มารดาเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเสียงเบา“ท่านย่า”สาวน้อยย่อตัวลงเล็กน้อยแม้จะยังอึ้งแปลกใจ และบิดาก็เอ่ยขึ้นนางจึงต้องหันมองตาม“แล้วนี่ก็ท่านปู่”“ท่านปู่”นางย่อตัวลงอีกครั้ง สบตาคมดูมีอำนาจของผู้เป็นปู่แวบเดียวก็หลบ แล้วก็ต้องยิ้มบางกับท่านย่าที่ประคองสองข้างแก้มตน“ไหนให้ย่าดูชัดๆ สิ เหมือนเจิ้งหานเมื่อยังเด็ก แต่ก็คล้ายหนิงเฟิ่ง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะโตถึงเพียงนี้”“หากพวกท่านมาเยี่ยมท่านพ่อบ่อยๆ ก็จะไม่คิดว่าข้าโตเร็ว”“หลันเอ๋อร์”หนิงเฟิ่งดุเสียงเบา ทว่าอวี้หลันไม่ได้สลดนัก นางคิดว่านางพูดความจริง ตนนั้นเห็นว่าบิดาเป็นเซียนปลายแถวทำสวน หากก็รักท่านมาก ทั้งเมื่อเห็นญาติฝ่ายมารดามาเยี่ยมไม่เคยขาด ยังอดคิดไม่ได้ว่าบิดาคงโดดเดี่ยวไร้ญาติ น่าสงสาร แต่นางก็ไม่เคยพูดสิ่งนี้กับผู้ใด“จริงนี่เจ้าคะ ข้าคิดว่
“แล้วนี่จะเรียกว่าท่านปรนนิบัติได้อย่างไร”นางนึกหมั่นไส้คนที่ถูกตำหนิแล้วยังยิ้มกลับมาตรงหน้านัก“อย่างนี้ไงเล่า”มือหนาข้างหนึ่งวางกระชับสะโพกผาย ส่วนอีกข้างทาบเหนือทรวงอวบขาวแล้วฟอนเฟ้นพร้อมเพรียงกัน ทั้งยังสลับไปมาขณะที่สะโพกแกร่งด้านล่างก็ขยับเร้าร่างหญิงสาวจนในที่สุดหนิงเฟิ่งก็ต้องเคลื่อนไหวสะโพกตนตามอีกฝ่าย“อืม ไม่นะ นี่ข้าปรนนิบัติท่าน”มือเกาะบ่าหนาเป็นหลักขณะเอ่ยแย้ง“แล้วอย่างนี้เล่า”คราวนี้ปลายนิ้วแกร่งเปลี่ยนมาไล้วนเหนือสัดส่วนบอบบางด้านหน้าเร็วรี่จนหญิงสาวต้องกัดฟันครางยาวในลำคอ ซุกซบใบหน้าลงกับซอกคอแกร่งเพราะอ่อนไหวเสียดสยิวจนไม่อาจขยับได้อีกแล้ว ร่างงามเกร็งขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกร้อนเหมือนไฟลุกท่วมตัวกระทั่งกระตุกอย่างรุนแรง เอนกายเข้าหาร่างแกร่ง และแขนกำยำก็โอบกอดนางไว้ ขณะที่สะโพกหนาเคลื่อนไหวเชื่องช้าเหมือนกำลังเริ่มต้น หากหนิงเฟิ่งก็รู้ว่าเขาจะไม่หยุดเพียงเท่านี้“พอใจหรือยังชายาที่รักของข้า”นางกัดฟันไม่ยอมตอบหากกลับนั่งตั้งหลักอย่างมุ่งมั่น โยกไหวสะโพกสวนกลับชายหนุ่ม เร่งจังหวะให้เร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว เห็นว่าชายหนุ่มเองก็ขบกรามแน่นเช่นกันนางก็นึกพอใจ ในเมื่อถูกเล่นง
“องค์ชายเจิ้งหานมาขอพบเจ้าค่ะ”อิงอิงกระซิบบอกผู้ที่อยู่ในสระอาบน้ำเล็กหนิงเฟิ่งขมวดคิ้ว นึกแปลกใจด้วยปกติแล้วเจิ้งหานจะไม่เข้ามาในตำหนักหากไม่มีกิจจำเป็น ทั้งยังในเวลาส่วนตัวเช่นนี้ทว่าวันนี้เขามาร่วมโต๊ะกับเทพธิดาบุปผาที่ต้อนรับไท่จื่อสวรรค์ในตำหนัก ส่วนหนิงเฟิงกับลูกอยู่ที่ตำหนักเล็กของตน เพราะเห็นว่าเป็นการใหญ่เกินไป นางไม่อยากให้อวี้หลันคิดว่าตนนั้นอยู่เหนือผู้อื่น อยากให้ลูกเป็นเทพเซียนน้อยผู้หนึ่งในดินแดนบุปผาเท่านั้น“เวลาเช่นนี้น่ะหรือ”เวลาที่นางอาบน้ำอยู่...อีกฝ่ายคงเพิ่งแยกจากไท่จื่อจิ่นลี่แล้วมายังตำหนักเล็กนี้“อิงอิงจะไปทูลว่าองค์หญิงยังไม่สะดวก”อิงอิงเอ่ยอย่างรู้ใจ ทว่าเสียงเข้มดังขึ้นห่างออกไป“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า”เจิ้งหานเชิญตนเองเข้ามา ทำเอาอิงอิงหน้าเสีย ตำหนักเล็กของหนิงเฟิ่งนั้นมีเพียงอิงอิง เพราะนางต้องการเพียงเท่านี้ และถือว่าตนนั้นเป็นเพียงผู้อาศัยเทพธิดาบุปผาจึงไม่ต้องการมีคนมาคอยห้อมล้อมเช่นตอนที่อยู่เผ่าวิหค หรือแม้แต่บนสวรรค์ นางต้องการเลี้ยงลูกด้วยตัวเองแม้มีม่านกั้นหากหนิงเฟิ่งก็รู้สึกขนลุกและวูบวาบตามผิวกายเพียงได้ยินเสียงเข้มของเจิ้งห
ไท่จื่อจิ่นลี่เพิ่งเคยมายังดินแดนบุปผาครั้งแรก ความงดงามชื่นตาชื่นใจจากพันธุ์ไม้ดอกไม้ให้ความรู้สึกสดชื่นในทันทีที่เหยียบย่างเข้ามา“ท่านมาพบผู้ใด โปรดแจ้งนาม”ผู้ที่เฝ้าประตูทางเข้าดูค่อนข้างมีอายุ หากก็ไม่ถึงกับดุเข้มจนน่ากลัว“ข้ามาพบเจิ้งหาน บอกเขาว่าจิ่นลี่มาเยี่ยมเยือน”ครั้งนี้เขาลงไปแก้ปัญหาน้ำหลากท่วมบ้านเรือนมนุษย์กับหวังหย่ง และผ่านดินแดนบุปผาจึงอยากเยี่ยมพี่ชายที่ไม่พบหน้ากันมาถึงพันสองร้อยปี“ชื่อท่านช่างคุ้นยิ่งนัก”หวังหย่งขยับจะพูด ทว่าจิ่นลี่เหลือบมองห้ามปรามจึงเงียบไป“เชิญตามข้ามาทางนี้”อีกฝ่ายไม่ซักไซ้สงสัย ทั้งยังนำทางโดยง่าย จิ่นลี่ก็ยิ้มบางแล้วเดินตามไปโดยมีหวังหย่งผู้ที่มีหน้าที่ช่วยราชกิจไท่จื่อแบบใช้กำลังตามติดไม่ห่าง ส่วนจางหย่งนั้นเป็นผู้ดูแลงานด้านงบประมาณและฎีกาเมื่อมาถึงหน้ากระท่อมเนินเขาที่มีไร่ดอกไม้ล้อมรอบจิ่นลี่ก็รู้สึกไม่ดียิ่งนัก พี่ชายตนต้องลำบากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ที่อยู่หลับนอนก็เป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ หากมารดามาเห็นคงปวดใจ ยิ่งบิดาคงยิ่งกรุ่นโกรธผู้นำทางไปแล้วจิ่นลี่กำลังคิดว่าจะเคาะประตูดีหรือไม่ก็มีเสียงหวานใสของผู้หนึ่งดังขึ้นไม่ห่างนัก“พ
“ยอดดวงใจของข้า เจ้าเจ็บปวดกับสิ่งที่ข้าทำ ไม่ยกโทษให้ไปอีกแสนปีก็ย่อมได้ ตามแต่ใจเจ้าต้องการ แต่ความรักของข้าก็ยังเป็นเจ้า หัวใจของข้าอยู่ที่เจ้าเสมอหนิงเฟิ่ง”บอกแล้วปากได้รูปก็จูบลงบนหน้าผากสวยราวตอกย้ำคำพูดตน เขาไม่ต้องการขอให้อีกฝ่ายยกโทษให้อีกแล้ว นับจากได้ยินว่าตนสั่งลงทัณฑ์สายฟ้าจนเกือบสูญเสียลูกน้อยและหนิงเฟิ่งพยายามเพียงไรเพื่อให้อวี้หลันมีชีวิตอยู่ เจิ้งหานก็ปวดร้าวในอก เขาเกือบฆ่าลูกของตนไปแล้ว หากไม่เพราะหนิงเฟิ่งคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าหรือได้อุ้มลูกน้อย“ข้าไม่รู้”เสียงหวานพร่าเอ่ยเบาหวิว“แต่ข้ารู้เพียงว่า มีท่านอยู่ใกล้ ข้ากับลูกจะปลอดภัย”ใบหน้างดงามนองน้ำตาเงยขึ้น เจิ้งหานยิ้มรับกับคำพูดของอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่ชุ่มชื่นขึ้น เท่านี้ก็ดีมากแล้ว เขาก้มลงทาบทับปากได้รูปบนหน้าผากสวย เปลือกตาทั้งสองข้าง และข้างแก้มที่ชื้นด้วยน้ำตา ก่อนจะไล่มายังริมฝีปากอิ่ม จูบซับบางเบาแล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักขึ้น มือช้อนใต้ศีรษะเล็กเมื่ออีกฝ่ายเริ่มแหงนเงยรับเขาปลายลิ้นอุ่นเริ่มเคลื่อนไล้ก่อนจะรุกล้ำภายในปากนุ่มเพราะอีกฝ่ายเปิดหนทาง หนิงเฟิ่งจูบตอบคลอเคลียกับชายหนุ่มอย่างยินยอม สองแขนเรียวเค
หนิงเฟิ่งลืมตาขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่จำเหตุการณ์สุดท้ายได้จึงรีบผวาลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าบุตรสาวนอนอยู่ในอ้อมกอดระหว่างกลางร่างตนกับเจ้าของร่างสูงสง่า ทั้งยังหายใจขึ้นลงผะแผ่วเป็นปกติก็ถอนหายใจ เหลือบมองใบหน้าคมคายที่ค่อนข้างซีดแล้วก็แตะหลังมือบนหน้าผากกว้างอีกฝ่ายตัวอุ่นแต่ดูเหมือนคนป่วยทำให้นางขมวดคิ้ว ทว่ามาคิดดูแล้วคงเพราะเจิ้งหานใช้พลังเพื่อช่วยนางกับลูก เห็นอย่างนี้แล้วนางจะพาอวี้หลันกลับไปเลยก็คงไม่ได้ร่างอ้อนแอ้นลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มลูกน้อยไปวางบนเตียงด้านใน ส่วนร่างสูงของเจิ้งหานนางร่ายเวทย์เคลื่อนย้าย เปลี่ยนเสื้อผ้าของทั้งเขากับลูกและตนเอง ห่มผ้าให้ทั้งคู่อย่างเรียบร้อยก่อนจะออกไปด้านนอกหนิงเฟิ่งไปยังบ่อน้ำทิพย์และนำน้ำกลับมาให้เจิ้งหานดื่ม นางพยายามค่อยๆ ประคองอีกฝ่ายให้ดื่มน้ำทิพย์จนสำเร็จ เช็ดปากและห่มผ้าให้เช่นเดิม ทว่าพอจะลุกขึ้นกลับถูกจับข้อมือไว้“นี่ท่านฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ”นางหันไปมองพร้อมกับเอ่ยเสียงเข้ม“เพิ่งรู้สึกตัวก่อนที่เจ้าจะเข้ามานี่แหละ พอได้ยินเสียงก็เลยหลับตาลงต่อ”“ท่านหลอกข้า”หนิงเฟิ่งพยายามดึงมือออกจากอีกฝ่ายให้ได้“เปล่าเลย แค่หลับตา